ในขณะที่ทางชายแดนยังคงสะสางปัญหาไม่สิ้น แต่ทางจวนโหวนั้นกลับราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประจบเอาใจน้องสามีสุ่ยอี้โหรวจำต้องกัดฟันควักเงินถึงแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักของสกุลเจียง ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นขอแค่เพียงนางยกยอมากขึ้นสักหน่อย ยอมทำท่าทางนอบน้อมให้มากๆ และยังคงรักษาท่วงท่าของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่ก็ย่อมจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นแล้ว
หญิงชราผู้นี้เอาใจไม่ยาก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบยกย่องผู้ที่สูงศักดิ์กว่าและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า ในฐานะที่สุ่ยอี้โหรวเป็นถึงคุณหนูรองสกุลสุ่ยซึ่งเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่กลับยินยอมลดฐานะมาเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหว ย่อมถือว่าเป็นการให้หน้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเป็นอย่างมาก ดังนั้นยามที่นางเอ่ยปากถึงสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับการเห็นดีด้วยจากฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้านำโม่ชิงเยว่มาเปรียบเทียบกับนาง ฐานะคุณหนูสกุลสุ่ยของสุ่ยอี้โหรวย่อมจะต้องดูดีกว่าฐานะของโม่ชิงเยว่ที่เป็นแค่เพียงบุตรสาวกำพร้าของอดีตแม่ทัพที่ตายไปนานแล้วอย่างแน่นอน
“ข้าให้พวกเจ้าคอยคุ้มกันจวนให้ดี อย่าให้สาวใช้นางนั้นเล็ดลอดออกจากจวนไปได้ แล้วทำไมนางยังคงสามารถออกไปได้อีก หากเป็นเช่นนี้แผนการที่ข้าต้องการบีบโม่ชิงเยว่ให้ตายทางอ้อมก่อนที่ท่านโหวจะกลับมาเมื่อไหร่จะสำเร็จ” สุ่ยอี้โหรวตำหนิคนของนางด้วยสีหน้าบึ้งตึง นางสู้อุตส่าห์วางแผนการอย่างแยบยลคิดทำให้โม่ชิงเยว่ได้รับความลำบากจนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ แต่ยามนี้โม่ชิงเยว่ไม่เพียงมีความเป็นอยู่ที่ดีแถมยังเลี้ยงลูกๆ อย่างเบิกบานสำราญใจเป็นอย่างยิ่ง
“เรียนนายหญิงวรยุทธ์ของสาวใช้นางนั้นสูงส่งยิ่งนัก ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่นายท่านสุ่ยส่งมาก็ไม่อาจจะกักขังนางเอาไว้ในจวนได้ อย่าว่าแต่กักขังนางให้อยู่แต่ในจวน แค่จะลักลอบเข้าไปทำร้ายคนในเรือนหลังนั้นก็ยังไม่ได้เลย” เมื่อคนของนางรายงานเช่นนี้สุ่ยอี้โหรวก็ตวาดออกมา
“บัดซบ! แล้วข้าจะจ้างพวกเจ้ามาทำไมกัน สั่งงานอะไรก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ ฆ่าด้วยกำลังไม่ได้ เหตุใดจึงไม่วางยาให้ตายไปเสียเล่า” เมื่อสุ่ยอี้โหรวพูดเช่นนี้คนของนางก็ส่ายหน้า
“พวกนางระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เด็กน้อยทั้งสองก็ยังยากจะเล่นงานได้ พวกข้าเองก็จนปัญญาขอรับ” ถ้อยคำรายงานของคนของนางทำให้สุ่ยอี้โหรวเม้มปากแน่น
“ยามนี้มีข่าวจากชายแดนส่งมาบอกว่าท่านโหวได้รับชัยชนะจากการศึกแล้วอีกไม่นานก็คงจะกลับมา ยามท่านโหวไม่อยู่ก็ยังไม่สามารถเล่นงานนางได้ หากท่านโหวกลับมาแล้วก็ยิ่งยากจะเล่นงาน...” นางเอ่ยพึมพำออกมาแล้วขมวดคิ้ว เดิมทีนางกังวลว่าจะมีคนสืบพบหากนางลงมืออย่างโจ่งแจ้งแต่ยามนี้นางไม่อาจจะใจเย็นได้อีกแล้ว
“ในเมื่อสาวใช้นางนั้นอยากออกไปนอกจวนนักก็ให้นางออกไป ยามที่นางไม่อยู่พวกเจ้าก็เข้าไปจัดการสามแม่ลูกที่เรือนเหมันต์เสีย จงจำไว้ว่าอย่าได้ทิ้งหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้นไม่เช่นนั้นข้าไม่รับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้า” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้คนของนางรีบค้อมกายเพื่อน้อมรับคำสั่งในทันที
“ขอนายหญิงโปรดวางใจ พวกข้าจะลงมืออย่างระมัดระวังและคราวนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน” เมื่อคนของนางรับคำเช่นนี้สุ่ยอี้โหรวก็โบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขารีบไปจัดการ
“โม่ชิงเยว่ คราวนี้เจ้าจะไม่โชคดีเหมือนครั้งก่อนๆ อีกแล้ว” สุ่ยอี้โหรวเอ่ยพึมพำออกมา พลางจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาอันแข็งกร้าว
ทุกครั้งที่ต้องออกไปนอกจวนชุ่ยเหมยมักจะกำชับเด็กน้อยทั้งสองให้ระมัดระวังตัว โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้เป็นอันขาด นอกจากนางและโม่ชิงเยว่แล้วทุกคนล้วนเป็นคนไม่ดีและมักจะคอยหาโอกาสทำร้ายพวกเขา ดังนั้นเด็กน้อยทั้งสองจึงมักจะเฝ้าวนเวียนอยู่ไม่ห่างจากข้างกายของโม่ชิงเยว่ ด้วยเกรงว่าจะมีผู้อื่นลักลอบเข้ามาทำร้ายมารดาผู้อ่อนแอของพวกเขา
“ท่านแม่น้ำดื่มนี้พี่ชุ่ยเหมยต้มเองกับมือ ท่านพักสายตาแล้วก็ต้องดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กๆ ของซ่งจื่อเหยาทำให้โม่ชิงเยว่ลืมตาขึ้นมาจ้องมองเด็กน้อยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางรับถ้วยน้ำมาตั้งใจว่าจะดื่มแต่แล้วนางก็ได้กลิ่นสมุนไพรบางอย่างในน้ำ
“น้ำนี่พวกเจ้าดื่มไปแล้วหรือยัง” เมื่อมารดาถามเช่นนี้ทั้งซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ก็ต่างส่ายหน้า
“ต่อไปจงจดจำไว้ว่าน้ำที่จะดื่ม อาหารที่จะกินห้ามผ่านมือของผู้อื่น อีกทั้งก่อนจะกินก่อนจะดื่มจะต้องสำรวจรูปรสและกลิ่นให้ดี พวกเจ้าลองดมดูซิว่าน้ำนี้มีสิ่งใดที่แปลกไปจากน้ำดื่มทั่วไปหรือไม่” ซ่งจื่อเหยาก้มลงไปสูดดมเพียงครู่เดียวก็ขมวดคิ้ว ส่วนซ่งจื่อเยว่ยกมือขึ้นมาถูจมูกอย่างสับสน
“ในน้ำนี้มีสิ่งอื่นปลอมปนมาด้วย พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าไม่มีทางใส่สมุนไพรลงไปในน้ำโดยไม่บอกกล่าวแน่ ดังนั้นยามนี้น่าจะกำลังมีผู้อื่นแฝงตัวอยู่ในเรือนของพวกเรา” เมื่อนางพูดจบก็ปาถ้วยน้ำไปยังบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้นางขยับกายลุกขึ้นแล้วดึงกระบี่ไม้ของซ่งจื่อเยว่ขึ้นมาถือเอาไว้ในทันที
ชายชุดดำผู้หนึ่งกระแทกบานประตูแล้วเปิดเข้ามา ส่วนคนที่ร้องตรงหน้าต่างก็กระโดดเข้ามาแล้วเช่นกัน ยังมีชายชุดดำอีกคนที่แฝงกายอยู่ในเรือนอยู่แล้วรีบเผยกายออกมาในทันที
“ในเมื่อฮูหยินรู้ตัวแล้วพวกข้าก็ไม่คิดจะปิดบังอีก หึหึ เมื่อก่อนพวกข้าก็หลงเข้าใจผิดคิดว่าท่านโชคดีที่ไม่เคยถูกพิษที่พวกข้าวาง ที่แท้แล้วฮูหยินก็เป็นผู้มีฝีมือคนหนึ่งที่เก็บงำประกายเอาไว้นี่เอง” คำพูดของชายชุดดำทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“เป็นผู้ใดว่าจ้างพวกเจ้ากันหรือ ฮูหยินผู้เฒ่า ซ่งเหวินหนิง หรือว่าจะเป็นสุ่ยอี้โหรวกันเล่า” คำว่าสุ่ยอี้โหรวทำให้รูม่านตาของชายชุดดำเกิดการเปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะเปลี่ยนแค่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของโม่ชิงเยว่ไปได้ นางจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นสุ่ยอี้โหรวนี่เอง ทำไมหรือนางอดทนรอให้ข้าตายเองไม่ไหวแล้วหรือ พอสงครามเริ่มจะสงบก็คิดได้ว่าสมควรจะลงมือขั้นเด็ดขาดแล้วใช่ไหม” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชายชุดดำพลันขยับตัว
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดให้มากความ กระบี่ไม้ด้ามนั้นปกป้องท่านกับลูกของท่านไม่ได้หรอก” เมื่อชายชุดดำพูดจบก็เงื้อดาบในมือของตนขึ้น แต่เขายังไม่ทันได้ลงมือกระบี่ไม้ก็แทงเข้ามาที่จุดตายของเขา ส่วนชายชุดดำอีกสองคนยังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกโจมตีจุดตายจนล้มลงสิ้นลมที่พื้นแล้วเช่นกัน
“พวกเจ้าจงจำเอาไว้ หากโจมตีให้ถูกจุดก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงกาย” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางดึงผ้าปิดหน้าของชายชุดดำคนหนึ่งออกมา แล้วใช้ผ้าปิดหน้าผืนนั้นเช็ดเลือดที่ติดปลายกระบี่ไม้อย่างลวกๆ
“ท่านแม่ข้าไม่ใช้กระบี่ด้ามนั้นแล้วมันเปื้อนเลือดของคนชั่ว” เสียงของซ่งจื่อเยว่เต็มไปด้วยความสั่นเทา โม่ชิงเยว่รู้ดีว่ายามนี้ลูกๆ ของนางกำลังหวาดกลัวอยู่
“คนชั่วคือคนที่มักใช้พละกำลังของตนเองรังแกคนที่อ่อนแอกว่า พวกเจ้าอยากเป็นคนชั่วหรือไม่” เมื่อนางถามเช่นนี้เด็กๆ ก็ส่ายหน้า
“เช่นนั้นจงจำเอาไว้ อย่าได้ดูถูกคนที่อ่อนแอ ที่สำคัญอย่าได้ทะนงตนว่าตนเองนั้นเก่งกาจเหนือผู้อื่น คนที่มีความสามารถจริงๆ ย่อมไม่แสดงฝีมือของตนเองออกมาทั้งหมดหรอก” โม่ชิงเยว่เอ่ยแล้วจ้องมองศพของบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น
“สุ่ยอี้โหรว ในเมื่อเจ้ากล้าหมายปองชีวิตลูกของข้าเช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าไม่ได้ตายดี” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบก็โยนกระบี่ไม้ของบุตรชายลงไปบนพื้นพลางจ้องมองไปยังทิศทางของเรือนใหญ่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ