กรมอาญาได้มอบหมายให้ไปตรวจสอบที่จวนไหวกั๋วกงอีกครั้ง และได้พบว่ามีผ้าปักอีกหนึ่งชุดที่เป็นของสกุลเจียงอยู่ในจวนไหวกั๋วกง และผ้าปักชุดนี้ตรงกับรายการการสั่งซื้อที่สกุลเจียงได้รับจากจวนไหวกั๋วกงเข้าพอดี ทางสกุลเจียงจึงได้ฟ้องร้องจวนไหวกั๋วกงที่ศาลของกรมอาญาว่าจวนไหวกั๋วกงจงใจกลั่นแกล้ง ทำให้คุณชายใหญ่ต้องติดคุกและร้านผ้าสกุลเจียงต้องมีมลทิน
การฟ้องร้องของสกุลเจียงในครั้งนี้ทำให้ไหวกั๋วกงเหยียนฉือต้องออกหน้ามาที่ศาลของกรมอาญาด้วยตนเอง ด้วยสถานการณ์ในยามนั้นทำให้เขาต้องลดตัวไปขอขมาต่อคุณชายใหญ่สกุลเจียงด้วยตนเองและแจ้งกับกรมอาญาว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงของจวนไหวกั๋วกงและทางจวนกั๋วกงยินดีที่จะชดใช้ความผิดด้วยเงินจำนวนหนึ่งอีกทั้งยังจะว่าจ้างคนไปป่าวประกาศรอบๆ เมืองว่าเป็นจวนไหวกั๋วกงเข้าใจสกุลเจียงผิด ทางสกุลเจียงยินดีที่จะยอมรับข้อเสนอนี้ของจวนไหวกั๋วกงจึงทำให้คดีความเรื่องการคดโกงของสกุลเจียงจบลงเพียงเท่านี้
ยามที่ทางจวนไหวกั๋วกงส่งคนป่าวร้องและประกาศว่าเป็นการเข้าใจผิดผู้คนต่างก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีคนรู้สึกผิดที่เคยเข้าใจผิดร้านผ้าสกุลเจียงและรู้สึกเห็นใจคุณชายใหญ่ที่ต้องติดคุกอย่างไม่เป็นธรรมทำให้ร้านผ้าสกุลเจียงถูกพูดถึงอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้ยังถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง ชาวบ้านระดับกลางและระดับล่างล้วนก็ต่างพูดถึงร้านผ้าสกุลเจียงอย่างชื่นชม ร้านผ้าสกุลเจียงจึงได้ถือโอกาสนี้เปิดร้านผ้าสาขาย่อยเพื่อขายผ้าปักที่มีคุณภาพลดลงมาด้วยราคาย่อมเยา เปิดโอกาสให้ช่างปักในโรงปักได้ฝึกฝนงานฝีมืออย่างไม่ต้องพะวงเรื่องความสิ้นเปลืองของวัตถุดิบ อีกทั้งชาวบ้านทั่วไปก็ยังสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่จ่ายไหวทำให้ในท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือสกุลเจียง
“บัดซบ! เจ้าโง่หรือไง เหตุใดถึงยังได้เก็บผ้าปักชุดที่มีปัญหาเอาไว้ในจวน” ไหวกั๋วกงสบถด่าพลางลงมือตบเข้าไปที่ใบหน้าของไหวกั๋วกงฮูหยินด้วยความโมโห
“ข้าให้คนทำลายไปแล้ว ก่อนที่ข้าจะลงมือเล่นงานคนสกุลเจียงข้าให้คนเผาผ้าปักชุดนั้นทิ้งไปแล้ว” ไหวกั๋วกงฮูหยินเอ่ยพลางยกมือขึ้นมากุมใบหน้าเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดและความเจ็บใจนางนิ่วหน้าพลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง
“จะต้องเป็นนิ่งอันโหวฮูหยินแน่ๆ นางส่งผ้าปักลวดลายที่คล้ายกันแต่มีเนื้อผ้ามีความล้ำค่ามากกว่ามาทำให้ข้าจิตใจสับสน จนไม่ได้ระมัดระวังตนว่าอาจจะมีคนลักลอบนำผ้าปักอีกชุดมาซุกที่จวน” คำพูดของไหวกั๋วกงฮูหยินทำให้ไหวกั๋วกงขมวดคิ้ว
“เจ้าจะบอกกับข้าว่าผ้าปักที่กรมอาญาตรวจพบคือผ้าปักอีกชุดหนึ่งที่มีคนลักลอบนำมาซุกซ่อนเอาไว้ที่จวนหรือ” เมื่อไหวกั๋วกงเอ่ยถามเช่นนี้ไหวกั๋วกงฮูหยินก็พยักหน้า
“เป็นไปไม่ได้! การคุ้มกันจวนแน่นหนาถึงเพียงนี้จะมีคนลักลอบเข้ามาได้อย่างไร” ไหวกั๋วกงเอ่ยพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมืดครึ้ม
“หากกรมอาญาเป็นคนลงมือเองเล่าเจ้าค่ะ หากพวกเขาเป็นคนเอาผ้าเข้ามาตอนที่มาตรวจก็น่าจะเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ” คำพูดประโยคนี้ของไหวกั๋วกงฮูหยินทำให้ไหวกั๋วกงส่ายหน้า
“นางไม่น่าจะมีเส้นสายในกรมอาญา ยามนี้นิ่งอันโหวก็สิ้นแล้ว ส่วนสกุลเดิมของนางพอสิ้นแม่ทัพโม่แล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก ยิ่งสกุลเจียงยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากพวกเขามีเส้นสายในกรมอาญาคุณชายใหญ่ของพวกเขาจะถูกจับขังคุกเช่นนั้นได้อย่างไร” เมื่อไหวกั๋วกงเอ่ยเช่นนี้ไหวกั๋วกงฮูหยินก็แค่นเสียงออกมาอย่างดูหมิ่น
“นางมีใบหน้างดงามราวกับนางจิ้งจอกเช่นนั้นย่อมจะล่อลวงผู้อื่นได้อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคนอย่างลูกชายของพวกเราจะลุ่มหลงจนกล้าทะเลาะทุ่มเถียงกับข้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้หรือ ยังไม่นับนิ่งอันโหวเองที่กล้ากราบทูลขอพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทจนทำให้ตนเองต้องไปผจญความยากลำบากที่ชายแดนตั้งหลายปี ท่านไม่คิดว่านางจะสามารถใช้ความงามล่อลวงผู้อื่นในกรมอาญาได้หรือ” คำพูดของไหวกั๋วกงฮูหยินทำให้นิ่งกั๋วกงนิ่งงันไป
“เช่นนั้นก็ไม่สมควรจะเก็บนางเอาไว้” คำพูดของไหวกั๋วกงทำให้ไหวกั๋วกงฮูหยินลอบยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ หากเป็นไหวกั๋วกงเป็นคนออกคำสั่งบุตรชายของนางมีหรือจะกล้าโต้แย้ง
“แล้วแผนการของลูกเล่าเจ้าคะ เขาอยากจะได้กองทัพของจวนนิ่งอันโหวมิใช่หรือ” เมื่อไหวกั๋วกงฮูหยินเอ่ยเช่นนี้ไหวกั๋วกงจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด
“คิดทำการใหญ่ต้องรู้จักเสียสละเขารู้ข้อนี้ดีที่สุด ส่วนเรื่องกองกำลังของนิ่งอันโหวข้าจะจัดการเอง แค่เด็กน้อยอมมือไม่กี่ขวบจะสามารถควบคุมกองทัพได้อย่างไร ทันทีที่นิ่งอันโหวฮูหยินตายเขาก็จะเคว้งคว้าง ถึงยามนั้นกองกำลังของจวนโหวก็จะกระจัดกระจายพวกเราค่อยเก็บผลประโยชน์ในยามนั้นเอาก็ได้” เมื่อไหวกั๋วกงเอ่ยเช่นนี้ไหวกั๋วกงฮูหยินก็พยักหน้าอย่างยินดี สำหรับนางแล้วขอแค่เพียงสตรีผู้นั้นตายบุตรชายของนางก็จะกลับเข้ามาอยู่ในความควบคุมของนางอีกครั้ง
ในขณะที่สองสามีในจวนกั๋วกงกำลังวางแผนจะฆ่าคน ส่วนสองสามีในจวนโหวก็กำลังนั่งทำแผลให้กันอยู่ เพียงแต่คราวนี้การทำแผลของโม่ชิงเยว่ไม่ได้ทำให้ซ่งเหวินจิ้งรู้สึกเจ็บปวดมากอย่างที่ผ่านมาแล้วเขาจึงได้แต่ทอดถอนใจแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลของข้าหายดีหรือว่าโทสะของฮูหยินของข้าเริ่มผ่อนคลายลงแล้วกันแน่ บาดแผลของข้าจึงได้ไม่เจ็บแล้วเช่นนี้” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมาพลางเก็บขวดยาเอาไว้ดังเดิม
“แน่นอนว่าบาดแผลของท่านย่อมจะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของ ข้าเคยบอกท่านแล้วหากผู้ใดทำดีต่อข้าแม้เพียงหนึ่งข้าย่อมจะตอบแทนคืนกลับเป็นสองเท่า แต่หากทำไม่ดีกับข้ารับรองว่าข้าจะตอบแทนคืนกลับไปเป็นร้อยเท่าพันทวีไม่มีคำว่าปรานีอย่างเด็ดขาด” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“เช่นนั้นเหวินหนิงก็ถือว่าได้รับโทษน้อยกว่าที่ควรจะได้รับแล้วสินะ” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“ถูกจับโกนศีรษะกักขังให้อยู่แต่ในอาราม สำหรับคุณหนูที่ทั้งเย่อหยิ่งและจองหองก็ถือว่าเป็นโทษที่สาสมแล้ว แม้ว่านางจะเคยคิดวางแผนทำร้ายข้าแต่นางก็หาทำสำเร็จไม่ มีแค่แค่เพียงคำพูดทำร้ายจิตใจและท่าทีที่น่ารังเกียจของนางเพียงเท่านั้นที่ข้าไม่คิดจะให้อภัย” โม่ชิงเยว่เอยเอ่ยพลางนั่งลงเคียงข้างเขาแล้วรินน้ำชาให้ตนเอง
“แล้วสุ่ยอี้โหรวเล่า เจ้าคิดจะทรมานนางไปตลอดเช่นนี้หรือ” คำถามของเขาทำให้โม่ชิงเยว่หันไปมองเขาด้วยสายตากล่าวหาในทันที
“ทำไมหรือ ท่านอยากช่วยนางหรือ” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งรีบส่ายหน้าในทันที
“สำหรับข้าแค่ฆ่านางให้ตายไปก็จบแล้ว จะเลี้ยงดูนางเอาไว้ให้รกสายตาไปทำไม” คำว่ารกสายตาของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ตวัดสายตาไม่พอใจใส่เขาแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ข้าก็หลงคิดว่าท่านโหวชอบนางมาก ก็เลยตั้งใจเก็บนางเอาไว้ให้ท่านได้พบเจอยามที่ท่านรู้สึกคิดถึงขึ้นมา” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้ชอบนาง คนที่ข้าชอบมีแค่เพียงเจ้าเท่านั้น” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังของเขาทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“ข้าจดจำเอาไว้แล้วว่าท่านชอบข้า ข้าจะรอดูก็แล้วกันว่าคำว่าชอบของท่านจะทำให้ท่านปฏิบัติต่อข้าในรูปแบบไหนในวันข้างหน้า” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็พลันยกมือขึ้นมาทำท่าสาบานในทันที
“ข้าขอสาบานต่อฟ้า หากข้าทำผิดต่อเจ้าอีกขอให้ฟ้าลงทัณฑ์ข้าทำให้ข้าคนนี้ไม่ได้ตายดี” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันหัวเราะออกมาในทันที
“ท่านตายไปแล้ว ท่านก็สามารถพูดได้สิ” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็ส่ายหน้า
“ยังไม่ตายเสียหน่อย อีกไม่กี่วันก็จะมีคนพบร่างของข้าแล้ว” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว
“กองกำลังของฉินอ๋องมีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เจ้านายของพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงข้ากังวลว่าพวกเขาจะใช้ข้ออ้างว่ามาช่วยฉินอ๋องแล้วก่อการกบฏขึ้นมา หากข้าไม่รีบฟื้นเมืองหลวงต้องแย่แน่ๆ ส่วนเรื่องจวนไหวกั๋วกงข้าคงจะต้องรีบลงมือแล้ว ทางที่ดีช่วงนี้เจ้าอย่าพึ่งออกจากจวน ข้าได้ยินข่าวมาว่านักฆ่าของจวนกั๋วกงกำลังมีความเคลื่อนไหว และเป้าหมายน่าจะเป็นเจ้า” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่เก็บงำรอยยิ้มของตนเองในทันที
“พวกเขาคิดจะฆ่าข้าเช่นนั้นหรือ”
“เรื่องที่ไหวกั๋วกงต้องออกหน้าไปที่ศาลของกรมอาญาด้วยตนเองน่าจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งการที่เขาต้องลดตัวไปขอขมาญาติผู้พี่ของเจ้าน่าจะทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย ยามนี้โทสะของเขาน่าสูงเทียมฟ้าแล้วดังนั้นทั้งเจ้าและคนสกุลเจียงจะต้องระวังตัว” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ข้าจะส่งคนไปแจ้งที่สกุลเจียง” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ส่ายหน้า
“เจ้าไม่ต้องส่งคนไปหรอก ข้าส่งคนไปก่อนหน้านี้แล้วอีกทั้งยังส่งกองกำลังฝีมือดีอีกไปคอยคุ้มครองคนสกุลเจียงทั้งสกุลอีกด้วย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่จึงได้เอ่ยขอบคุณเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ขอบคุณท่านมากที่ออกหน้าช่วยเหลือสกุลเจียง”
“เจ้าคือภรรยาของข้า จวนสกุลเจียงคือญาติทางฝั่งมารดาของเจ้าหากข้าไม่ปกป้องก็นับได้ว่าเป็นคนที่ใช้การไม่ได้แล้ว” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้จิตใจของโม่ชิงเยว่พลันสั่นไหวไม่ใช่แค่พูดเขายังยื่นมือข้างหนึ่งของตนมากอบกุมมือของนางเอาไว้
“ชิงเยว่ ให้โอกาสข้าอีกครั้งนะ คราวนี้ข้ารับปากว่าจะคอยดูแลเจ้ากับลูกๆ ให้ดี จะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องได้รับความยากลำบากและความเจ็บช้ำใดๆ อีก” ทั้งคำพูดและสายตาของเขาทำให้โม่ชิงเยว่นิ่งงันไป ความอบอุ่นของอุ้งมือของเขาทำให้นางไม่อยากจะดึงมือของตนเองกลับนางจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาเสียงเบา
“อย่าได้ทำให้ข้าต้องผิดหวังในตัวท่านอีกครั้งก็แล้วกัน” เมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้เขาก็รีบพยักหน้าด้วยความยินดีในทันที
“แน่นอน ข้าคนนี้จะไม่ทำให้เจ้าต้องรู้สึกผิดหวังในตัวข้าอีกแล้ว” เขาเอ่ยพลางกอบกุมมือของนางเอาไว้อย่างแนบแน่นสองสายตาที่ประสานกันทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความอบอุ่น โม่ชิงเยว่บอกกับตนเองว่านางไม่อยากจะพึ่งพาผู้ใดแต่หากมีคนเต็มใจให้พึ่งพาเหตุใดนางจึงจะไม่รับเล่า เพียงแต่ถึงอย่างไรก็ควรพึ่งพาตนเองให้มากเข้าไว้อย่าได้พึ่งพาผู้อื่นจนคุ้นชินจนทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ