공유

บทที่ 47 ศัตรูตัวฉกาจ

작가: BigM00N
last update 최신 업데이트: 2025-05-25 19:50:51

“ท่านเข้ามาทำอะไรในห้องของท่านแม่ของข้า” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ วันนี้พึ่งจะมีคนมาบอกกับนางว่าบิดาของนางตาย ตกบ่ายท่านย่าผู้ไม่ชอบนางก็ตายตามไปด้วย จิตใจของนางจึงไม่ค่อยจะสงบเท่าใดนัก ทำให้นางรบเร้าให้ชุ่ยเหมยพานางและซ่งจื่อเยว่มาหาท่านแม่ของนาง แต่ยามนี้เมื่อนางได้พบว่าท่านแม่ของนางอยู่ร่วมห้องตามลำพังกับบุรุษอื่นความรู้สึกในใจของนางล้วนเต็มไปด้วยความอึดอัดและความไม่พอใจ

“ข้าได้รับบาดเจ็บ ฮูหยินเป็นคนที่มีความสามารถในการรักษาบาดแผล ข้าก็เลยมาหานางเพื่อให้นางทำแผลให้” คำตอบของเขาทำให้ซ่งจื่อเยว่เม้มปากแน่น

“ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อยจึงจะเชื่อท่าน” คำพูดของนางทำให้ทั้งโม่ชิงเยว่และซ่งเหวินจิ้งต่างก็จ้องมองนางด้วยสายตาไม่เชื่อถือนางจึงได้กระแอมแล้วเอ่ยออกมา

“อีกหกเดือนข้างหน้าข้าก็จะสี่ขวบ ไม่ใช่เด็กที่อายุสามขวบแล้ว” ใบหน้าเล็กๆ ที่พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเลียนแบบผู้ใหญ่ทำให้ทั้งโม่ชิงเยว่และซ่งเหวินจิ้งต่างก็จ้องมองนางด้วยความเอ็นดู

“เชื่อแม่เถอะ ใต้เท้าผู้นี้ถูกผู้อื่นลอบทำร้าย เขาไม่สามารถให้ผู้อื่นเห็นบาดแผลได้ก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องมาให้แม่ช่วยทำแผลให้ พวกเจ้าห้ามเอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใดนะ มันเป็นความลับที่มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่จะรับรู้ได้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้เด็กๆ พยักหน้า

“แล้วพี่ชุ่ยเหมยรู้ได้ใช่ไหมเจ้าคะ” คำถามของซ่งจื่อเหยาทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา

“แน่นอนว่าแม่จะอธิบายให้นางเข้าใจเอง หลังจากนี้พวกเจ้าอย่าได้นำเรื่องนี้ไปพูดกันอีกก็พอ หากผู้อื่นได้ยินเข้าใต้เท้าผู้นี้จะต้องตายแน่ ๆ แม่เองก็อาจจะถูกผู้อื่นหาเรื่องจนตายเช่นเดียวกัน” โม่ชิงเยว่เอยพลางเดินไปจับจูงมือของลูกๆ ของนางแล้วพาไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่กลางห้อง

“ท่านย่าผู้นั้นของพวกข้าตายไปแล้วมิใช่หรือ คงจะไม่มีผู้ใดคิดหาเรื่องให้ท่านแม่ต้องตายอีกแล้ว” คำพูดของซ่งจื่อเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งพลันขมวดคิ้วแน่น ส่วนโม่ชิงเยว่แค่เพียงยิ้มออกมาแล้วเอ่ยวาจาเพื่อปลอบโยนบุตรชายและบุตรสาว

“ท่านย่าสิ้นแล้วก็จริง แต่ผู้คนภายนอกมีตั้งมากมายต่างคนก็ต่างหลากหลายความคิด ลูกจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่อยากจะมอบความตายให้แก่พวกเรามีแค่ท่านย่า” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ภายใน เขาสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าของตนเองอีกครั้งแล้วจึงค่อยๆ ขยับตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง ความเจ็บปวดที่แผนหลังทำให้ร่างกายของเขายังคงแข็งเกร็งอยู่แต่ก็ยังไม่เท่าความเจ็บปวดที่กระแทกเข้าสู่กลางใจของเขา

“พวกข้าเข้าใจแล้วท่านแม่วางใจเถิดพวกข้าจะไม่พูดถึงเรื่องในวันนี้อีกแล้ว” เมื่อซ่งจื่อเหยาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความเอ็นดู

“ว่าแต่ใต้เท้าท่านนี้ไปพบกับคนไม่ดีเข้าหรือขอรับจึงได้ถูกทำร้ายมาเช่นนี้” คำถามของซ่งจื่อเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งชะงักงันไปแล้วจึงได้ส่งมอบรอยยิ้มอันจืดเจื่อนมาให้บุตรชายของเขา

“ใช่แล้ว ข้าถูกคนไม่ดีทำร้ายมา” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้ทั้งซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ต่างก็จ้องมองเขาด้วยความเห็นใจ

“ท่านพ่อของพวกข้าก็ถูกคนไม่ดีทำร้ายเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่เคยได้พบหน้าแต่พอรู้ว่าเขาตายไปแล้วข้าก็อดเสียใจไม่ได้” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

“ใช่! แม้ว่าเขาจะไม่เคยสนใจไยดีพวกเราแต่เขาก็คือท่านพ่อ ท่านแม่ข้ารู้สึกเสียใจเมื่อได้รู้ว่าเขาตายไปแล้วและข้าจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าเขา การที่ข้าเสียใจเพราะเรื่องของเขาเช่นนี้ทำให้ข้าอดรู้สึกผิดต่อท่านแม่ไม่ได้จริงๆ” คำพูดของซ่งจื่อเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งอดเอ่ยถามเขาไม่ได้

“ทำไมจะต้องรู้สึกผิดต่อท่านแม่ของเจ้าด้วย”

“ก็หลายปีมานี้เขาทอดทิ้งท่านแม่ของข้าอย่างไม่ไยดี หากข้าใส่ใจเขาก็หมายความว่าข้าทรยศต่อท่านแม่ของข้าน่ะสิ” คำพูดของซ่งจื่อเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งนิ่งงันไป

“จื่อเหยา จื่อเยว่ พวกเจ้าไม่ผิดหรอกที่จะรู้สึกเสียใจให้กับการตายของท่านพ่อของพวกเจ้าหรอก เพียงแต่สิ่งที่แม่อยากจะบอกกับพวกเจ้าก็คือยังไม่พบศพก็ไม่ได้หมายความว่าท่านพ่อของพวกเจ้าตายไปแล้ว แม่จึงยังไม่อยากให้พวกเจ้าเศร้าเสียใจมากจนเกินไป” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้เด็กทั้งสองต่างก็จ้องมองนางด้วยความไม่เข้าใจ

“ในโลงศพไม่ได้มีร่างของท่านพ่อของพวกเจ้า มีแค่เพียงเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เพียงเท่านั้นดังนั้นอย่าพึ่งมั่นใจว่าท่านพ่อของพวกเจ้าตายไปแล้ว” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง นางจึงช่วยดับความหวังของเขาด้วยคำพูดต่อมา

“แต่แน่นอนว่าต่อให้เขากลับมาพวกเราก็อาจจะไม่ได้อยู่ร่วมกันกับเขา ดังนั้นพวกเจ้าก็พยายามตัดอกตัดใจจากเขาเสียเถอะ”

“ท่านแม่หมายความว่าท่านพ่ออาจจะยังไม่ตายหรือเจ้าคะ” ซ่งจื่อเหยาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี น้ำเสียงเช่นนี้ช่วยปลอบประโลมจิตใจของซ่งเหวินจิ้งได้ดียิ่งนัก

“เช่นนั้นใต้เท้าผู้นี้ก็น่าอนาถน่ะสิ” คำพูดของซ่งจื่อเยว่ทำให้จิตใจของซ่งเหวินจิ้งพลันถูกแขวนค้างกลางอากาศอีกครั้ง

“ทำไมหรือ” เขาถามออกมาด้วยจิตใจอันล่องลอยจ้องมองเด็กชายตรงหน้าด้วยสายตาอันว่างเปล่า

“ก็ท่านชอบท่านแม่ของข้าไม่ใช่หรือ หากท่านพ่อของข้ากลับมาท่านก็มีคู่แข่งตัวฉกาจน่ะสิ” คู่แข่งตัวฉกาจอย่างซ่งเหวินจิ้งพลันมีสีหน้างุนงงในทันที

“ซ่งจื่อเยว่ลูกพูดอะไรออกมา” โม่ชิงเยว่เอยถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน

“ก็ท่านอาจ้าวทั้งสองเคยบอกกับลูกว่าใต้เท้าของพวกเขาชอบท่านแม่ของข้า แต่ท่านแม่ชอบท่านพ่อมากนี่นา พี่ชุ่ยเหมยเคยบอกกับข้าว่าท่านแม่ชอบท่านพ่อมากถึงขนาดยอมให้คนรังแกเช่นนั้น หากท่านพ่อกลับมาแผนการคิดจะขอหย่าของท่านแม่จะต้องถูกยกเลิกแน่ๆ” คำพูดของเด็กชายตัวน้อยทำให้บนใบหน้าของโม่ชิงเยว่พลันแข็งค้างไปในทันที ส่วนซ่งเหวินจิ้งในยามนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว

“นิ่งอันโหวเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้าจริงๆ หรือ แล้วเจ้าเข้าใจคำว่าชื่นชอบระหว่างบุรุษและสตรีแล้วหรือ” คำถามของเขาทำให้โม่ชิงเยว่หันไปส่งสายตาตักเตือนให้เขาในทันที

“ข้าไม่ใช่เด็กอมมือเสียหน่อย ทำไมจะไม่เข้าใจ” ซ่งจื่อเยว่เอยพลางซุกซ่อนหัวแม่มือที่เขาพึ่งจะกัดแทะไปก่อนหน้าที่จะมาที่เรือนของมารดาแล้วเอ่ยกับบุรุษตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เอาเป็นว่าข้ารู้ว่าบุรุษชอบสตรีได้หลายคน แต่สตรีมักจะชื่นชอบบุรุษแค่เพียงคนเดียว ดังนั้นท่านแม่ของข้าชื่นชอบท่านพ่อของข้าแล้วท่านก็หมดสิทธิ์ ส่วนความรักของท่านแม่ของข้าพวกข้าจับจองกันไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นหลังจากทำแผลเสร็จแล้วท่านก็จงรีบจากไปเสียเถอะ” คำพูดของซ่งจื่อเยว่เต็มไปด้วยความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของโม่ชิงเยว่อย่างเต็มที่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งพยักหน้าพลางเอ่ยชื่นชมออกมาด้วยความพึงพอใจ

“รู้จักหวงแหนแทนบิดาของเจ้าแล้วถือว่าใช้ได้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ส่งสายตาตักเตือนไปให้เขาอีกครั้ง เขาจึงได้ขยับตัวลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับเด็กทั้งสองเสียงเบา

“ทำแผลเสร็จแล้ว ควรจะต้องไปได้แล้ว ขอบคุณนิ่งอันโหวฮูหยินที่ลงมือทำแผลให้ข้าด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่ ซื่อจื่อน้อย ข้าคงต้องขอตัวก่อนเอาไว้พวกเราค่อยพบกันอีกในโอกาสหน้า” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยจบก็เดินออกไปทางประตูระเบียงที่เปิดเอาไว้แล้วเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว

“นั่นคือวิชาตัวเบาใช่ไหม ข้าอยากเรียนวิชาตัวเบาด้วย” ซ่งจื่อเยว่เอยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นโม่ชิงเยว่จึงได้ถามเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ท่านอาจ้าวทั้งสองคือผู้ใดกันหรือ”

“...” ซ่งจื่อเหยาจ้องมองน้องชายพลางแอบด่าเขาอยู่ในใจ ทั้งๆ ที่เคยกำชับเอาไว้แล้วว่าห้ามบอกเรื่องนี้ให้ท่านแม่รู้ แต่น้องชายของนางผู้นี้ก็ยังหลุดปากออกมาเสียได้

“ท่านอาจ้าวทั้งสอง เป็นองครักษ์ที่ใต้เท้าหน้ากากเหล็กส่งมาคอยติดตามอารักขาพวกเรา พวกเขากำชับให้พวกเราเก็บเป็นความลับ แต่ข้าไม่ชอบมีความลับต่อท่านแม่อีกทั้งใต้เท้าผู้นั้นก็รู้อยู่แล้ว ดังนั้นข้าเอ่ยถึงพวกเขาออกมาเช่นนี้คงจะไม่เป็นอะไรกระมัง” ซ่งจื่อเยว่เอ่ยกับพี่สาวเพื่อต้องการจะแก้ต่างให้ตนเอง ส่วนโม่ชิงเยว่ได้แต่มองออกไปทางระเบียงและคิดในใจว่า

‘ซ่งเหวินจิ้งท่านส่งคนประเภทไหนมาคอยดูแลลูกๆ ของข้ากันแน่’

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status