แม้ว่าช่วงนี้จะไม่ได้ออกไปไหนแต่โม่ชิงเยว่ก็ยังติดตามความเคลื่อนไหวของผู้คนภายนอกอยู่เสมอ คำเตือนของซ่งเหวินจิ้งนางไม่กล้าละเลยแม้ว่าตัวนางจะมีวรยุทธ์ติดกายแต่นางก็ไม่กล้าทะนงตนคิดว่าตนเองมีดีกว่าผู้อื่นจนละเลยเรื่องความปลอดภัยของตนเองไป ส่วนซ่งเหวินจิ้งพอบาดแผลของเขาหายดีก็หายหน้าหายตาไปจากจวน ทิ้งไว้เพียงกองกำลังและผู้คุ้มกันของของเขาเอาไว้ให้นางใช้งานเพียงเท่านั้น ด้วยรู้ดีว่าเขามีภารกิจที่ต้องทำนางจึงไม่ได้คิดน้อยอกน้อยใจกับการที่อยู่ๆ เขาก็หายหน้าไปดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูสามสกุลสุ่ยมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันยิ้มออกมา
“มิใช่ว่านางต้องคอยปรนนิบัติองค์ฮองเฮาอยู่ในวังห้ามออกมาข้างนอกหรอกหรือ” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยส่ายหน้า
“บ่าวเองก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ บ่าวแค่ได้ยินมาว่าสาเหตุที่คุณหนูสามสกุลสุ่ยพ้นโทษเนรเทศก็เพราะสุ่ยฮองเฮาทรงทูลขอกับฝ่าบาท ส่วนเรื่องห้ามออกจากวังนั้นบ่าวเองก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ให้นางไปรอที่โถงรับแขกเถิด ข้าจะออกไปพบนางเสียหน่อย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ออกไปเชิญให้สุ่ยอี้เหรินไปรอพบเจ้านายของตนที่โถงรับแขก ใช้เวลาเพียงครู่เดียวโม่ชิงเยว่ก็เดินไปที่โถงรับรองแขก
“คารวะนิ่งอันโหวฮูหยิน ต้องขออภัยด้วยที่ข้ามาโดยไม่ได้ส่งเทียบขอเข้าพบมาก่อน แต่เพราะข้ามีเวลาที่ได้ออกจากวังอย่างจำกัด ขอนิ่งอันโหวอย่าได้ถือสาที่ข้ามาขอเข้าพบโดยไม่ได้ทำตามธรรมเนียมเช่นนี้” เมื่อสุ่ยอี้เหรินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่จึงได้ส่ายหน้า
“ข้าย่อมจะไม่ถือสา เพียงแต่ว่าเพราะเหตุใดคุณหนูสามจึงได้มาหาข้าที่จวนเช่นนี้ได้”
“จุดประสงค์หลักที่ข้ามาก็เพื่อมาขอพบพี่หญิงรองของข้า ส่วนจุดประสงค์รองของข้าก็คืออยากจะมาขอขมาต่อท่านแทนผู้อาวุโสในสกุลของข้า” เมื่อสุ่ยอี้เหรินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่จึงได้ยิ้มออกมา
“ได้ยินมาว่าสุ่ยฮองเฮาทรงพยายามที่จะขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายท่านผู้เฒ่า นายท่านสุ่ยและสุ่ยฮูหยิน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้เหรินก็พยักหน้า นางจ้องมองโม่ชิงเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยแล้วจึงได้เอ่ยออกมา
“สกุลสุ่ยของข้าหลังจากนี้คงไม่อาจจะหวนคืนกลับสู่ราชสำนักได้อีก ทั้งพี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรองของข้าล้วนมีจุดจบที่ไม่ค่อยจะดีนัก ตัวข้าเองก็แค่รอวันที่องค์ฮองเฮาทรงหาคู่แต่งงานให้แล้วก็แต่งออกไปอย่างเงียบๆ แน่นอนว่าไม่อาจจะแต่งกับขุนนางหรือว่าสกุลใหญ่ในเมืองหลวงได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นก่อนที่ข้าจะต้องแต่งงานออกไปจากเมืองหลวงข้าจึงอยากจะมาขออำลาพี่หญิงรองของข้าเป็นครั้งสุดท้าย ขอนิ่งอันโหวฮูหยินได้โปรดเมตตาข้าด้วย” สุ่ยอี้เหรินเอ่ยพลางหลั่งน้ำตาออกมา
“เจ้าเคยร่วมกันวางแผนคิดจะวางยาทำลายข้า ยามนี้ยังกล้ามาขอความเมตตาจากข้าอีกหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้เหรินก็คุกเข่าลงตรงหน้านาง
“ข้าสำนึกผิดแล้ว ยามนี้สกุลของข้าตกต่ำองค์ฮองเฮาทรงรับข้าเข้าวังก็จริงแต่ก็ทรงรับข้าเข้าวังไปในฐานะที่เป็นหลานสาวจากสกุลเดิมของพระนางเพียงเท่านั้น บุรุษที่นายท่านผู้เฒ่าคิดทำให้แปดเปื้อนมลทินไปด้วยกันกับท่านก็คือองค์ชายรองดังนั้นชั่วชีวิตนี้ของข้าไม่มีทางที่จะลืมตาอ้าปากได้แล้ว” เมื่อสุ่ยอี้เหรินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันขมวดคิ้ว
“วางตนเองเสียสูงส่ง แต่คนในสกุลกลับสามารถละทิ้งได้แม้แต่คนสายเลือดเดียวกัน พวกเจ้าไม่คิดถึงองค์ฮองเฮาที่อยู่ในวังบ้างเลยหรือหากเกิดเรื่องกับองค์ชายรองแล้วองค์ฮองเฮาจะทรงเป็นเช่นไร ยังไม่นับว่าองค์ชายรองมีสายเลือดของสกุลสุ่ยอยู่ครึ่งหนึ่งหากเขาตกต่ำสกุลสุ่ยของพวกเจ้าจะไม่ตกต่ำไปด้วยหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้เหรินก็ส่ายหน้า
“หากข้าสามารถคว้าตำแหน่งพระชายาขององค์ชายใหญ่ได้ก็คุ้มค่าที่จะละทิ้งมิใช่หรือ” คำพูดของสุ่ยอี้เหรินทำให้โม่ชิงเยว่นิ่งงันไป สุ่ยอี้เหรินจึงได้เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ
“ยามนี้ถึงเวลาแล้วที่พระนางจะทรงทอดทิ้งข้าและสกุลบ้าง ท่านคิดว่าที่ทรงเสด็จไปคุกเข่าขออภัยโทษให้สกุลสุ่ยเป็นน้ำพระทัยแท้จริงของพระนางหรือ” เมื่อสุ่ยอี้เหรินเอ่ยออกมาเช่นนี้นางกำนัลอาวุโสที่ยืนทำสีหน้าเย็นชาอยู่ทางเบื้องหลังของนางก็กระแอมออกมา
“คุณหนูสามระวังคำพูดด้วย” เมื่อนางกำนัลอาวุโสเอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้เหรินก็เก็บงำคำพูดของตนเองในทันที นางโขกศีรษะที่พื้นติดๆ กันอยู่หลายครั้งจนโม่ชิงเยว่ทอดถอนใจออกมาแล้วเอ่ยกับชุ่ยเหมยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“เจ้าจงพาคุณหนูสามไปเยี่ยมเยียนสุ่ยอี๋เหนียง อ้อ นางกำนัลท่านนี้รบกวนท่านไปดูแลคุณหนูสามด้วย ช่วงนี้อี๋เหนียงในจวนโหวของข้าสภาพร่างกายและจิตใจไม่ค่อยจะดีนัก หากเกิดบ้าคลั่งทำร้ายคุณหนูสามขึ้นมาข้าเกรงว่าทั้งเจ้าและข้าคงจะแบกรับความผิดเอาไว้ไม่ไหว” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้สุ่ยอี้เหรินชะงักงันไปในทันที โม่ชิงเยว่จึงได้เอ่ยต่อด้วยสีหน้ารู้ทัน
“ชั่วชีวิตนี้ทั้งเจ้าและพี่สาวไม่อาจจะลืมตาอ้าปากได้แล้ว แต่อย่าได้คิดว่าจะสามารถลากข้าให้ไปลืมตาอ้าปากไม่ได้กับพวกเจ้าไปด้วยเชียว เจ้าจะตายที่ไหนก็ตามแต่ใจของเจ้าแต่อย่าได้มาตายที่จวนโหวในยามที่ข้าเป็นผู้ดูแลเช่นนี้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้สุ่ยอี้เหรินที่ลุกขึ้นมาภายใต้การประคองของชุ่ยเหมยหันมาจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอับจนหนทาง
“ในเมื่อคาดเดาความคิดของข้าได้แล้วเหตุใดจึงได้พ่ายแพ้ให้พี่หญิงของข้าได้เล่า หรือว่าที่ผ่านมาเจ้าแสร้งออมมือให้พี่สาวของข้า” สุ่ยอี้เหรินเอ่ยถามออกมาด้วยนำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันโม่ชิงเยว่จึงได้ตอบกลับไปด้วยถ้อยคำเสียดสีเช่นเดียวกัน
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่สาวของเจ้านะ หากไม่ใช่เพราะพวกนางข้าก็คงจะไม่ได้ระมัดระวังทุกเรื่องได้ขนาดนี้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้เหรินก็เม้มริมฝีปากแน่น เดิมทีนางตั้งใจว่าจะมาที่นี่เพื่อปลดปล่อยพี่สาวด้วยความตาย อีกทั้งจะใช้การตายของตนเองทำให้จวนโหวแห่งนี้ตกอยู่ภายใต้คำครหา นางรู้ว่าการตายของนางและพี่สาวไม่มีค่าให้ผู้ใดสนใจแต่อย่างน้อยพวกนางทั้งสองก็เป็นคุณหนูสกุลใหญ่แม้ว่ายามนี้สกุลสุ่ยจะตกต่ำแล้วแต่ถึงอย่างไรก็เป็นสกุลเดิมของฮองเฮาอีกทั้งยังเคยมีเรื่องขัดแย้งกับฮูหยินของจวนนี้ นางจึงเชื่อว่าการตายของนางและพี่สาวน่าจะทำให้ชื่อเสียงของโม่ชิงเยว่ด่างพร้อยลงได้บ้าง
“เจ้าคิดว่าจะตายอย่างไร ด้วยยาพิษหรือว่าวิธีอื่น” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้นางกำนัลอาวุโสที่ติดตามมารีบเดินตรงไปค้นตัวของสุ่ยอี้เหรินในทันที
“อย่านะเจ้าอย่ายุ่งกับข้า” สุ่ยอี้เหรินเอ่ยพลางพยายามดิ้นหนีแต่นางกำนัลอีกสองสามคนมาช่วยกันจับยึดนางเอาไว้จนผลสุดท้ายนางกำนัลเหล่านั้นก็ค้นพบขวดยาที่สุ่ยอี้เหรินพกพามาด้วย เมื่อพบขวดยาแล้วนางกำนัลผู้นั้นก็สะบัดฝ่ามือตบเข้าไปที่ใบหน้าของสุ่ยอี้เหรินในทันที
“คุณหนูสามท่านกลับไปถึงวังเมื่อไหร่ เตรียมรอรับโทษจากองค์ฮองเฮาได้เลย” นางกำนัลอาวุโสเอ่ยกับสุ่ยอี้เหรินด้วยโทสะแล้วจึงได้หันมาคุกเข่าเอ่ยวาจาขออภัยต่อโม่ชิงเยว่
“ขอนิ่งอันโหวฮูหยินได้โปรดอภัย เป็นข้าที่ดูแลไม่ดีเองเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์ฮองเฮาขอนิ่งอันโหวฮูหยินได้โปรดเข้าใจด้วย” เมื่อนางกำนัลอาวุโสเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หันไปส่งสัญญาณให้ชุ่ยหลันไปประคองนางกำนัลอาวุโสผู้นั้นแล้วจึงได้เอ่ยกับนางกำนัลผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ
“ข้าเป็นคนมีเหตุผลท่านอย่าได้กังวลเลย อ้อ ยาขวดนั้นข้าขอได้ไหม อี๋เหนียงในจวนของข้าอยู่อย่างเงียบเหงามานานแล้วข้าคิดว่าควรจะส่งของต่างหน้าจากน้องสาวของนางไปให้นางเสียหน่อย”
“โม่ชิงเยว่! นี่เจ้า...” สุ่ยอี้เหรินเอ่ยพลางจ้องมองนางกำนัลผู้นั้นมอบยาขวดเล็กให้กับสาวใช้ของโม่ชิงเยว่ด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา
“เจ้าอยากจะนำยาขวดนั้นมามอบให้กับพี่สาวของเจ้ามิใช่หรือ ดังนั้นข้าก็เลยจะช่วยสงเคราะห์มอบยาขวดนั้นไปให้พี่สาวของเจ้าแทนเจ้าเอง ไม่ต้องห่วงนะแค่อนุคนหนึ่งในจวนตายไม่มีผู้ใดมาสนใจหรอกว่านางตายเพราะสาเหตุใด แต่แน่นอนว่าก่อนที่พี่สาวของเจ้าจะตายข้าจะให้คนบอกนางอย่างชัดเจนเลยว่ายาขวดนี้เป็นเจ้าที่ใจดีส่งไปให้นาง ส่วนนางจะเลือกดื่มหรือไม่ก็คงต้องแล้วแต่นาง” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยอี้เหรินก็จ้องมองโม่ชิงเยว่ด้วยสายตาเกลียดชัง
“เป็นเจ้าแน่ๆ สาเหตุที่พี่หญิงใหญ่ของข้าต้องประสบกับเคราะห์ร้ายจะต้องเป็นเพราะเจ้าแน่ๆ” สุ่ยอี้เหรินเอ่ยพลางร้องไห้ออกมาแต่โม่ชิงเยว่กลับส่ายหน้า
“เหตุใดจึงได้เอาแต่โทษคนอื่น ทำไมไม่โทษตนเองกันบ้างหากพวกเจ้าไม่มาหาเรื่องข้าพวกเจ้าจะมีจุดจบเช่นนี้หรือ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางส่งสัญญาณให้ชุ่ยเหมยนำยาขวดนั้นไปที่หอบรรพชนที่กักขังสุ่ยอี้โหรวในยามนี้ ส่วนสุ่ยอี้เหรินถูกนางกำนัลควบคุมตัวกลับวังด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา สุ่ยอี้เหรินรู้ดีว่าการที่นางก่อเรื่องในจวนโหวครั้งนี้องค์ฮองเฮาคงจะต้องลงพระอาญานางด้วยโทษสถานหนักเป็นแน่ และนี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่นางจะได้ออกจากวังทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ