สุ่ยอี้โหรวตายแล้วสาวใช้ของนางก็ตายด้วย โม่ชิงเยว่ให้คนนำศพพวกนางไปฝังเอาไว้ด้วยกันที่สุสานนอกเมือง การตายในครั้งนี้สุ่ยอี้โหรวเป็นคนเลือกเส้นทางของตนเองโม่ชิงเยว่ก็แค่ทำตามความประสงค์ของสุ่ยอี้เหรินเพียงเท่านั้น
ส่วนสุ่ยอี้เหรินไม่ต้องให้คนไปสืบข่าวก็สามารถคาดเดาได้ง่าย อีกไม่นานนางก็คงจะป่วยตายอยู่ในวัง เรื่องเช่นนี้หากเป็นเมื่อก่อนโม่ชิงเยว่คงจะไม่อาจจะคาดเดาได้ แต่เพราะได้รู้ได้เห็นและเคยผ่านประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตทำให้โม่ชิงเยว่รู้แล้วว่าอย่าได้ไว้วางใจท่าทางสิ้นไร้ไม้ตอกของศัตรู
“ท่านแม่เหตุใดเขาจึงได้หายหน้าไป” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามโม่ชิงเยว่ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเซื่องซึม แม้ว่าซ่งจื่อเหยาจะไม่ได้เอ่ยอย่างชัดเจนว่า “เขา” ที่นางเอ่ยถึงคือผู้ใด แต่โม่ชิงเยว่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าเขาที่นางเอ่ยถึงก็คือซ่งเหวินจิ้ง
“เขายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ เมื่อสะสางกิจธุระเสร็จเขาก็คงจะกลับมาเอง” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ช่วงนี้ลูกๆ ของนางสูงขึ้นเร็วมาก โม่ชิงเยว่จ้องมองความเจริญเติบโตของลูกๆ ด้วยความสุขใจ
“เขาจะกลับมาพร้อมกับบาดแผลอีกหรือเปล่า” คำถามของซ่งจื่อเยว่ทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“ข้อนี้แม่ก็ตอบไม่ได้ ทำไมหรือลูกเป็นห่วงเขาหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้ซ่งจื่อเยว่ก็ส่ายหน้า
“เปล่าเสียหน่อย ข้าจะไปเป็นห่วงเขาทำไมกัน” เมื่อเอ่ยจบเขาก็วิ่งตื๋อจากไปทำให้โม่ชิงเยว่ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีของบุตรชาย แม้ว่าจะยังมีท่าทียอมรับไม่ได้ที่พ่อของพวกเขาคือองครักษ์หน้ากากเหล็กผู้นั้น แต่ยามนี้พอซ่งเหวินจิ้งหายหน้าไปก็มาถามไถ่ด้วยความสนใจแถมยังมีความใส่ใจปะปนมาด้วยไม่น้อยเลย
“ท่านแม่ข้าอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง ได้ยินว่าร้านโม่เซียงของท่านได้รับความนิยมเป็นอย่างมากการค้าของท่านดีเช่นนี้ท่านไม่อยากจะออกไปดูด้วยตนเองบ้างหรือเจ้าคะ แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังอยากจะไปเยี่ยมชมร้านค้าของท่านแม่เลย” คำพูดของซ่งจื่อเหยาทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“เอาไว้ให้เมืองหลวงปลอดภัยกว่านี้แล้วแม่จะพาพวกเจ้าออกไปเที่ยวเล่นนะ”
“เหตุใดเมืองหลวงจึงไม่ปลอดภัยเล่าเจ้าคะ” คำถามของซ่งจื่อเหยาทำให้โม่ชิงเยว่อมยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยตอบบุตรสาวอย่างใจเย็น
“เมืองหลวงแห่งนี้มีผู้คนมากมาย ทุกคนก็ต่างมีความคิดของตนเอง มีความปรารถนาของตนเอง สำหรับคนทั่วไปความปรารถนาน้อยนิดย่อมจะไม่กระทบต่อผู้อื่น แต่สำหรับคนที่เป็นใหญ่มีอำนาจและความสามารถที่ไม่ธรรมดา ความปรารถนาของพวกเขาย่อมจะมากกว่าคนทั่วไป เมื่อต่างคนก็ต่างอยากได้ต่างอยากครอบครองสิ่งเดียวกันการปะทะกันก็ย่อมจะเกิดขึ้น พอคนใหญ่คนโตทะเลาะกัน คนมั่วไปเฉกเช่นพวกเราก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งจื่อเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนักแต่พอได้ยินคำว่าทะเลาะกันนางก็พยักหน้าพลางเอ่ยออกมาอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ที่แท้ข้างนอกวุ่นวายก็เพราะพวกผู้ใหญ่ทะเลาะกัน ท่านแม่กลัวว่าข้ากับน้องชายจะโดนลูกหลงก็เลยไม่พาออกจากจวนใช่ไหมเจ้าคะ” คำพูดของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้โม่ชิงเยว่หัวเราะออกมาเบาๆ
“ใช่แล้ว เป็นเช่นที่เจ้าเอ่ยมานั่นแหละ แม่กลัวว่าพวกเจ้าจะพลอยโดนลูกหลงจากการทะเลาะเบาะแว้งของผู้อื่นจึงไม่กล้าพาพวกเจ้าออกนอกจวน”
“เช่นนั้นพวกข้ายังไม่ออกข้างนอกก็ได้เจ้าค่ะ รอให้พวกเขาคืนดีกันก่อนแล้วค่อยออกไปก็ได้เจ้าคะ” คำพูดของบุตรสาวทำให้โม่ชิงเยว่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยรู้ดีว่าการแย่งชิงความเป็นใหญ่ที่อยู่ด้านนอกจะสงบลงได้ก็คือการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เป็นผู้ชนะและอีกฝ่ายหนึ่งตกเป็นผู้แพ้ อีกทั้งการต่อสู้นี้นอกจากจะกินระยะเวลายาวนานแล้วยังมักจะเกิดการนองเลือดตามมาอีกด้วย
“แม่สัญญาว่าเมืองหลวงเข้าสู่ความสงบเมื่อไหร่จะพาพวกเจ้าออกไปเที่ยวอย่างแน่นอน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ซ่งจื่อเหยาก็พยักหน้า
“เช่นนั้นข้าไปหาน้องชายนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปเถิด” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งจื่อเหยาก็เดินไปหาซ่งจื่อเยว่ โม่ชิงเยว่จ้องมองเงาร่างที่คอยคุ้มกันลูกๆ ของนางอยู่ห่างๆ แล้วก็ทอดถอนใจออกมา จ้าวหรงกับจ้าวรุ่ยถือว่าเป็นผู้คุ้มกันที่มีฝีมือมากทีเดียว เพียงแต่ต้องคอยควบคุมคำพูดของพวกเขาให้มากหน่อยไม่เช่นนั้นลูกๆ ของนางคงจะได้มีความคิดที่สุดแสนจะแปลกประหลาดแบบพวกเขาแน่ๆ
“ชุ่ยเหมยตามไปดูพวกเขาหน่อย อย่าให้พวกเขายัดเยียดความคิดแปลกประหลาดให้ลูกๆ ของข้าเด็ดขาด” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็รีบติดตามพวกเขาไปในทันที ทิ้งให้โม่ชิงเยว่นั่งตรวจบัญชีอยู่ในห้องบัญชีส่วนตัวเพียงลำพัง
กว่าจะตรวจบัญชีเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปจนดึก โม่ชิงเยว่บิดกายเพื่อคลายความเมื่อยล้าแล้วก็จ้องมองไปที่ระเบียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรอคอย ช่วงหลายวันที่ผ่านมานางไม่เคยรู้ตัวเลยว่าทุกครั้งที่ได้อยู่คนเดียวนางมักจะหันไปจ้องมองบานประตูที่เชื่อมต่อกับระเบียงอยู่หลายครั้งเพื่อมองหาเงาร่างของคนผู้หนึ่ง พอมาวันนี้คำถามของลูกๆ ทำให้นางพึ่งจะคิดได้ว่าไม่ใช่แค่เพียงลูกๆ ของนาง แต่ตัวนางเองก็เริ่มจะรู้สึกเป็นห่วงเขาบ้างแล้ว แม้ว่ายามนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงจะยังดูปกติ แต่นางรู้ดีว่าเบื้องหลังความสงบเหล่านี้มีคลื่นใต้น้ำกำลังพยายามก่อตัวเพื่อกลายเป็นคลื่นยักษ์ถาโถมเพื่อดูดกลืนผู้คนอยู่
“เจ้ากำลังรอข้าอยู่หรือ” คำถามของคนที่กำลังเดินผ่านประตูระเบียงมาทำให้โม่ชิงเยว่พยายามปรับสีหน้าของตนเองในทันที เขาเดินตรงมาหานางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า กลิ่นคาวเลือดที่โชยมาจากร่างเขาทำให้โม่ชิงเยว่รีบเอ่ยถามเขาในทันที
“ได้รับบาดเจ็บกลับมาหรือ” คำถามของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งขมวดคิ้วแล้วจึงได้ก้มลงไปมองตนเอง
“เลือดของผู้อื่นน่ะ ข้ารีบกลับมาก็เลยยังไม่ได้มีเวลาชำระร่างกายและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง กองกำลังของฉินอ๋องจะมาถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ยิ้มออกมาในทันที
“ข้าเด็ดหัวแม่ทัพผู้หนึ่งของฉินอ๋องได้ ยามนี้พวกเขาคงจะกำลังระส่ำระสายอยู่ ใช้แค่กองกำลังรักษาเมืองเข้าไปจัดการก็น่าจะกำราบพวกเขาได้” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ที่ข้ารีบมาหาเจ้าก็เพื่อจะบอกกับเจ้าว่าข้าปลอดภัยดี เรื่องที่ข้าไปทำถือว่าสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้าและเอ่ยกับเขาเสียงเบา
“เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย” คำพูดของนางทำให้บนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งมีรอยยิ้มในทันที
“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเมื่อครู่นี้กำลังรอข้าอยู่ใช่หรือไม่” คำถามของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้าแล้วเอ่ยตอบเขาไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าน่ะหรือจะรอท่าน ที่ข้าจ้องมองประตูก็เพราะกำลังคิดว่าอากาศเริ่มเย็นแล้วประตูบานนั้นควรจะปิดตายดีหรือไม่ต่างหาก” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ทำได้แค่เพียงพยักหน้าแล้วส่งเสียงตอบออกมาว่า “อ่อ” เพียงเท่านั้น
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ