ในขณะที่ทางชายแดนยังคงสะสางปัญหาไม่สิ้น แต่ทางจวนโหวนั้นกลับราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประจบเอาใจน้องสามีสุ่ยอี้โหรวจำต้องกัดฟันควักเงินถึงแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักของสกุลเจียง ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นขอแค่เพียงนางยกยอมากขึ้นสักหน่อย ยอมทำท่าทางนอบน้อมให้มากๆ และยังคงรักษาท่วงท่าของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่ก็ย่อมจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นแล้ว
หญิงชราผู้นี้เอาใจไม่ยาก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบยกย่องผู้ที่สูงศักดิ์กว่าและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า ในฐานะที่สุ่ยอี้โหรวเป็นถึงคุณหนูรองสกุลสุ่ยซึ่งเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่กลับยินยอมลดฐานะมาเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหว ย่อมถือว่าเป็นการให้หน้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเป็นอย่างมาก ดังนั้นยามที่นางเอ่ยปากถึงสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับการเห็นดีด้วยจากฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้านำโม่ชิงเยว่มาเปรียบเทียบกับนาง ฐานะคุณหนูสกุลสุ่ยของสุ่ยอี้โหรวย่อมจะต้องดูดีกว่าฐานะของโม่ชิงเยว่ที่เป็นแค่เพียงบุตรสาวกำพร้าของอดีตแม่ทัพที่ตายไปนานแล้วอย่างแน่นอน
“ข้าให้พวกเจ้าคอยคุ้มกันจวนให้ดี อย่าให้สาวใช้นางนั้นเล็ดลอดออกจากจวนไปได้ แล้วทำไมนางยังคงสามารถออกไปได้อีก หากเป็นเช่นนี้แผนการที่ข้าต้องการบีบโม่ชิงเยว่ให้ตายทางอ้อมก่อนที่ท่านโหวจะกลับมาเมื่อไหร่จะสำเร็จ” สุ่ยอี้โหรวตำหนิคนของนางด้วยสีหน้าบึ้งตึง นางสู้อุตส่าห์วางแผนการอย่างแยบยลคิดทำให้โม่ชิงเยว่ได้รับความลำบากจนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ แต่ยามนี้โม่ชิงเยว่ไม่เพียงมีความเป็นอยู่ที่ดีแถมยังเลี้ยงลูกๆ อย่างเบิกบานสำราญใจเป็นอย่างยิ่ง
“เรียนนายหญิงวรยุทธ์ของสาวใช้นางนั้นสูงส่งยิ่งนัก ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่นายท่านสุ่ยส่งมาก็ไม่อาจจะกักขังนางเอาไว้ในจวนได้ อย่าว่าแต่กักขังนางให้อยู่แต่ในจวน แค่จะลักลอบเข้าไปทำร้ายคนในเรือนหลังนั้นก็ยังไม่ได้เลย” เมื่อคนของนางรายงานเช่นนี้สุ่ยอี้โหรวก็ตวาดออกมา
“บัดซบ! แล้วข้าจะจ้างพวกเจ้ามาทำไมกัน สั่งงานอะไรก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ ฆ่าด้วยกำลังไม่ได้ เหตุใดจึงไม่วางยาให้ตายไปเสียเล่า” เมื่อสุ่ยอี้โหรวพูดเช่นนี้คนของนางก็ส่ายหน้า
“พวกนางระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เด็กน้อยทั้งสองก็ยังยากจะเล่นงานได้ พวกข้าเองก็จนปัญญาขอรับ” ถ้อยคำรายงานของคนของนางทำให้สุ่ยอี้โหรวเม้มปากแน่น
“ยามนี้มีข่าวจากชายแดนส่งมาบอกว่าท่านโหวได้รับชัยชนะจากการศึกแล้วอีกไม่นานก็คงจะกลับมา ยามท่านโหวไม่อยู่ก็ยังไม่สามารถเล่นงานนางได้ หากท่านโหวกลับมาแล้วก็ยิ่งยากจะเล่นงาน...” นางเอ่ยพึมพำออกมาแล้วขมวดคิ้ว เดิมทีนางกังวลว่าจะมีคนสืบพบหากนางลงมืออย่างโจ่งแจ้งแต่ยามนี้นางไม่อาจจะใจเย็นได้อีกแล้ว
“ในเมื่อสาวใช้นางนั้นอยากออกไปนอกจวนนักก็ให้นางออกไป ยามที่นางไม่อยู่พวกเจ้าก็เข้าไปจัดการสามแม่ลูกที่เรือนเหมันต์เสีย จงจำไว้ว่าอย่าได้ทิ้งหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้นไม่เช่นนั้นข้าไม่รับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้า” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้คนของนางรีบค้อมกายเพื่อน้อมรับคำสั่งในทันที
“ขอนายหญิงโปรดวางใจ พวกข้าจะลงมืออย่างระมัดระวังและคราวนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน” เมื่อคนของนางรับคำเช่นนี้สุ่ยอี้โหรวก็โบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขารีบไปจัดการ
“โม่ชิงเยว่ คราวนี้เจ้าจะไม่โชคดีเหมือนครั้งก่อนๆ อีกแล้ว” สุ่ยอี้โหรวเอ่ยพึมพำออกมา พลางจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาอันแข็งกร้าว
ทุกครั้งที่ต้องออกไปนอกจวนชุ่ยเหมยมักจะกำชับเด็กน้อยทั้งสองให้ระมัดระวังตัว โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้เป็นอันขาด นอกจากนางและโม่ชิงเยว่แล้วทุกคนล้วนเป็นคนไม่ดีและมักจะคอยหาโอกาสทำร้ายพวกเขา ดังนั้นเด็กน้อยทั้งสองจึงมักจะเฝ้าวนเวียนอยู่ไม่ห่างจากข้างกายของโม่ชิงเยว่ ด้วยเกรงว่าจะมีผู้อื่นลักลอบเข้ามาทำร้ายมารดาผู้อ่อนแอของพวกเขา
“ท่านแม่น้ำดื่มนี้พี่ชุ่ยเหมยต้มเองกับมือ ท่านพักสายตาแล้วก็ต้องดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กๆ ของซ่งจื่อเหยาทำให้โม่ชิงเยว่ลืมตาขึ้นมาจ้องมองเด็กน้อยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางรับถ้วยน้ำมาตั้งใจว่าจะดื่มแต่แล้วนางก็ได้กลิ่นสมุนไพรบางอย่างในน้ำ
“น้ำนี่พวกเจ้าดื่มไปแล้วหรือยัง” เมื่อมารดาถามเช่นนี้ทั้งซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ก็ต่างส่ายหน้า
“ต่อไปจงจดจำไว้ว่าน้ำที่จะดื่ม อาหารที่จะกินห้ามผ่านมือของผู้อื่น อีกทั้งก่อนจะกินก่อนจะดื่มจะต้องสำรวจรูปรสและกลิ่นให้ดี พวกเจ้าลองดมดูซิว่าน้ำนี้มีสิ่งใดที่แปลกไปจากน้ำดื่มทั่วไปหรือไม่” ซ่งจื่อเหยาก้มลงไปสูดดมเพียงครู่เดียวก็ขมวดคิ้ว ส่วนซ่งจื่อเยว่ยกมือขึ้นมาถูจมูกอย่างสับสน
“ในน้ำนี้มีสิ่งอื่นปลอมปนมาด้วย พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าไม่มีทางใส่สมุนไพรลงไปในน้ำโดยไม่บอกกล่าวแน่ ดังนั้นยามนี้น่าจะกำลังมีผู้อื่นแฝงตัวอยู่ในเรือนของพวกเรา” เมื่อนางพูดจบก็ปาถ้วยน้ำไปยังบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้นางขยับกายลุกขึ้นแล้วดึงกระบี่ไม้ของซ่งจื่อเยว่ขึ้นมาถือเอาไว้ในทันที
ชายชุดดำผู้หนึ่งกระแทกบานประตูแล้วเปิดเข้ามา ส่วนคนที่ร้องตรงหน้าต่างก็กระโดดเข้ามาแล้วเช่นกัน ยังมีชายชุดดำอีกคนที่แฝงกายอยู่ในเรือนอยู่แล้วรีบเผยกายออกมาในทันที
“ในเมื่อฮูหยินรู้ตัวแล้วพวกข้าก็ไม่คิดจะปิดบังอีก หึหึ เมื่อก่อนพวกข้าก็หลงเข้าใจผิดคิดว่าท่านโชคดีที่ไม่เคยถูกพิษที่พวกข้าวาง ที่แท้แล้วฮูหยินก็เป็นผู้มีฝีมือคนหนึ่งที่เก็บงำประกายเอาไว้นี่เอง” คำพูดของชายชุดดำทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“เป็นผู้ใดว่าจ้างพวกเจ้ากันหรือ ฮูหยินผู้เฒ่า ซ่งเหวินหนิง หรือว่าจะเป็นสุ่ยอี้โหรวกันเล่า” คำว่าสุ่ยอี้โหรวทำให้รูม่านตาของชายชุดดำเกิดการเปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะเปลี่ยนแค่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของโม่ชิงเยว่ไปได้ นางจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นสุ่ยอี้โหรวนี่เอง ทำไมหรือนางอดทนรอให้ข้าตายเองไม่ไหวแล้วหรือ พอสงครามเริ่มจะสงบก็คิดได้ว่าสมควรจะลงมือขั้นเด็ดขาดแล้วใช่ไหม” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชายชุดดำพลันขยับตัว
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดให้มากความ กระบี่ไม้ด้ามนั้นปกป้องท่านกับลูกของท่านไม่ได้หรอก” เมื่อชายชุดดำพูดจบก็เงื้อดาบในมือของตนขึ้น แต่เขายังไม่ทันได้ลงมือกระบี่ไม้ก็แทงเข้ามาที่จุดตายของเขา ส่วนชายชุดดำอีกสองคนยังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกโจมตีจุดตายจนล้มลงสิ้นลมที่พื้นแล้วเช่นกัน
“พวกเจ้าจงจำเอาไว้ หากโจมตีให้ถูกจุดก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงกาย” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางดึงผ้าปิดหน้าของชายชุดดำคนหนึ่งออกมา แล้วใช้ผ้าปิดหน้าผืนนั้นเช็ดเลือดที่ติดปลายกระบี่ไม้อย่างลวกๆ
“ท่านแม่ข้าไม่ใช้กระบี่ด้ามนั้นแล้วมันเปื้อนเลือดของคนชั่ว” เสียงของซ่งจื่อเยว่เต็มไปด้วยความสั่นเทา โม่ชิงเยว่รู้ดีว่ายามนี้ลูกๆ ของนางกำลังหวาดกลัวอยู่
“คนชั่วคือคนที่มักใช้พละกำลังของตนเองรังแกคนที่อ่อนแอกว่า พวกเจ้าอยากเป็นคนชั่วหรือไม่” เมื่อนางถามเช่นนี้เด็กๆ ก็ส่ายหน้า
“เช่นนั้นจงจำเอาไว้ อย่าได้ดูถูกคนที่อ่อนแอ ที่สำคัญอย่าได้ทะนงตนว่าตนเองนั้นเก่งกาจเหนือผู้อื่น คนที่มีความสามารถจริงๆ ย่อมไม่แสดงฝีมือของตนเองออกมาทั้งหมดหรอก” โม่ชิงเยว่เอ่ยแล้วจ้องมองศพของบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น
“สุ่ยอี้โหรว ในเมื่อเจ้ากล้าหมายปองชีวิตลูกของข้าเช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าไม่ได้ตายดี” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบก็โยนกระบี่ไม้ของบุตรชายลงไปบนพื้นพลางจ้องมองไปยังทิศทางของเรือนใหญ่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
ในขณะที่ทางฝั่งเรือนใหญ่กำลังชำระความกับสุ่ยอี้โหรว โม่ชิงเยว่ก็กำลังนั่งดื่มด่ำกับน้ำชาที่ชุ่ยเหมยพึ่งจะชงเสร็จ ส่วนเด็กๆ ในยามนี้กำลังนั่งเล่นหุ่นกระบอกไม้ที่ชุ่ยเหมยซื้อมาอย่างเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง“ฮูหยิน จะไม่ให้บ่าวไปสืบดูหน่อยหรือว่าเฉินมามาผู้นั้นคุ้มค่ากับเงินที่ท่านจ่ายไปหรือไม่” เมื่อชุ่ยเหมยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“สถานการณ์ชี้นำขนาดนั้นถ้านางไม่ลงมือก็โง่เต็มทีแล้ว เฮ้อ เพียงแต่เงินที่หามาได้ต้องนำมาใช้จ่ายเพราะเรื่องนี้ข้าล่ะอดรู้สึกปวดใจไม่ได้จริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ทอดถอนใจออกมา“ไม่ได้การ บ่าวขอไปดูให้แน่ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหูหนวกตาบอดหลงเชื่อคำแก้ตัวของสุ่ยอี๋เหนียงหรือไม่” เมื่อพูดจบชุ่ยเหมยก็รีบเร้นกายออกจากไปในทันที ทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับนิสัยที่พอคิดได้ก็ลงมือทำเลยของชุ่ยเหมย นิสัยเช่นนี้จะว่าดีก็ถือว่าดีจะว่าแย่ก็ถือว่าแย่ จะทำอะไรหากไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนผลลัพธ์ที่ตามมาก็มักจะเลวร้ายเสมอชุ่ยเหมยหายตัวไปนานกว่าที่คาดไว้แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ด้วยรู้ดีว่าคนของนางมีไหวพริบที่ดีแ
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสาวใช้ทำให้สุ่ยอี้โหรวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อคืนนี้นางเฝ้ารอให้คนของนางกลับมารายงานผลแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมา อีกทั้งทางเรือนเหมันต์ก็เงียบกริบราวกับไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น นางไม่อาจจะเข้าไปสอบถามความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้จึงทำได้แค่รอเพียงเท่านั้น เพราะความกังวลใจทำให้นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาด้วยความกังวลใจแต่แล้วนางหลับใหลไปในยามใดก็สุดรู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้ ท่าทีแตกตื่นตกใจของพวกนางทำให้นางรีบก้มลงสำรวจตนเองในทันที“กรี๊ด” เสียงร้องของนางทำให้บรรดาผู้คุ้มกันเรือนรีบเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของนางไม่เรียบร้อยอีกทั้งสาวใช้บางคนเริ่มมีสติแล้วช่วยกันขับไล่พวกเขาให้รีบลงจากเรือน คนที่พอจะมีสติอยู่บ้างรีบห้ามปรามไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเรือนในทันที“อี๋เหนียง! อี๋เหนียงเจ้าคะ” เสียงของตงฮวาผู้เป็นสาวใช้คนสนิทช่วยเรียกคืนสติของสุ่ยอี้โหรวให้กลับคืนมา ยามนี้ร่างกายของนางนั้นเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์มาปกปิด คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามลำตัวทำให้เนื้อตัวของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มที่นอนบนเต
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เมื่อนางพบว่ามีศพนอนรออยู่สามศพนางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด“ฮูหยินเจ้าคะ ทางเรือนใหญ่ลงมือกับท่านอีกแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อนางถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า“เป็นสุ่ยอี้โหรวน่ะ เพียงแต่คราวนี้ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้แล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบก็ยื่นถุงสมุนไพรในมือให้ชุ่ยเหมย ยามที่เงินไม่ขาดมือชีวิตช่างดีนัก จะซื้อสมุนไพรมาตุนไว้สักเท่าใดก็ไม่เดือดร้อน ตอนที่ท่านพ่อของนางสิ้นจวนสกุลโม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่มากเท่าไหร่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสินเดิมที่เหลืออยู่ของท่านแม่ของนาง นางจึงต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอแต่งเข้าจวนโหวแม้ว่าสามีจะมั่งคั่งแต่ในเมื่อแม่สามีไม่โปรดปรานเงินทองที่จะใช้สอยย่อมไม่มีตกมาถึงมือ นางจะไปแบมือขอกับแม่สามีก็ไม่ได้ ส่วนสามีแค่ได้พบหน้าก็ยังจะไม่พบ พอได้เจอหน้ากันนางจะอ้าปากถามเรื่องเงินก็ใช่ที่ มาตอนนี้พอมีเงินที่หามาได้ด้วยตนเองแล้วนางย่อมจะมือเติบอยู่บ้างเป็นธรรมดา“ผงสมุนไพรนี้ แค่โปรยไปในอากาศจะทำให้คนที่สูดดมหลับใหลไม่ได้สติ เจ้าใช้อย่างระมัดระวัง เอาศพของสามคนนี้ไปโยนไว้บนเตียงของสุ่ยอี้โหรว ในเมื่อนางอยากยุแยงใ
ในขณะที่ทางชายแดนยังคงสะสางปัญหาไม่สิ้น แต่ทางจวนโหวนั้นกลับราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประจบเอาใจน้องสามีสุ่ยอี้โหรวจำต้องกัดฟันควักเงินถึงแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักของสกุลเจียง ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นขอแค่เพียงนางยกยอมากขึ้นสักหน่อย ยอมทำท่าทางนอบน้อมให้มากๆ และยังคงรักษาท่วงท่าของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่ก็ย่อมจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นแล้วหญิงชราผู้นี้เอาใจไม่ยาก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบยกย่องผู้ที่สูงศักดิ์กว่าและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า ในฐานะที่สุ่ยอี้โหรวเป็นถึงคุณหนูรองสกุลสุ่ยซึ่งเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่กลับยินยอมลดฐานะมาเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหว ย่อมถือว่าเป็นการให้หน้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเป็นอย่างมาก ดังนั้นยามที่นางเอ่ยปากถึงสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับการเห็นดีด้วยจากฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้านำโม่ชิงเยว่มาเปรียบเทียบกับนาง ฐานะคุณหนูสกุลสุ่ยของสุ่ยอี้โหรวย่อมจะต้องดูดีกว่าฐานะของโม่ชิงเยว่ที่เป็นแค่เพียงบุตรสาวกำพร้าของอดีตแม่ทัพที่ตายไปนานแล้วอย่างแน่นอน“ข้าให้พวกเจ้าคอยคุ้มกันจวนให้ดี อย่าให้สาวใช้นางนั้นเล็ดลอดออกจากจวนไปได้ แล้วทำไมนา
อากาศในเมืองหลวงเริ่มอบอุ่นแล้วแต่อากาศทางชายแดนกลับยังคงหนาวเหน็บ การบุกโจมตีครั้งสุดท้ายได้เริ่มขึ้น ซ่งเหวินจิ้งควบม้าควงดาบนำทัพเข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง ช่วงสองปีมานี้การศึกยืดเยื้อสิ้นเปลืองทั้งเสบียงและกำลังพลเป็นอย่างมาก หากสงครามยังยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ล้วนไม่ส่งผลดีต่อขวัญและกำลังใจของคนในกองทัพ คืนนี้เขาจึงวางแผนการใหญ่ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อหวังให้ทัพของข้าศึกมาติดกับยามนี้ทัพของข้าศึกน่าจะติดกับดักที่เขาวางเอาไว้แล้ว ทหารของข้าศึกที่มาโอบล้อมเขาและคนของเขาไว้ต่างก็มีสีหน้าฮึกเหิมและลำพอง ยามที่หม่าป๋อซางแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเป่ยขี่ม้าเดินหน้าเข้ามาหาเขาสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ“ผู้ใดฆ่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเหลียนได้ ข้าจะตกรางวัลให้เป็นอย่างงาม” คำพูดของหม่าป๋อซางทำให้คนของเขาต่างพากันโห่ร้องออกมาอย่างคึกคะนองทุกสายตาต่างจ้องมองมาที่ซ่งเหวินจิ้ง เขาแค่เพียงยิ้มออกมายามนี้หม่าป๋อซางยินยอมออกมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วย่อมหมายความว่าการศึกในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว“ปัง!” เสียงพลุไฟส่งสัญญาณในมือของซ่งเหวินจิ้งถูกส่งออกไปส่วนตัวเขานั้นดีดตัวออกจากหลังม้าทะยานร่างไ
เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค
ยามที่โม่ชิงเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันใหม่แล้ว เพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาไอกลางดึกอีกทำให้นางหลับรวดเดียวมาจนถึงเช้า กลิ่นหอมของอาหารทำให้นางยิ้มออกมา เสียงเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยเสียงของชุ่ยเหมยที่คอยห้ามปรามพวกเขาไม่ให้ซุกซน ทำให้บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยความสดใส โม่ชิงเยว่จึงค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของตนไปหาพวกเขา“ฮูหยิน! ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยทักทายด้วยความยินดี การที่เจ้านายของนางลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยตนเองได้ทำให้นางโล่งใจ แม้ว่าอากาศภายนอกเรือนจะยังคงหนาวเย็นอยู่ แต่เพราะได้กระถางไฟคอยให้ความอบอุ่นทำให้สีหน้าของทุกคนสดชื่นแจ่มใส ชุ่ยเหมยรีบกุลีกุจอไปช่วยพยุงเจ้านายของตนมานั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วตักโจ๊กข้าวขาวเนื้อข้นให้เจ้านายของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม“บ่าวต้มโจ๊กเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ทั้งคุณหนูและคุณชายก็ต่างพากันชื่นชมว่าฝีมือของบ่าวดีขึ้นมาก” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ต่างพยักหน้าพร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อย!”โม่ชิงเยว่ใช้ช้อนคนโจ๊กเนื้อเนียนหอมกรุ่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว สิ่งที่นางนำกลับมานอกจากยารักษาโรคแล้วยังมีอาหารทั้งที่ปรุงสำเร็จมาแล้วและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมาก เด็กทั้งสองตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้กินอาหารร้อนๆ อันหอมกรุ่น ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นนางหมดความอยากอาหารไปนานแล้ว แต่นางก็พยายามกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเพียงพอที่จะต้านทานอาการป่วยไขช่วงหลายปีมานี้นางมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด ยิ่งหลังจากที่คลอดเด็กแฝดทั้งสองนางก็ยิ่งอ่อนแอลง เงินทองที่เคยมีได้ถูกใช้จ่ายออกไปจนเกือบหมด เริ่มแรกล้วนหมดไปกับการพยายามส่งจดหมายไปหาสามี แต่เมื่อนานวันเข้านางก็คิดได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนสิ้นเปลืองมิสู้รอให้เขากลับมาน่าจะดีกว่าตอนที่นางคลอดลูกแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรังเกียจนางมากเพียงใด แต่ก็ยังคาดหวังว่าลูกที่นางอาจจะคลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้ชาย พอว่าเห็นว่าเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนของฮูหยินผู้เฒ่าก็พากันกลับไปอย่างโล่งใจและกลับไปประกาศอย่างเปิดเผยว่านางคลอดลูกชู้ออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง โดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่านางจะคลอดเด็กผู้ชายตามหลังมาอีกคนในภายหลัง แต่ในเมื่อประกาศไปแล้วว่าลูกของนางคือลูกชู้ ดังนั้นแม่สามี
เสียงร้องไห้ของเด็กสองคนปลุกให้โม่ชิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง นางค่อยๆ พยุงตนเองให้เดินไปที่ประตูห้องแล้วเดินตรงไปยังห้องที่เด็กๆ นอนอยู่ เพราะร่างกายนี้ล้มป่วยมานาน ยามนี้ยังมีไข้รุมเร้าดังนั้นความเร็วในการก้าวเดินของนางจึงช้ายิ่งกว่าเต่า แต่เพราะความเป็นห่วงลูก ทำให้นางค่อยๆ เกาะผนังห้องแล้วเดินไปหาลูกๆ ของนางได้ในที่สุด“เด็กดี ไม่ต้องร้องนะ อีกสักครู่ พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว” เสียงของนางช่วยปลุกปลอบความหวาดหวั่นของพวกเขาได้ พวกเขาต่างลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องมองนางด้วยดวงตาอันกลมโตแล้วทำท่าว่าจะโผเข้ามาหานาง“แม่ยังมีอาการไข้อยู่ พวกเจ้าอย่าได้เข้ามาใกล้มากไป ประเดี๋ยวจะติดไข้แม่เอาได้”“ท่านแม่!” เสียงเล็กๆ ของเด็กทั้งสองทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา ลูกสาวและลูกชายของเธอเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรได้ง่ายแม้ว่าจะมีอายุแค่เพียง 2 ขวบแต่กลับพูดจาเป็นประโยคยาวๆ ได้แล้ว แม้ว่าจะมีบางคำที่ยังพูดไม่ชัดอยู่บ้างแต่ก็สามารถเข้าใจได้“แม่อยู่ตรงนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้พวกเขาก็พยักหน้าแล้วจ้องมองแม่ของเขาด้วยความเป็นห่วง“ท่านแม่ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วหรือ” เสียงเล็ก