นิ่งอันโหวซ่งเหวินจิ้งสิ้นชีวิตในสนามรบ ฝ่าบาทจึงมีพระราชโองการปูนบำเหน็จและพระราชทานทรัพย์สินเป็นจำนวนมากให้แก่จวนนิ่งอันโหว ซ่งจื่อเยว่บุตรชายเพียงคนเดียวของนิ่งอันโหวได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซื่อจื่อของจวนนิ่งอันโหวเมื่อมีอายุครบสิบแปดปีเมื่อใดก็จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนิ่งอันโหวต่อจากบิดาในทันที พระราชโองการของฝ่าบาทถูกอัญเชิญมาโดยราชเลขาธิการเหยียนเซียว ยามที่เขาประกาศราชโองการผู้คนในจวนโหวต่างก็ตกอยู่ในความเศร้าเสียใจ มีเพียงโม่ชิงเยว่ผู้เป็นฮูหยินและบุตรชายบุตรสาวที่นางจับจูงเอาไว้คนละข้างเพียงเท่านั้นที่ยังคงมีสีหน้าปกติ
“นิ่งอันโหวฮูหยิน ข้าขอแสดงความเสียใจกับท่านด้วย” เหยียนเซียวเอ่ยกับโม่ชิงเยว่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหลังจากที่ประกาศราชโองการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณท่านราชเลขาธิการแต่ข้าไม่เป็นอะไรเพราะหลังจากนี้ข้าคงจะไม่มีเวลาให้เสียใจแล้ว ซื่อจื่อพอจะทราบหรือไม่ว่าร่างของสามีของข้าจะถูกส่งกลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะได้เตรียมความพร้อมเพื่อรอรับร่างของเขา” คำถามของนางทำให้เหยียนเซียวจ้องมองนางนิ่งแล้วจึงได้เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ไม่พบร่างของท่านโหว ฝ่าบาททรงได้รับรายงานจากแม่ทัพเยี่ยว่าท่านโหวถูกฆ่าศึกรุมล้อม เขาต้องคมกระบี่ของข้าศึกแล้วร่างก็เสียหลักร่วงหล่นลงไปจากหน้าผา” เมื่อเหยียนเซียวเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามแสดงให้เห็นถึงความคาดหวัง
“เขาอาจจะยังไม่...” คำพูดของนางถูกเหยียนเซียวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความเย็นชาแฝงออกมา
“เขาตายแล้ว บาดแผลที่เขาได้รับรวมไปถึงความสูงชันของหน้าผา ต่อให้สามารถกู้ขึ้นมาก็คงจะแหลกเหลวจนไม่สามารถทำอันใดได้ ขอฮูหยินได้โปรดระงับความเสียใจ หากท่านต้องการความช่วยเหลือข้ายินดีที่จะออกหน้าช่วยเหลือท่านเอง” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
“ยามนี้ซื่อจื่อน้อยยังเล็กนักคนที่จะต้องแบกรับภาระในจวนโหวแห่งนี้คงจะต้องเป็นท่าน ยังมีความเสียใจจากการสูญเสียสามีอีก ข้าเองก็พึ่งจะสูญเสียภรรยาไปเช่นกันย่อมสามารถเข้าใจความรู้สึกของท่านได้ ดังนั้นหากท่านขาดเหลือสิ่งใดอย่าได้เกรงใจข้าพร้อมจะช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง” คำพูดประโยคนี้ของเหยียนเซียวหากเป็นผู้อื่นอาจจะซาบซึ้งใจแต่เมื่อคำพูดประโยคนี้ออกจากปากของเขาทำให้โม่ชิงเยว่รีบหลุบดวงตาลงเพื่อเก็บงำสีหน้าในทันที
“ขอคุณท่านราชเลขาธิการมากเจ้าค่ะ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นไปสบสายตากับเขาอีกครั้งเพียงแต่คราวนี้ดวงตาของนางว่างเปล่าไร้สิ่งใดแอบแฝงเหยียนเซียวจึงได้ส่งมอบรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจให้นาง
“ต่อให้ไม่พบร่างแต่นิ่งอันโหวฮูหยินอย่าได้ทุกข์ใจ ท่านสามารถจัดงานศพให้ท่านโหวได้ตามปกติ แค่เพียงท่านหาเสื้อผ้าสักตัวที่เขาเคยสวมใส่มาทำพิธีก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่านราชเลขาธิการ ข้าคงต้องใช้วิธีที่ท่านแนะนำแล้ว” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางหันไปสั่งคนของนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเข้มงวด
“พาซื่อจื่อและคุณหนูกลับไปที่เรือนก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดไว้ทุกข์ให้พวกเขา ส่งคนไปแจ้งที่เรือนคิมหันต์ แล้วก็แบ่งคนอีกจำนวนหนึ่งมาช่วยการจัดเตรียมห้องโถงสำหรับพิธีศพของท่านโหว” คำสั่งอันเฉียบขาดและเป็นขั้นเป็นตอนของนางทำให้เหยียนเซียวจ้องมองนางด้วยสายตาชื่นชมนางจึงได้หันมาเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามปั้นแต่งให้สั่นเครืออันเนื่องมาจากความสะเทือนใจ
“ข้ายังคงทำใจไม่ได้นัก ไม่อาจจะรับแขกได้ในยามนี้ขอท่านราชเลขาธิการได้โปรดเข้าใจข้าด้วย” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็พยักหน้า
“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน อีกสักครู่จะส่งคนจากจวนข้ามาช่วยท่านจัดเตรียมพิธีศพ อย่า! ท่านอย่าได้ปฏิเสธข้าเลย จวนโหวแห่งนี้มีแค่เพียงสตรีและเด็กย่อมไม่อาจจะรับมือจากการสูญเสียอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้ ขอให้ข้าได้เป็นคนช่วยเหลือท่านเถิดนะ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้โม่ชิงเยว่ลอบสบถด่าเขาอยู่ในใจแล้วจึงได้เอ่ยปฏิเสธเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม
“ขอบคุณในน้ำใจที่ท่านมอบให้ แต่จวนนิ่งอันโหวแห่งนี้คือจวนแม่ทัพ สามีของข้าออกรบก็หมายความว่าขาข้างหนึ่งของเขายินดีที่จะก้าวเข้าสู่ประตูนรกแล้ว แม้ว่าข้าจะเสียใจแต่เรื่องงานศพของสามีไม่เกินกำลังของข้าหรอก” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้เหยียนเซียวจ้องมองนางครู่หนึ่งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“จริงสิ เหตุใดข้าจึงได้ลืมไปได้ว่าในยามที่แม่ทัพโม่สิ้น ท่านที่ในยามนั้นยังเป็นแค่เพียงเด็กสาวผู้หนึ่งยังสามารถจัดพิธีศพให้ท่านแม่ทัพได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ เขาจึงได้เอ่ยอธิบายออกมาตามตรง
“ข้าไปร่วมเคารพศพท่านแม่ทัพโม่ด้วย ท่านในยามนั้นทั้งที่อยู่ในช่วงที่เศร้าโศกเสียใจแต่กลับสามารถแบกรับภาระหนักในจวนสกุลโม่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” คำพูดของเขาแม้ว่าจะแผ่วเบาแต่ก็เพียงพอที่โม่ชิงเยว่จะได้ยิน สายตาที่เขาใช้จ้องมองนางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกทำให้โม่ชิงเยว่อดลอบสบถด่าเขาอยู่ในใจไม่ได้
ซ่งเหวินจิ้งลักลอบกลับเข้าเมืองหลวง นอกจากฝ่าบาทแล้วก็มีเพียงคนข้างพระวรกายของฝ่าบาทและองค์ชายรอง เหยียนเซียวเป็นราชเลขาธิการย่อมจะล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ ซ่งเหวินจิ้งพึ่งจะถูกคนลอบสังหารส่วนเขาก็มาแสดงตนที่จวนนิ่งอันโหว แถมยังเสนอความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เมื่อครู่นี้ยังตั้งใจจะส่งคนของตนเองเข้ามาในจวนแห่งนี้อีกทั้งยังพูดจาที่แสดงออกถึงความรู้สึกอย่างไม่สมควร เหยียนเซียวผู้นี้ฉากหน้าก็แสดงออกถึงความเป็นสุภาพบุรุษอันน่าชื่นชมแต่ฉากหลังนอกจากจะลอบสังหารคนแล้วยังคิดจะมาทำตัวยุ่มย่ามกับภรรยาม่ายของผู้อื่นอีก การกระทำของเขาทำให้ภาพลักษณ์ของบุรุษผู้สูงส่งและสง่างามของเขาพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น
“คำชมของท่านข้าคงไม่อาจจะรับได้ ไม่มีผู้ใดอยากจะได้รับคำชมว่าจัดการงานศพได้ดีหรอก ข้าพึ่งจะได้รับรู้ว่าสามีสิ้นชีพแล้วจึงยังไม่มีกะจิตกะใจที่จะรับรองแขกขอท่านราชเลขาธิการได้โปรดเข้าใจข้าด้วย” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้สีหน้าของเหยียนเซียวพลันแข็งค้าง เขาอยากจะแก้ตัวกับนางว่าเขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้ในดวงตาของนางมีหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่เขาจึงไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมาอีก
“หากคำพูดของข้ากระทบจิตใจของท่านข้าต้องขออภัยด้วย ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าต้องขอตัวก่อนหากฮูหยินติดขัดในเรื่องใดอย่าได้ลืมนึกถึงข้าเล่า” เมื่อเอ่ยจบเขาก็เดินออกจากจวนนิ่งอันโหวไปทิ้งให้โม่ชิงเยว่ยืนมองตามเขาทางด้านหลังด้วยสายตาอันเย็นชา
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ