แม้ว่าในใจจะกล่าวโทษตนเองที่ก่อนหน้านี้ทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ แต่ส่วนลึกของใจโม่ชิงเยว่ก็ยังอดรู้สึกกล่าวโทษซ่งเหวินจิ้งไม่ได้ ดังนั้นการนิ่งเฉยของนางอาจจะดูเหมือนว่านางให้โอกาสเขาแต่โม่ชิงเยว่ก็ยังคงไม่อาจจะให้อภัยเขาได้ดังที่ซ่งเหวินจิ้งต้องการ นางจึงไม่ได้ละทิ้งเป้าหมายของตนเอง นางไม่ต้องการพึ่งพาผู้ใดและไม่ต้องการที่จะเฝ้ารอคอยและร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สะสางธุระภายในจวนเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงได้เตรียมตัวที่จะออกไปสำรวจตลาดด้วยตนเอง
“ท่านแม่ให้ข้าสองคนติดตามไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นว่าโม่ชิงเยว่และชุ่ยเหมยเตรียมตัวที่จะออกจากจวนเสร็จแล้ว
“ท่านแม่พวกข้าสองคนไม่ค่อยจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาภายนอกสักเท่าไหร่ ท่านให้ข้าและพี่หญิงติดตามท่านออกไปด้วยได้ไหมขอรับ” เมื่อซ่งจื่อเยว่เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็นิ่วหน้า แต่เมื่อคิดได้ว่านางไม่ค่อยจะได้พาลูกๆ ออกไปเที่ยวข้างนอกเลยสักครั้งนางจึงได้ยินยอมพยักหน้าแล้วตอบตกลงลูกทั้งสองไป
“พวกเจ้าจะติดตามแม่ไปด้วยก็ได้แต่จงจำเอาไว้ว่าถ้าหากพวกเจ้าดื้อรั้นไม่ฟังคำของแม่ แม่จะส่งพวกเจ้ากลับจวนในทันที” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้เด็กทั้งสองก็รีบตอบรับคำพูดของนางอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที
“เจ้าค่ะ/ขอรับ” ดังนั้นตอนที่ออกจากจวนเดิมทีโม่ชิงเยว่ตั้งใจว่าจะพาไปแค่ชุ่ยเหมยและชุ่ยหลัน แต่พอซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ติดตามไปด้วยนางจึงต้องพาสาวใช้และผู้ติดตามไปด้วยอีกจำนวนหนึ่ง จากเดิมทีตั้งใจว่านางจะแค่ไปเดินเล่นแล้วค่อยสอบถามหากพบว่ามีหน้าร้านที่เหมาะสม แต่เมื่อไปถึงตลาดนางจึงได้ละทิ้งความตั้งใจเดิมของตนเองไป เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างสุขสบายใจ ลูกๆ ของนางเป็นเด็กร่าเริงยามที่เห็นว่ามีสิ่งใดแปลกตาพวกเขาก็จะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นที่จะเข้าไปดูและสอบถามเจ้าของร้านว่าของสิ่งนั้นคืออะไรและมาจากไหน พวกเขาจับจูงมือของโม่ชิงเยว่คนละข้างนำพานางให้ไปดูข้าวของในตลาดด้วยความสุขใจ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ล้วนเป็นของเล่นที่มีรูปลักษณ์แปลกตา แม้ว่าโม่ชิงเยว่ในยามนี้จะมีเงินทองจับจ่ายไม่ขาดมือแต่ก็ไม่ได้ตามใจลูกๆ ทุกอย่างนางจะซื้อแค่เพียงของเล่นที่มีราคาเหมาะสมเพียงเท่านั้น
“ของชิ้นนั้นพวกเจ้าซื้อได้แต่ชิ้นนี้พวกเจ้าซื้อไม่ได้” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางชี้ไปที่ตัวต่อไม้ที่เด็กทั้งสองสามารถเล่นด้วยกันได้ แล้วจึงได้ชี้ไปที่หุ่นไม้ที่ถูกแกะสลักจนงดงาม หุ่นไม้ตัวนั้นมีราคาสูงมากจนเกินไปไม่เหมาะที่จะซื้อให้ลูกชายผู้ซุกซนของนางเล่น
“แต่ท่านแม่ขอรับเมื่อครูนี้ท่านยังยอมซื้อตุ๊กตาผ้าที่งดงามและน่ารักให้พี่หญิงเลยนะขอรับ แล้วทำไมของลูกจึงกลายเป็นแค่เพียงตัวต่อไม้เล่า” ซ่งจื่อเยว่เอ่ยประท้วงด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้าเช่นนั้นแม่ก็จะให้ชุ่ยหลันเอาตุ๊กตาผ้าตัวนั้นของพี่สาวของเจ้าไปคืนที่ร้าน พวกเจ้าก็จะได้ไม่ได้ของเล่นเลยสักชิ้น” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางหันไปหาชุ่ยหลันซ่งจื่อเยว่ก็รีบส่งเสียงห้ามปรามมารดาของเขาในทันที
“ท่านแม่ขอรับ ตุ๊กตาผ้าของพี่หญิงมีราคาที่ไม่สูงมาก ส่วนหุ่นไม้ของข้ามีราคาสูงมากจนเกินไปจะเอามาเทียบเคียงกันไม่ได้ ดังนั้นท่านแม่อย่าเอาตุ๊กตาของพี่หญิงไปคืนที่ร้านเลยนะขอรับ” เมื่อซ่งจื่อเยว่เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมาแล้วจึงได้หันไปสอบถามเถ้าแก่ร้านของเล่นในทันที
“เถ้าแก่หุ่นไม้ตัวนี้หากท่านลดราคาให้สักหน่อยข้าก็ยินดีที่จะซื้อพร้อมกับตัวต่อไม้ชุดนี้ ท่านยินดีจะลดราคาให้ข้าได้หรือไม่” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้เถ้าแก่ก็นิ่วหน้าแล้วจึงได้เอ่ยออกมาตามตรง
“ต้องขออภัยด้วยขอรับฮูหยิน แต่หุ่นไม้แกะสลักตัวนี้เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้เวลา ท่านดูความละเอียดลออของลาดลายเหล่านี้สิขอรับ คนแกะสลักต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจมากพอสมควรกว่าจะแล้วเสร็จเช่นนี้ได้ ดังนั้นข้าคงจะลดราคาให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้วขอรับ” เมื่อเถ้าแก่เอ่ยเช่นนี้ซ่งจื่อเยว่จึงได้เอ่ยกับเถ้าแก่ร้านด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็เก็บหุ่นไม้ตัวนั้นเอาไว้เถอะ ข้าขอซื้อตัวต่อไม้ชุดนี้ก็พอแล้ว” ซ่งจื่อเยว่เอ่ยกับเถ้าแก่ร้านแล้วจึงได้หันไปเอ่ยกับโม่ชิงเยว่ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงจังราวกับผู้ใหญ่
“ท่านแม่ ข้าตั้งใจจะเอาหุ่นไม้ไปเป็นเป้าซ้อมธนูเพียงเท่านั้น ในเมื่อมันสูงค่าถึงขนาดนี้พวกเราก็อย่าซื้อไปเลย” เมื่อบุตรชายเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“เด็กดี หากเจ้าอยากได้เป้านิ่งเอาไว้แม่จะหาหุ่นไม้ตัวอื่นให้เจ้าก็แล้วกันนะ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางลูบศีรษะของบุตรชายด้วยความเอ็นดู แต่แล้วเสียงปี่เสียงแตรที่ประโคมเป่าร้องด้วยทำนองเพลงอันเศร้าสร้อยก็ดังเข้ามาใกล้ร้าน ขบวนแห่โลงศพขบวนหนึ่งที่กำลังเคลื่อนขบวนผ่านหน้าร้านดึงดูดความสนใจของทุกคนในตลาดและร้านค้าข้างเคียงเป็นอย่างยิ่ง
“ช่างน่าสงสารซื่อจื่อจวนไหวกั๋วกงยิ่งนัก ฮูหยินของเขาไม่เพียงถูกปล้นแต่ยังถูกล่วงเกินจนมีราคีติดกาย จวนไหวกั๋วกงก็เลยไม่ยินยอมให้เขาตั้งศพฮูหยินไว้ที่จวน เขาก็เลยจำต้องรีบฝังศพของฮูหยินที่หลุมฝังศพนอกเมือง” เสียงของชาวบ้านที่พูดคุยกันอยู่ตรงหน้าร้านทำให้โม่ชิงเยว่อดเดินไปดูขบวนแห่โลงศพที่กำลังจะเคลื่อนผ่านไม่ได้
กระดาษเงินกระดาษทองถูกโปรยจนลอยละล่องทั่วไปในอากาศ ผู้บรรเลงเพลงมโหรีและผู้เข้าร่วมในขบวนแห่โลงศพล้วนสวมใส่ชุดสีขาวเพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้แก่ผู้ตาย เหยียนเซียวซื่อจื่อของจวนไหวกั๋วกงสวมใส่ชุดขาวเดินเคียงข้างโลงศพมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย โม่ชิงเยว่จ้องมองโลงศพของสุ่ยอี้หรงด้วยสายตาเย็นชา ตอนที่นางวางแผนทำลายสุ่ยอี้หรงในใจของนางเองก็ไม่ได้คิดว่าสุ่ยอี้หรงจะต้องพบกับจุดจบเช่นนี้ นางรู้ดีว่าไม่มีทางที่โจรป่าจะกล้าโจมตีรถม้าของจวนกั๋วกง การที่สุ่ยอี้หรงตายเป็นเพราะนางน่าจะถูกพิษปลุกเร้าจนลงมือทำเรื่องไม่ดีงามลงไป จวนไหวกั๋วกงจึงได้มอบบทลงโทษขั้นรุนแรงให้กับนาง
สิ่งที่น่าสังเวชใจก็คือจวนสกุลสุ่ยที่ถือว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่นกลับละทิ้งนางโดยไม่สนใจไยดี ไม่คิดจะเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงการตายของนาง และที่สำคัญแม้แต่งานศพของนางที่ถูกจัดอย่างลวกๆ เช่นนี้จวนสกุลสุ่ยไม่คิดจะออกหน้าช่วยทำให้งานศพของนางถูกจัดอย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรีของนางที่เคยเป็นลูกหลานของสกุลสุ่ยเลยสักนิด
สายตาอันคมกล้าคู่หนึ่งประสานสายตากับนางโดยไม่ยอมหลบ นางเองก็ไม่คิดจะหลบเช่นเดียวกัน เหยียนเซียวจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการท้าทาย สุ่ยอี้หรงพึ่งจะมีเรื่องกับนางย่อมมีความเป็นไปได้ที่เขาจะสงสัยว่านางจะมีส่วนต่อการวางยาทำร้ายสุ่ยอี้หรง แต่นางไม่คิดจะหวั่นเกรงต่อสายตาของเขา แม้ว่าในสายตาของผู้อื่นอาจจะคิดว่าการตายของสุ่ยอี้หรงเป็นเรื่องที่แก้แค้นกันอย่างเกินเลยไปสักหน่อย แต่สำหรับโม่ชิงเยว่การที่สุ่ยอี้หรงลงเอ่ยเช่นนี้ล้วนเป็นเรื่องที่สาสม หากสุ่ยอี้หรงไม่คิดจะวางยานาง นางก็คงจะไม่ตอบโต้กลับไปแล้วชีวิตของสุ่ยอี้หรงก็คงจะไม่ได้ลงเอยเช่นนี้ ในทางกลับกันหากนางไม่ตอบโต้เช่นนี้คนที่นอนในโลงศพในวันนี้ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นนางแทนก็ได้
ยามที่ขบวนแห่โลงศพของสุ่ยอี้หรงเคลื่อนผ่านไปแล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันมาทางบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับขบวนแห่เช่นนี้พวกเขาจึงได้จ้องมองด้วยความสนใจ“อย่าได้มองอีกเลย เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับลูกๆ ของนางด้วยน้ำเสียอ่อนโยน ซึ่งเด็กๆ ก็พยักหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับของเล่นในร้านค้าอีกครั้ง“เขาคือคนที่สังหารสุ่ยอี้หรงเองกับมือ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเหยียนเซียวไม่ใช่คนที่เจ้าควรจะข้องแวะด้วย” เสียงกระซิบของคนที่มายืนข้างหลังทำให้โม่ชิงเยว่กะพริบตาแล้วจึงได้ยิ้มออกมา“เหตุใดวันนี้ใต้เท้าจึงได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นได้” คำถามของนางทำให้สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เขา ชายหนุ่มที่มีหน้ากากโลหะบนใบหน้าย่อมจะดูแปลกตาในสายตาของผู้อื่น“ข้ามาทำงานแต่บังเอิญเห็นฮูหยินเข้าก็เลยแวะเข้ามาทักทาย” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจ้องมองบุตรสาวและบุตรชายที่กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ฉายความสนใจ เขาจึงได้ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเด็กๆ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน“คุณหนูและคุณชายอยากได้ของชิ้นไหนบอกข้าได้เลยนะ อืม หุ่นไม้ตัวนั้นดีไ
แม้ว่าในใจจะกล่าวโทษตนเองที่ก่อนหน้านี้ทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ แต่ส่วนลึกของใจโม่ชิงเยว่ก็ยังอดรู้สึกกล่าวโทษซ่งเหวินจิ้งไม่ได้ ดังนั้นการนิ่งเฉยของนางอาจจะดูเหมือนว่านางให้โอกาสเขาแต่โม่ชิงเยว่ก็ยังคงไม่อาจจะให้อภัยเขาได้ดังที่ซ่งเหวินจิ้งต้องการ นางจึงไม่ได้ละทิ้งเป้าหมายของตนเอง นางไม่ต้องการพึ่งพาผู้ใดและไม่ต้องการที่จะเฝ้ารอคอยและร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สะสางธุระภายในจวนเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงได้เตรียมตัวที่จะออกไปสำรวจตลาดด้วยตนเอง“ท่านแม่ให้ข้าสองคนติดตามไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นว่าโม่ชิงเยว่และชุ่ยเหมยเตรียมตัวที่จะออกจากจวนเสร็จแล้ว“ท่านแม่พวกข้าสองคนไม่ค่อยจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาภายนอกสักเท่าไหร่ ท่านให้ข้าและพี่หญิงติดตามท่านออกไปด้วยได้ไหมขอรับ” เมื่อซ่งจื่อเยว่เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็นิ่วหน้า แต่เมื่อคิดได้ว่านางไม่ค่อยจะได้พาลูกๆ ออกไปเที่ยวข้างนอกเลยสักครั้งนางจึงได้ยินยอมพยักหน้าแล้วตอบตกลงลูกทั้งสองไป“พวกเจ้าจะติดตามแม่ไปด้วยก็ได้แต่จงจำเอาไว้ว่าถ้าหากพวกเจ้าดื้อรั้นไม่ฟังคำของแม่ แม่จะส่งพวกเ
ยามที่โม่ชิงเยว่ได้รับข่าวการสิ้นชีวิตของสุ่ยอี้หรงนางก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงว่าสกุลบัณฑิตอย่างสกุลเหยียนย่อมไม่อาจจะรับสะใภ้ที่แปดเปื้อนกลับสกุลได้อยู่แล้วนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ซื่อจื่อกั๋วกงเหยียนเซียวผู้นี้ก่อนที่นางจะแต่งงานนางเคยได้พบกับเขาอยู่หลายครั้ง ทั้งดูสูงส่งภูมิฐานสง่างามและเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากเขาอยู่ในสกุลบัณฑิตผู้สูงศักดิ์ส่วนนางอยู่ในสกุลของแม่ทัพที่หยาบกระด้างย่อมไม่มีเรื่องใดให้ข้องแวะกันได้อยู่แล้ว“อยากจะเข้าก็เข้ามา จะยืนอยู่ด้านนอกนั่นให้ยามจับได้หรือไร ข้ายังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าลักลอบนัดแนะให้บุรุษเข้ามาหาตอนที่สามีไม่อยู่หรอกนะ” เสียงของโม่ชิงเยว่ทำให้คนที่ยืนจ้องมองนางอยู่ตรงระเบียงทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้เดินเข้ามาในห้องผ่านประตูระเบียง“ที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่การเชื้อเชิญให้บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของเจ้าหรอกหรือ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขานางชี้ไปที่ประตูระเบียงแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ถ้าเช่นนั้นท่านเข้ามาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้นได้เลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช
เสียงขยับไหว เสียงหอบหายใจและเสียงร้องครวญครางที่ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านในของรถม้า ทำให้เสี่ยวเหยาผู้เป็นสาวใช้ของสุ่ยอี้หรงวุ่นวายใจจนต้องเดินไปเดินมารอบๆ รถม้า ส่วนคนขับรถม้าและผู้ติดตามคนอื่นๆ ยามนี้ได้พากันถอยออกไปเพื่อเว้นระยะห่างจากรถม้าแล้ว แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ทุกสายตาที่จ้องมองมาที่รถม้ากลับเต็มไปด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนทั้งสิ้น ยามนี้เสี่ยวเหยาได้แต่คิดว่าเจ้านายของนางจะต้องถูกคนเล่นงานแล้วแน่ๆ แม้ว่าจะคาดเดาได้แล้วแต่นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดียามนี้นางจึงได้แต่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบๆ รถม้า เพื่อรอให้เจ้านายของนางได้สติกลับคืนมาเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวที่ถูกควบขี่มาทางด้านนี้ทำให้เสี่ยวเหยารีบหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ที่ยืนห่างออกไปให้รีบไปปิดทางเอาไว้ไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามา องครักษ์เหล่านั้นก็รีบไปดำเนินการตามคำสั่งของนางในทันที แต่เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังมาเป็นผู้ใดทุกคนก็ต่างมีสีหน้าลนลานจนคนบนหลังม้ารีบเร่งรุดมายังจุดที่รถม้าที่จอดเอาไว้ในทันที“ฮูหยินเป็นอะไร เหตุใดจึงได้มาจอดรถม้าอยู่แถวนี้” คำถามของซื่อจื่อจวนไหวกั๋วกงเหยียนเซียวทำให้เสี่ยวเหยาตัวสั่นงันงกด้วยความหว
หลังจากเกิดเรื่องที่งานเลี้ยงน้ำชาในจวนสกุลสุ่ย สุ่ยเม่าเจ้ากรมพิธีการของแคว้นเหลียนก็ถูกตามตัวกลับมาที่จวนอย่างเร่งด่วน เมื่อเขาเข้าไปในโถงหลักของสกุลก็เห็นว่าในยามนี้ฮูหยินและบุตรสาวทั้งสองของเขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของเขาอยู่ เขาจึงรีบเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบิดาของเขาเพื่อแสดงออกถึงความสำนึกผิดในทันที“ท่านพ่อเรื่องในวันนี้พวกนางล้วนทำเต็มที่แล้ว แต่เพราะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นทำให้แผนการที่วางเอาไว้เสียหาย” คำแก้ตัวของสุ่ยเม่าทำให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ยตวาดออกมาในทันที“เหตุสุดวิสัยหรือเจ้าลองสอบถามบุตรสาวและภรรยาของเจ้าให้ดีว่าแท้จริงแล้วเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความโง่เขลาของพวกนาง หากบุตรสาวของเจ้าไม่โง่เขลาจนทำแผนการที่วางเอาไว้ของข้าแตกป่านนี้ข้าก็คงจะสามารถทำให้ชื่อเสียงขององค์ชายรองด่างพร้อยได้ดังที่ข้าเคยรับปากกับองค์ชายใหญ่เอาไว้แล้ว ถึงยามนั้นเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็กของเจ้าก็คงจะสามารถคว้าตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายใหญ่เอาไว้ได้ดังที่ข้าหมายมั่นปั้นมือเอาไว้” คำพูดของนายท่านผู้เฒ่าทำให้สุ่ยเม่าก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอง“ท่านพ่
เมื่อสุ่ยฮูหยินเห็นว่าโม่ชิงเยว่ทรุดลงไปเช่นนี้ก็ได้แต่คิดในใจว่ายาคงจะออกฤทธิ์แล้ว เพียงแต่การที่พิษออกฤทธิ์ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือว่าผลเสียต่อสกุลสุ่ยของนางกันแน่ นางจึงได้เอ่ยแก้ตัวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจังแม้ว่าในใจจะสั่นไหวมากเพียงใดก็ตาม“นิ่งอันโหวฮูหยินอย่าได้เข้าใจผิด ชาถ้วยนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอันใดส่วนสาเหตุที่ท่านสิ้นไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะไม่คุ้นชินต่อการออกมาข้างนอกจวนหรือเปล่า” คำพูดของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่แสร้งลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการกล่าวหา“ข้าหาใช่คนร่างกายอ่อนแอเช่นนั้น สุ่ยฮูหยินเสียทีที่ข้าไว้ใจจึงได้ยินดีมาที่นี่ตามคำเชิญของท่าน คิดไม่ถึงว่าสกุลสุ่ยของพวกท่านจะข้างนอกสุกใสแต่ภายในเน่าเหม็น เมื่อก่อนข้าก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี๋เหนียงในจวนข้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจึงได้มีพฤติกรรมต่ำช้าเลวทรามเช่นนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะจวนแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่ต่ำตมเช่นนี้นี่เอง ชุ่ยเหมยเก็บชาถ้วยนั้นมาข้าจะนำไปให้กรมอาญาตรวจสอบ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สาวใช้ของสุ่ยฮูหยินก็รีบขัดขวางชุ่ยเหมยในทันที แต่กลับ
สายตาที่ปิดบังอารมณ์เอาไว้ไม่มิดของสุ่ยอี้หรงทำให้โม่ชิงเยว่ลอบสังเกตสีหน้าของสุ่ยฮูหยินในทันที นางแอบเห็นว่าสาวใช้สองนางที่อยู่ข้างกายของสุ่ยฮูหยินหายไปจึงได้หันไปส่งสายตาให้ชุ่ยเหมยซึ่งชุ่ยเหมยก็พยักหน้ารับเพื่อส่งสัญญาณว่านางรับรู้แล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันไปส่งมอบรอยยิ้มให้กับบรรดาสตรีที่อยู่ในบริเวณงาน สาวใช้ที่ติดตามติดตามนางมาต่างก็แยกย้ายกันไปมอบถุงหอมให้แก่บรรดาสตรีที่มาเป็นแขกภายในงาน ชุ่ยเหมยจึงใช้จังหวะที่เดินไปมอบถุงหอมเร้นกายไปยังทิศที่สาวใช้ข้างกายของสุ่ยฮูหยินเดินจากไป“ถุงหอมเหล่านี้ล้วนได้รับการปักลวดลายจากช่างปักที่มากฝีมือของสกุลเจียง ส่วนเครื่องหอมที่อยู่ด้านในเป็นเครื่องหอมที่ข้าลงมือปรุงเองกับมือ หวังว่าทุกท่านคงจะไม่รังเกียจของขวัญชิ้นนี้ของข้า” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยิ้มออกมาซึ่งบรรดาสตรีที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างก็ลังเลที่จะรับถุงหอมจากสาวใช้ของนางแต่เมื่อท่านหญิงเจียหลีรับเอาไปแล้วเอ่ยชื่นชมออกมาทำให้สตรีหลายคนรับเอาไว้ มีเพียงคนของสกุลสุ่ยและบรรดาที่สตรีที่สนิทสนมกับสกุลสุ่ยเพียงเท่านั้นที่ไม่กล้ารับถุงหอมเอาไว้ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้โม่ชิงเยว่ลอบยิ้มออกมา ด้วยนาง
จวนสกุลสุ่ยสมแล้วที่เป็นจวนสกุลเดิมของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ไม่เพียงกว้างขวางและใหญ่โตภายในจวนยังได้รับการตกแต่งอย่างดี สวนหินและสวนไม้ดอกสามารถโอ้อวดผู้คนได้อย่างภาคภูมิใจ โม่ชิงเยว่ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในยังอดรู้สึกชื่นชมการตกแต่งจวนของจวนสกุลสุ่ยไม่ได้ยามนี้สิ่งที่ในใจของนางกำลังคิดอยู่ก็คือนางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี้โหรวจึงได้คิดว่าตนเองสูงส่งถึงเพียงนั้น จวนของนางหรูหราถึงขั้นนี้แล้วจวนโหวที่ได้รับการดูแลโดยคนแกคร่ำครึอย่างแม่สามีของนางจะสามารถเทียบเคียงกับสกุลสุ่ยได้อย่างไรกันเล่า การที่บุตรสาวที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกเช่นสุ่ยอี้โหรวยอมลดตัวแต่งออกจากจวนไปเป็นอนุ หากไม่ใช่เพราะความรักอันโง่เขลาก็คงเป็นเพราะสกุลสุ่ยมีแผนการที่ไม่ค่อยจะดีนักต่อจวนโหวแล้ว เพราะต่อให้สุ่ยอี้โหรวมีใจต่อซ่งเหวินจิ้งจริงหากผู้อาวุโสในสกุลสุ่ยไม่พยักหน้าแล้วสุ่ยอี้โหรวจะแต่งเข้าไปเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหวได้อย่างไร“คารวะนิ่งอันโหวฮูหยิน เชิญท่านติดตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ” เด็กสาวรูปร่างอรชร ใบหน้ามีความคล้ายคลึงกับสุ่ยอี้โหรวถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ความอ่อนเยาว์และรอยยิ้มอันสดใสของนางทำให้ความงามของ
ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข