โม่ชิงเยว่จ้องมองซ่งเหวินจิ้งด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อคิดทบทวนถึงสถานการณ์ในยามนี้แล้วนางจึงได้เอ่ยถามเขาออกมาตามตรง
“เพื่อตบตาฝ่าบาทหรือ” คำถามของนางทำให้เขาพยักหน้า
“องค์ชายรองคิดจะก่อการกบฏหรือ” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“อย่าได้ยัดเยียดโทษกบฏให้ข้ากับองค์ชายรองเช่นนี้สิ” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่นิ่วหน้า เขาจึงได้อธิบายให้นางฟังตามตรง
“ข้าต้องการแค่เพียงทำให้ฝ่าบาททรงชี้ปลายกระบี่ไปที่ผู้อื่นเพียงนั้น ดังนั้นข้าจึงมาบอกเจ้าก่อน วันพรุ่งนี้ข่าวการตายของข้าคงจะถูกกราบทูลต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทก็คงไม่อาจจะประกาศออกมาได้ว่าข้าตายเพราะทำภารกิจในเมืองหลวงดังนั้นอีกไม่นานก็คงจะทรงมีราชโองการประกาศลงมาว่าข้าตายที่ชายแดน ถึงยามนั้นฐานะฮูหยินม่ายของจวนโหวก็คงจะต้องตกลงบนศีรษะของเจ้าแล้ว” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“ที่แท้ไม่ต้องหย่าก็สามารถตกพุ่มม่ายได้เช่นกัน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็รีบส่ายหน้าในทันที
“อย่าได้คิดเชียว ต่อให้ข้าเคยบอกกับเจ้าว่าจะเห็นดีเห็นงามกับเจ้าทุกอย่างขอแค่เพียงเจ้าไม่ไปจากข้า แต่การที่เจ้าคิดจะฆ่าข้าให้ตายข้าขอยืนกรานเลยว่าข้าไม่ยอมแน่ๆ” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหลังจากนั้นนางก็ผายมือให้เขานั่งลงแล้วลงมือรินชาให้เขาด้วยตนเอง
“บอกกับข้ามาว่าท่านตั้งใจจะทำให้จวนสกุลใดกลายเป็นเป้าหมายลำดับต่อไปแทนจวนโหวของท่าน” คำถามของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งยิ้มออกมา
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้คิดจะใส่ความผู้ใด เมื่อครู่นี้ข้าเกือบจะตายจริงๆ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางขยับกายหันแผ่นหลังของตนเองให้นางดู แผ่นหลังของเขามีรอยฟาดฟันอยู่กลางหลังรอยเสื้อที่ฉีกขาดและรอยบาดแผลที่เปิดอ้าอยู่ทำให้นางอดตื่นตกใจไม่ได้
“เหตุใดท่านจึงไม่ไปทำแผลก่อน” เมื่อนางเอ่ยถามเช่นนี้เขาก็ส่ายหน้า
“หากมาช้ากว่านี้เจ้าก็เข้านอนแล้ว ข้าไม่อยากจะกลายเป็นโจรเด็ดบุปผาในสายตาของเจ้าอีก” คำพูดของเขาทำให้นางคิดถึงค่ำคืนอันเร่าร้อนที่เคยมีด้วยกัน ยามนั้นนางไม่ได้คิดจะขัดขืนเขาเพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติระหว่างสามีภรรยาผู้ใดจะรู้สุดท้ายเขาจะบอกกับนางว่าเขาถูกวางยา...
“...เจ้าไม่คิดจะทำแผลให้ข้าหรือ” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็จ้องมองเขาด้วยสายตาดุดันเขาจึงได้เอ่ยสารภาพออกมา
“ข้าอุตส่าห์เอาบาดแผลที่กลางหลังมาขอความเห็นใจจากเจ้า เจ้าไม่คิดจะสงสารแล้วยอมใจอ่อนกับข้าบ้างเลยหรือ” เขาเอ่ยถามนางพลางกะพริบตาด้วยท่วงท่าเดียวกับที่ซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ชอบทำกับนางทำให้นางอดขึงตาใส่เขาไม่ได้
“.. ข้าลืมไปว่าเจ้าไม่เหมือนผู้อื่น” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ยื่นมือไปกระตุกเสื้อทางด้านหลังจนฉีกขาดในทันที
“อุ๊บ!... เจ้าเบาๆ หน่อยสิ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ข้าแน่ใจว่ามันจะต้องไม่ใช่บาดแผลธรรมดาแน่” เขาเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บ ซึ่งความเจ็บคราวนี้เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเลยสักนิดเพราะว่าเดิมทีบาดแผลของเขาก็ปวดตุ๊บๆ มาตลอดอยู่แล้ว พอมีสิ่งใดมากระทบกับบาดแผลเข้าก็เลยทำให้ความเจ็บปวดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเท่าตัว
“หากไม่ฉีกเสื้อให้ขาดข้าจะทำแผลให้ท่านได้อย่างไร” นางเอ่ยพลางใช้ผงยาสำหรับบาดแผลสดโรยลงไปบนแผ่นหลังที่มีบาดแผลของเขา
“.. เจ้าคงไม่ได้เทยาพิษลงมาบนบาดแผลของข้าใช่ไหม” ความแสบร้อนที่แทรกซึมลงมาตามบาดแผลทำให้เขาต้องกัดฟันเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นพร่า
“บาดแผลของท่านถูกทิ้งไว้นานจนน่าจะกลายเป็นพิษคุกคามบาดแผลแล้ว ข้าก็เลยโรยผงยาเพื่อขจัดพิษบนบาดแผลให้” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเหี้ยมเกรียมอยู่ไม่น้อยให้เขา อันที่จริงแล้วนางมียาผงโรยบาดแผลที่ไม่ทำให้แสบร้อนอยู่ในมือแต่เพราะอยากทำให้เขาได้ลิ้มรสถึงความเจ็บปวดเสียบ้างจึงได้ลงมือโรยผงยาที่ทำให้แสบร้อนลงไป
“บาดแผลที่บาดลึกเช่นนี้ ท่านยังกล้าปล่อยทิ้งเอาไว้เพื่อมาร้องขอความเห็นใจจากข้า เพราะฉะนั้นความเจ็บปวดจากบาดแผลเพียงเท่านี้ท่านก็ควรจะอดทนให้ได้สิ” คำพูดของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขอความเห็นใจ
“ข้าผิดไปแล้ว...” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอนมากกว่าทุกครั้ง โม่ชิงเยว่จึงได้ลงมือทำบาดแผลให้เขาอย่างสุดฝีมือทำให้คนที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบจนชาชินอย่างซ่งเหวินจิ้งยังต้องหลั่งน้ำตาออกมา
‘ข้าน่าจะรู้ว่าไม่ควรจะเชื่อคำแนะนำของคนอย่างองค์ชายรอง เอาบาดแผลมาร้องขอความเห็นใจอันใด นี่คือการเอาบาดแผลมาให้นางย่ำยีเล่นชัดๆ’ ซ่งเหวินจิ้งคิดพลางขบฟันแน่นแล้วเหลือบสายตาขึ้นไปสังเกตสีหน้าของโม่ชิงเยว่ สายตาที่เต็มไปด้วยความสะใจของนางช่างแตกต่างจากสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่เขาคาดเอาไว้อย่างลิบลับ แต่ถึงกระนั้นการที่นางลงมือทำแผลให้เขาด้วยตนเองเช่นนี้ก็ยังดีกว่าการที่นางขับไล่เขากลับไปอย่างไม่คิดจะสนใจไยดี ซ่งเหวินจิ้งได้แต่คิดปลอบใจตนเองอยู่เช่นนี้จนสุดท้ายเขาทนรับความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ไหวสิ้นสติลงไปในที่สุด..
พอได้สติอีกครั้งเขาก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงนอนอันอ่อนนุ่ม ผ้าม่านคลุมเตียงที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเขาคือผ้าม่านคลุมเตียงของโม่ชิงเยว่เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วลองขยับกายดู ความเจ็บปวดที่ทำให้รวดร้าวไปถึงกระดูกทำให้เขาต้องพยายามสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เพื่อระงับความเจ็บปวด ทำให้คนที่นั่งอยู่ไม่ไกลขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินมาเปิดผ้าม่านคลุมเตียงออกเพื่อจ้องมองเขา
“ท่านตื่นแล้วหรือ” นางเอ่ยถามเขาเสียงเบาพลางพลิกกายเขาแล้วเปิดผ้าพันแผลเพื่อดูบาดแผลทางด้านหลัง แม้ว่าจะห่างไกลจากความอ่อนโยนที่เขาอยากได้แต่ก็ลดความรุนแรงมากเมื่อคืนนี้เป็นอย่างมาก ซ่งเหวินจิ้งจึงได้แต่ลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่เมื่อคิดได้ว่ายามนี้เขาอยู่ที่ไหนร่างกายของเขาก็พลันตึงเครียดขึ้นมาในทันที
“เพราะเหตุใดเจ้าจึงได้พาข้ามานอนบนที่นอนของเจ้าเช่นนี้ หากผู้อื่นเห็นเข้าเจ้าจะแก้ตัวว่าอย่างไร” คำถามของเขาทำให้โม่ชิงเยว่หัวเราะออกมาเบาๆ
“ท่านเป็นบุรุษยังต้องกลัวคำครหาด้วยหรือ” คำถามของนางทำให้เขาส่ายหน้า
“ข้าเป็นห่วงชื่อเสียงของเจ้าต่างหาก”
“ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ชอบให้สาวใช้เข้ามาปรนนิบัติข้าในห้องอยู่แล้ว หากข้าไม่ได้เรียกก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาหรอกเพราะฉะนั้นท่านสามารถนอนอยู่บนนั้นได้อย่างสบายใจ” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็ทอดถอนใจออกมา
“อีกสักครู่ข้าจะให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามา ท่านก็ซ่อนตัวอยู่ในนี้ก่อนก็แล้วกัน” เมื่อนางเอ่ยจบก็ดึงผ้าม่านมาปิดเอาไว้ทิ้งให้ซ่งเหวินจิ้งนอนจ้องมองผ้าม่านด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ เมื่อคิดได้ว่าการที่เขาซ่อนตัวอยู่บนเตียงของสตรีเช่นนี้มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังแอบทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมอยู่ จากเดิมทีที่ตั้งใจจะมาขอความเห็นใจแต่ยามนี้สิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ก็คือความสังเวชใจในตนเองเสียแล้ว...
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ