ร้านโม่เซียงของนิ่งอันโหวฮูหยินได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เครื่องหอมในร้านไม่เพียงมีกลิ่นหอม แต่วัสดุสำหรับใส่เครื่องหอมล้วนงดงามและมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเตาเผาเครื่องหอม กล่องกำยาน กล่องไม้สำหรับเก็บเครื่องหอมรวมไปถึงถุงผ้าปักที่ใช้ใส่เครื่องหอมล้วนขายดีไม่แพ้เครื่องหอมในร้านเลย เมื่อการค้าดีการเงินก็ย่อมจะดีตามมา แม้ว่าช่วงนี้โม่ชิงเยว่จะไม่ได้ขาดแคลนเงินแล้ว แต่การมีเงินเพิ่มอีกทั้งยังมีช่องทางทำเงินอยู่ในมือย่อมจะทำให้คนสบายใจ
“ถึงแม้ว่ามีเงินเยอะมากจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ควรจะหักโหมจนเกินไปนะ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยออกมาหลังจากที่นั่งมองโม่ชิงเยว่นั่งตรวจสอบบัญชี นางนั่งทำตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนยามนี้ดึกมากแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดพักทำให้เขาอดเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“เจ้าควรได้พักสักนิด” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยกับเขาเสียงเบา
“อีกสักครู่ก็จะเสร็จแล้ว” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางลูบที่ต้นคอด้วยความเมื่อยล้า ซ่งเหวินจิ้งจึงได้ถือวิสาสะเดินไปทางด้านหลังของนางแล้วยื่นมือไปช่วยบีบนวดต้นคอและบ่าไหล่ให้นางอย่างเอาอกเอาใจ ซึ่งนางก็ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือนี้ทำให้เขายืนบีบนวดให้นางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"เหตุใดเงินที่อยู่ในกล่องใบนั้นเจ้าจึงได้ทะนุถนอมเป็นพิเศษ" ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางชี้ไปที่กล่องใส่เครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ท่านเห็นด้วยหรือ เงินสามก้วนที่อยู่ในนั้นคือเงินที่ท่านแม่เคยมอบให้ ข้าตัดใจใช้ไม่ลงแม้แต่ในยามที่ยากลำบากจนเกือบจะตายก็ยังไม่นำออกมาใช้เลย” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งพลันชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงได้ลงมือบีบนวดให้นางอย่างใส่ใจมากยิ่งขึ้น
“เจ้าก็เลยชอบเงินมากเป็นพิเศษ” คำพูดของเขาทำให้นางพยักหน้า
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยรู้เลยว่าหากไม่มีเงินจะลำบาก เคยคิดว่าตนเองเป็นถึงลูกสาวของแม่ทัพ ต่อมาก็ได้แต่งกับท่านโหวอีกทั้งยังมีวรยุทธ์ติดกายไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องเงินทองเป็นของสำคัญ ไม่เคยรู้เลยว่าพอไม่มีเงินทองแล้วชีวิตจะยากลำบาก ขาดเงินก็ขาดอาหาร ขาดยาแม้กระทั่งการได้รับการรักษาที่ดี ยามนี้พอมีโอกาสมีช่องทางที่จะหาเงินได้ข้าก็จะต้องรีบคว้าเอาไว้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้มือที่กำลังบีบนวดนางอยู่หยุดการบีบนวดไปแล้วยื่นมาโอบกอดนางเอาไว้แทน
“ข้าขอโทษนะที่ดูแลเจ้าได้ไม่ดี” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอีกทั้งยังมีความสงสารปะปนมาด้วยทำโม่ชิงเยว่ละมือจากบัญชีแล้วตีมือที่กำลังโอบกอดนางจากทางด้านหลัง
“ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ” แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้นแต่พอเขาไม่ยอมเอามือออกนางก็ไม่ได้ต่อต้านเขาปล่อยให้เขาโอบกอดนางอยู่เช่นนั้น ดังนั้นตอนที่ซ่งจื่อเหยา ซ่งจื่อเยว่และชุ่ยเหมยเดินเข้าห้องมาจึงได้เห็นว่าซ่งเหวินจิ้งกำลังโน้มกายลงมาโอบกอดโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะบัญชีตัวใหญ่
“ท่านแม่!” เสียงของซ่งจื่อเหยาทำให้ทั้งโม่ชิงเยว่และซ่งเหวินจิ้งต่างก็เงยหน้าขึ้นมา ซ่งเหวินจิ้งคลายอ้อมกอดของตนเองออกแล้วส่งสายตาตำหนิไปที่จ้าวหรงกับจ้าวรุ่ยที่เดินติดตามเด็กๆ มาทางด้านหลัง ส่วนชุ่ยเหมยนั้นนางทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจแล้วจึงได้เอ่ยออกมาตามตรง
“คุณหนูและซื่อจื่อน้อยอยากจะมาหาฮูหยิน บ่าวคิดว่าที่นี่เป็นห้องบัญชีน่าจะพามาได้ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้” คำพูดของชุ่ยเหมยทำให้ทั้งจ้าวหรงและจ้าวรุ่ยต่างก็พยักหน้าและทำสีหน้าให้เห็นว่าชุ่ยเหมยเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว ซ่งเหวินจิ้งจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่นี้แล้วเอ่ยกับชุ่ยเหมยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ชุ่ยเหมยเจ้าออกไปก่อนเถิด พาเจ้าสองคนที่อยู่ข้างนอกนั่นไปด้วยข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับลูกๆ ของข้าหน่อย” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้เด็กทั้งสองก็ต่างหันไปมองหน้ากัน ส่วนชุ่ยเหมยหันไปมองโม่ชิงเยว่เมื่อเห็นว่าโม่ชิงเยว่พยักหน้าให้นางก็รับคำแล้วถอยออกไปโดยไม่ลืมที่จะส่งสัญญาณให้จ้าวรุ่ยและจ้าวหรงติดตามนางไปด้วย
ภายนอกห้องไร้ผู้คนด้วยเรือนพักของโม่ชิงเยว่นั้นหากไม่ได้รับอนุญาตจะไม่มีสาวใช้ผู้ใดกล้าย่างเท้าเข้ามา มีแค่เพียงหรงมามา ชุ่ยหลันและชุ่ยเหมยเพียงเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้านอกออกในเรือนแห่งนี้ได้ ซึ่งในยามค่ำคืนพวกนางมักจะถูกโม่ชิงเยว่ไล่ให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน มีแค่เพียงชุ่ยเหมยเพียงเท่านั้นที่มักจะออกมาเดินตรวจตราความเรียบร้อยเพื่อคอยอารักขาความปลอดภัยให้แก่เจ้านาย ส่วนภายในห้องยามนี้ฝาแฝดชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนจ้องตากับบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ
“ท่านพ่อของข้าตายไปแล้ว ท่านกำลังคิดจะมาแทนที่ท่านพ่อของข้าหรือ” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามบุรุษตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ใช่ถึงแม้ว่าท่านพ่อของข้าจะเป็นคนที่ไม่เอาไหนแต่เขาก็เป็นท่านโหวนะ แถมก่อนตายยังทิ้งตำแหน่งซื่อจื่อให้ข้าด้วย เพราะฉะนั้นท่านอย่าคิดว่าจะสามารถมาแทนที่ข้าได้” ซ่งจื่อเยว่เอ่ยพลางยกมือขึ้นมากอดอกด้วยท่วงท่าที่คิดว่าน่าเกรงขามมากที่สุด ซึ่งในสายตาของซ่งเหวินจิ้งนั้นไม่ว่าบุตรสาวและบุตรชายจะทำอะไรก็ดูน่าเอ็นดูไปทั้งหมด แม้ว่าคำว่าไม่เอาไหนจะทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยจะชอบใจเท่าใดนัก แต่เมื่อคิดถึงความยากลำบากของสามแม่ลูกในยามที่เขาไม่อยู่เขาก็พยายามปลอบใจตนเองว่าอย่าได้ถือสา
“ทั้งที่หลายวันมานี้ข้าตามใจซื่อจื่อทุกอย่าง ทั้งทวนยาวด้ามนั้น ทั้งกระบี่ไม้เล่มใหม่ ยังไม่นับหุ่นไม้ที่วางเรียงรายอยู่จนเต็มห้องของซื่อจื่อข้าวของเหล่านั้นยังไม่สามารถซื้อใจซื่อจื่อได้อีกหรือ” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้ซ่งจื่อเหยายกมือขึ้นมาตีศีรษะของน้องชายอย่างเต็มแรงแล้วดุออกมาเสียงดัง
“เจ้าคนเห็นแก่ได้” แม้ว่าจะถูกพี่สาวลงมืออย่างรุนแรงแต่ซ่งจื่อเยว่กลับไม่โกรธพี่สาวเขาแค่เพียงลูบศีรษะบริเวณที่ถูกพี่สาวตีแล้วส่งสายตาตำหนิให้บุรุษตรงหน้าแทน
“เขาให้ข้าก็รับ ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรเสียหน่อย” คำพูดของซ่งจื่อเยว่ทำให้ซ่งจื่อเหยาส่ายหน้าส่วนซ่งเหวินจิ้งได้แต่มองซ่งจื่อเหยาด้วยสายตารู้ทัน เขาและนางสบตากันครู่หนึ่งแล้วนางจึงได้หลบตาเขาด้วยความรู้สึกผิด ตุ๊กตาผ้าหลายตัวที่อยู่ในห้องนางล้วนเป็นของเขาดังนั้นหากจะพูดว่าน้องชายเห็นแก่ได้ ตัวนางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ดังนั้นการที่ซ่งเหวินจิ้งไม่ได้เปิดเผยเรื่องตุ๊กตาผ้าก็ถือว่าให้หน้านางมากแล้วนางจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
“เอาล่ะพวกเรามาพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่า” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางจ้องมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง
“พ่อที่ไม่เอาไหนของพวกเจ้าแท้จริงแล้วคือข้าเอง” คำพูดของเขาทำให้เด็กน้อยทั้งสองนิ่งงันไป ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองท่าทีของเด็กน้อยทั้งสองแล้วก็ทอดถอนใจออกมา พลางคิดในใจว่า ‘ข้าจะหวังอะไรจากพวกเขาได้ จะให้พวกเขาดีอกดีใจที่ได้รู้ว่าข้าเป็นพ่อของพวกเขาหรืออย่างไร’
“เรื่องนี้พวกเจ้าบอกกับผู้ใดไม่ได้เข้าใจหรือไม่ ว่าข้าที่เป็นท่านพ่อของพวกเจ้าแท้จริงแล้วยังไม่ตาย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสองก็ต่างพยักหน้า สีหน้าที่เต็มไปด้วยความมึนงงและความสับสนของเด็กน้อยทั้งสองทำโม่ชิงเยว่ต้องเรียกพวกเข้าด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“จื่อเหยา จื่อเยว่พวกเจ้ามาหาแม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสองก็ต่างเดินตรงไปหานางในทันทีซึ่งนางก็ดึงเด็กน้องทั้งสองไปโอบกอดเอาไว้เพื่อปลอบประโลมแล้วจึงได้เอ่ยกับพวกเขาเสียงเบา
“ก่อนหน้านี้ที่แม่ไม่ได้บอกกับพวกเจ้าว่าเขาคือท่านพ่อของพวกเจ้าเป็นเพราะไม่สะดวกจะให้ผู้อื่นรู้ว่าเขากลับมาแล้ว ต่อมาสาเหตุที่ต้องประกาศว่าท่านพ่อของพวกเจ้าตายก็เพราะเขาถูกคนหมายปองชีวิต พวกเจ้าก็เคยเห็นแล้วว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและบาดแผลก็พึ่งจะดีขึ้นจึงยังไม่อาจจะให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเรื่องที่เขาคือท่านพ่อของพวกเจ้าจงอย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้ ไม่ใช่แค่เพื่อความปลอดภัยของเขาแต่ยังเพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้าเองด้วย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้เด็กทั้งสองก็พยักหน้า
“ท่านแม่โปรดวางใจข้าจะไม่บอกกับผู้ใดแน่เจ้าค่ะว่าท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านแม่วางใจได้ขอรับข้าก็จะไม่พูดเรื่องนี้กับผู้อื่นอย่างเด็ดขาด” ซ่งจื่อเยว่เอ่ยออกมาด้วยเช่นกันทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมาในทันที
“เด็กดี แม่คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าเป็นเด็กรู้ความ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสองก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจแล้วโอบกอดมารดาของพวกเขาอย่างแนบแน่น ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองภาพตรงหน้าแล้วก็ทอดถอนใจออกมา แม้ว่าภายในใจเขาเองก็อยากจะโอบกอดลูกๆ เฉกเช่นเดียวกับที่โม่ชิงเยว่ทำ แต่เพราะที่ผ่านมาเขากับเด็กน้อยทั้งสองแทบจะไม่เคยได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงค่อยๆ ทำความใกล้ชิดสนิทสนมกับเด็กๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะมีสายสัมพันธ์พ่อลูกกันแต่ในเมื่อไม่ได้เลี้ยงดูพวกเขามาจึงทำได้แค่เพียงค่อยๆ ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ใช้ระยะเวลาในการช่วยสร้างสายสัมพันธ์ฉันพ่อลูกเพียงเท่านั้น
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ