เมื่อรู้ว่าไหวกั๋วกงฮูหยินตั้งใจจะข่มขู่และกดข่มนางไม่ให้นางหวังสูงถึงตำแหน่งฮูหยินของซื่อจื่อจวนกั๋วกง โม่ชิงเยว่ก็ได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ ยามนี้อย่าว่าแต่คิดจะมีสามีใหม่แค่นางคิดจะสลัดสามีเก่าก็ยังเป็นเรื่องยากเลย เพียงแต่ที่น่าสงสารก็คือญาติผู้พี่จากสกุลเจียงของนางเขาไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับเรื่องนี้แต่กลับต้องมาถูกยัดเยียดข้อหาและถูกคุมขังเพียงเพราะคนผู้หนึ่งต้องการข่มขู่นางเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อเขาเลย
“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนไหวกั๋วกงฮูหยินปล่อยสกุลเจียงไปเถอะเจ้าค่ะ เพราะว่าข้าไม่ได้คิดจะเข้ามาเป็นสะใภ้ของท่าน” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ไหวกั๋วกงฮูหยินมีสีหน้าไม่เชื่อถือนางจ้องมองโม่ชิงเยว่ด้วยสายตาดูแคลนแล้วจึงได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดสี
“จวนโหวไร้หัวเรือใหญ่คอยควบคุม ซื่อจื่อน้อยก็ไร้เดียงสาจนต้องหาคนมาคอยปกป้อง สกุลเดิมของเจ้าก็ไม่มี ไม่ใช่ว่าเจ้าจำเป็นต้องหาสกุลใหญ่เอาไว้พึ่งพิงเพื่อประคับประคองจวนโหวเอาไว้ให้ลูกชายของเจ้าหรอกหรือ” คำพูดประโยคนี้ของไหวกั๋วกงฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่พลันยิ้มออกมาในทันที
“ไหวกั๋วกงฮูหยินวางใจเถิด ต่อให้ข้าต้องการหาที่พึ่งพิงก็ไม่กล้าคาดหวังว่าจะพึ่งพิงท่านราชเลขาธิการหรอกเจ้าค่ะ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางขยับกายลุกขึ้น
“เรื่องญาติผู้พี่ของข้ารบกวนไหวกั๋วกงฮูหยินส่งคนไปแจ้งที่กรมอาญาให้ข้าด้วยว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ส่วนเรื่องที่ท่านเข้าใจผิดอยู่นั้นข้าคิดว่าข้าสมควรจะอธิบายให้ท่านได้เข้าใจว่าข้าไม่ได้มีความคิดที่จะแต่งงานใหม่ ต่อให้จำเป็นต้องแต่งใหม่จริงๆ ก็ไม่มีทางจะแต่งเข้าจวนกั๋วกงอันยิ่งใหญ่แห่งนี้หรอกเจ้าค่ะ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้คนที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกโถงรับรองแขกถึงกับขมวดคิ้ว เขาจ้องมองนางผ่านประตูของห้องโถงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา โม่ชิงเยว่หันไปเห็นสายตาของเขานางก็ยิ้มออกมา
“ท่านราชเลขาธิการมาพอดี รบกวนท่านช่วยพูดกับไหวกั๋วกงฮูหยินให้ข้าด้วย สกุลเจียงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ การไปหาเรื่องพวกเขาไม่คุ้มค่าให้พวกท่านต้องลงมือหรอก” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ไหวกั๋วกงฮูหยินก็หันไปจ้องมองที่หน้าประตูด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าเข้าวังไปแล้วไม่ใช่หรือเหตุใดจึงได้กลับมาในยามนี้ได้เล่า” เมื่อไหวกั๋วกงฮูหยินเอ่ยถามเช่นนี้เหยียนเซียวก็เดินเข้ามาในโถงรับรองแล้วเอ่ยกับมารดาของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พอได้ยินว่านิ่งอันโหวฮูหยินมาเป็นแขกที่จวน ข้าก็เลยรีบกลับมา” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้สีหน้าของไหวกั๋วกงฮูหยินพลันเปลี่ยนไป ส่วนโม่ชิงเยว่ก็จ้องมองเขาด้วยสายตาอันว่างเปล่า
“ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องพูดคุยแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางคารวะอำลาไหวกั๋วกงฮูหยินตามธรรมเนียมแล้วจึงได้หันหลังกลับเตรียมจะเดินออกจากโถงรับรอง แต่เสียงของเหยียนเซียวทำให้นางหันกลับมาจ้องมองเขาด้วยสายตาอันเย็นเหยียบ
“นิ่งอันโหวฮูหยินหากท่านไม่คิดจะแต่งเข้าจวนไหวกั๋วกง สกุลเจียงย่อมจะต้องถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องแน่ แค่ปกป้องจวนโหวก็เป็นเรื่องยากแล้วท่านคิดว่าจะสามารถปกป้องสกุลเจียงได้หรือ” คำพูดของเหยียนเซียวไม่ใช่แค่เพียงโม่ชิงเยว่ที่ไม่พอใจแม้แต่ไหวกั๋วกงฮูหยินก็พลอยรู้สึกไม่ชอบใจไปด้วย
“เหยียนเซียวเจ้าพูดอะไรออกมา เจ้ารู้ตัวหรือไม่” คำถามของไหวกั๋วกงฮูหยินทำให้เหยียนเซียวหัวเราะออกมาเบาๆ
“ข้าก็แค่พูดตามความเป็นจริง ท่านแม่ทำให้ข้าคิดได้แล้วว่าหากอยากจะครอบครองสิ่งใดก็ควรจะลงมือให้เต็มที่ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ท่านทำให้ข้ารู้ว่าขอแค่เพียงโจมตีให้ตรงจุดก็ไม่จำเป็นต้องออกแรงมากแล้ว” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
“ท่านราชเลขาธิการ ท่านไม่กลัวว่าตนเองจะถูกโจมตีตรงจุดบ้างหรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้เหยียนเซียวส่ายหน้า
“ข้าไม่มีจุดอ่อนอะไรให้โจมตี” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“มนุษย์ทุกคนย่อมจะมีจุดอ่อนของตนเอง เพียงแต่ตอนนี้ท่านอาจจะแค่เพียงนึกถึงจุดอ่อนของตนเองไม่ได้เพียงเท่านั้น” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้เขาจ้องมองนางด้วยสายตาอันคมกริบ
“นิ่งอันโหวฮูหยินข้าจะให้โอกาสท่านให้กลับไปคิดทบทวนดูอีกครั้ง ตำแหน่งฮูหยินของข้าจะสามารถใช้เป็นเกราะคุ้มกันภัยให้แก่บุตรชายของท่านได้” เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอ แต่พวกท่านสองแม่ลูกไปตกลงกันก่อนดีหรือไม่ อืม อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องตกลงเพราะข้าไม่คิดจะพึ่งพาใครอีกแล้ว” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้เหยียนเซียวจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยออกมาเสียงเบา
“สักวันท่านจะต้องเปลี่ยนใจ” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาอีกครั้งแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
“อย่าได้บีบบังคับข้าจนเกินไป อย่าทำให้ข้าต้องกลายเป็นหมาจนตรอกที่มันต้องหันหน้ามาต่อสู้อย่างสุดชีวิต หากข้าต้องตกอยู่ในสภาพนั้นเมื่อไหร่ข้าเชื่อว่าคนที่ทำให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพนั้นจะต้องคิดเสียใจอย่างแน่นอน” เมื่อเอ่ยจบนางก็เดินออกจากโถงรับรองของจวนไหวกั๋วกงด้วยสีหน้าเย็นชา นางไม่คิดจะสนใจสักนิดว่าสองแม่ลูกในจวนกั๋วกงจะตกลงกันได้หรือไม่แต่สิ่งที่นางคิดอยู่ในยามนี้ก็คือนางรู้สึกรังเกียจที่จะอยู่ที่จวนแห่งนี้เนิ่นนานเกินกว่านี้แล้ว
ยามที่โม่ชิงเยว่ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วก็พบว่ามีคนนั่งรออยู่ด้านในนางจึงได้เข้าไปนั่งลงบนเบาะนั่งที่อยู่คนละฝั่งกับเขา ชุ่ยเหมยที่ติดตามมาด้วยก็รีบลงจากรถม้าในทันทีเพื่อมอบความเป็นส่วนตัวให้แก่เจ้านาย ยามที่รถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนไหวกั๋วกงแล้วซ่งเหวินจิ้งจึงได้เอ่ยถามโม่ชิงเยว่ด้วยน้ำเสียงอึมครึม
“เหยียนเซียวพูดอะไรกับเจ้าบ้าง ข้าเห็นเขารีบออกจากวังมาที่นี่ก็เลยลักลอบติดตามมาด้วย” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ได้แต่ส่ายหน้า
“ก็แค่เสนอตำแหน่งฮูหยินราชเลขาธิการให้ข้า ส่วนไหวกั๋วกงฮูหยินก็เสนอตำแหน่งภรรยารองของราชเลขาธิการให้ข้า” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งยิ่งมีสีหน้ามืดครึ้มเข้าไปใหญ่
“แต่ข้าได้ปฏิเสธเขาไปแล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า นางจึงได้เอ่ยถามเขาต่อด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“สิ่งที่ข้าอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือเหยียนเซียวผู้นั้นเขามีจุดอ่อนตรงไหน และสามารถเล่นงานเขาเรื่องใดได้บ้างท่านจงรีบบอกข้ามาให้หมด” คำถามประโยคนี้ของโม่ชิงเยว่ทำให้บนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันมีรอยยิ้มขึ้นมาในทันทีนี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาและนางมีความคิดตรงกันนั่นก็คือคิดจะเล่นงานคนคนเดียวกัน
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ