ตอนที่ 6
เมื่อเห็นว่าซูอวี้หนิงนิ่งเงียบเหม่อมองไปที่ทุ่งนาด้านล่างด้วยความสนใจ นางจึงกล่าวขึ้น
“อีกสิบกว่าวันก็ต้องลงทุ่งนาเกี่ยวข้าวแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกชาวบ้านก็จะนำข้าวเปลือกมาแบ่งให้แก่เจ้า พร้อมกับค่าเช่า เมื่อถึงเวลานั้น พี่ชายใหญ่และข้าจะยุ่งมาก คงพาเจ้าไปเที่ยวที่ลำธารไม่ได้” โจวงจวงจื่อถอนหายใจออกมา
ซูอวี้หนิงเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามอีกฝ่าย
“เพราะเหตุใดพวกเขาต้องนำข้าวเปลือกมาให้ข้า?”
“เจ้าคงลืมไปแล้วกระมัง?” โจวจวงจื่อมองหน้าพร้อมกับชี้นิ้วออกไปที่ท้องนาที่อยู่ด้านล่างพร้อมอธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น “ทุ่งนาตั้งแต่ตรงนี้ จนไปถึงตรงโน้นที่มีต้นไม้ใหญ่สองต้นนั้น ล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”
ซูอวี้หนิงมองตามที่อีกฝ่ายชี้ให้ตนเองดู ก่อนจะเบิกตากว้าง
เพราะที่ที่โจวจวงจื่อชี้ให้นางดูนั้น มันไม่ใช่พื้นที่น้อย ๆ เลย หรือจะเรียกได้ว่าแทบจะเป็นพื้นที่เทียบเท่ากับหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งได้เลย
“ตั้งแต่ท่านแม่บุญธรรม… ข้าหมายถึงแม่ของเจ้าจากไปเมื่อสามปีก่อน ทุกอย่างของเจ้าเป็นพี่ใหญ่และข้าช่วยกันดูแลแทนเจ้าทั้งสิ้น ในเมื่อตอนนี้อาการป่วยของเจ้าหายดีแล้ว เจ้าควรจัดการมันด้วยตัวเอง” โจวจวงจื่อกล่าว
“แต่ในเมื่อปล่อยให้ชาวบ้านได้เช่าทำกินแล้ว เหตุใดพวกเขายังคงต้องนำข้าวเปลือกมาให้ข้าอีก?” เพียงแค่ต้องจ่ายค่าเช่าเพื่อทำนาแล้ว นั่นก็เป็นจำนวนเงินที่เยอะมากแล้วสำหรับชาวบ้านเช่นนี้ เพราะจากประวัติศาสตร์ที่นางเรียนมา หากชาวบ้านจำต้องเช่าที่นาเพื่อทำมาหากิน นั่นหมายความว่าชีวิตของพวกเขาแทบไม่มีทางเลือกแล้ว
“นั่นเป็นเพราะ มารดาของเจ้าที่มีน้ำใจต่อคนในหมู่บ้านนี้ นางคิดค่าเช่ากับพวกเขาเพียงสามส่วน แม้ว่าจะต้องแบ่งผลผลิตหนึ่งส่วนมาให้เจ้าแทน แต่ถึงจะเป็นผลผลิตแค่หนึ่งส่วน พวกเขาก็ยังมีเงินเหลืออีกมาก นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจแม่บุญธรรมมากที่สุด ทั้งที่นางสามารถหาเงินได้จากการให้เช่าได้มากแท้ๆ แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น"
โจวจวงจื่อบ่นออกมาอย่างไม่รู้ตัว เป็นเพราะนางใช้ชีวิตอยู่กับแม่บุญธรรมมารดาของซูอวี้หนิงเป็นส่วนใหญ่ นางจึงคิดว่าการกระทำของแม่บุญธรรมนั้นเป็นการเสียเปรียบผู้อื่น
แต่ซูอวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
มารดาของเจ้าของร่างนี้เป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งอย่างยิ่ง นางเป็นเพียงหญิงม่ายที่ใช้ชีวิตอยู่ชนบทเช่นนี้ หากวันหนึ่งที่นางจะต้องสิ้นลมไปและปล่อยให้ลูกสาวที่สติไม่สมประกอบอยู่ตามลำพัง มีเพียงการให้ชาวบ้านเป็นหนี้บุญคุณแก่นาง เพื่อให้การดูแลบุตรสาวของตนในภายภาคหน้า ให้มีชีวิตที่ไม่อาภัพนัก
โดยเฉพาะการรับพี่น้องตระกูลโจวทั้งสองคนเป็นบุตรบุญธรรมเช่นนี้
ซูอวี้หนิงเป็นคนที่มาจากโลกอนาคต มีสิ่งใดแผนการใดที่นางไม่เคยพบเห็นบ้าง? ต่างจากเด็กสาวตรงหน้าที่มีนิสัยใสซื่อ ย่อมคิดไม่ถึงความแยบยลในแผนการนี้
นั่งเล่นอยู่เพียงสักพักใหญ่ๆ แสงแดดก็เริ่มร้อนแรงมากยิ่งขึ้น โจวจวงจื่อจึงประคองร่างผอมบางเข้าไปที่ด้านใน พร้อมกับเตรียมอาหารให้อีกฝ่าย
ชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาในชีวิตก่อนของซูอวี้หนิง ทำให้ตอนนี้นางกลับมาคิดวางแผนว่านางควรจะทำอะไรต่อไปจากนี้
ซูอวี้หนิงพยายามนึกถึงความทรงจำที่ตนเองได้รับมาอย่างเลือนรางว่าก่อนหน้านี้ ซูอวี้หนิงคนก่อนมักทำสิ่งใด เพื่อไม่ให้ทุกคนในบ้านสงสัย และความพยายามของนางก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อความจำบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวตนของซูอวี้หนิงคนก่อนก็ผ่านเข้ามาในหัวของนาง
ซูอวี้หนิงไม่รอช้า ค่อย ๆ พยุงตัวเองไปอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน ซึ่งนางจำได้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่ซูอวี้หนิงคนก่อนชอบมานั่งอยู่เพียงลำพัง เมื่อเข้ามาด้านใน นางก็พบกับชั้นวางของเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมห้อง บนชั้นมีชุดน้ำชาเรียบ ๆ วางเอาไว้ พร้อมกับตำราสามสี่เล่ม มันถูกวางคล้ายกับสิ่งของชิ้นนี้เป็นของรักของหวงของเจ้าของห้อง
เป็นไปได้ว่าซูอวี้หนิงคนเดิมนั้นมีนิสัยชอบอ่านตำราอย่างยิ่ง ดูจากร่องรอยที่อีกฝ่ายเปิดอ่าน จะรู้ได้ทันทีว่านางชื่นชอบเล่มไหน
นอกจากตำราที่วางอยู่ชั้นด้านข้างแล้ว อีกด้านหนึ่งของห้องยังมีหีบไม้อีกหนึ่งใบวางอยู่ด้านข้าง เมื่อเปิดดูด้านใน ซูอวี้หนิงก็ต้องประหลาดใจ เพราะด้านในไม่ได้มีเพียงตำรานิทานทั่วไปเท่านั้น แต่มันกลับมีตำราและม้วนไม้ไผ่หมวดหมู่ต่าง ๆ มากมายที่อยู่ด้านใน
ซูอวี้หนิงเลือกเล่มที่น่าสนใจออกมาสองสามเล่มเพื่ออ่านมันคั่นเวลา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ซูอวี้หนิงกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดจนกระทั่งได้ยินเสียงของโจวจวงจื่อที่ดังมาจากทางหน้าเรือน คล้ายว่านางกำลังพูดคุยกับใครบางคน
ซูอวี้หนิงวางตำราเล่มหนาในมือลง ก่อนจะค่อย ๆ พยุงร่างกายของตนเองออกไปด้านหน้าเรือน
เมื่อออกมาถึงด้านนอก นางก็พบว่าแสงแดดของวันเริ่มจะหมดลงแล้ว
ที่ด้านหน้าประตู โจวจวงจื่อกำลังพูดคุยกับใครบางคนด้วยสีหน้าแตกตื่น โดยมีโจวจื่อเฉียงพี่ชายของนางยืนฟังอยู่ด้านข้างด้วย
เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง โจวจื่อเฉียงหันมามองซูอวี้หนิงที่เดินกระเผลกออกมาจากด้านในเรือนด้วยตนเอง เขาจึงรีบทิ้งน้องสาวไว้ที่ประตู รีบเข้ามาพยุงหญิงสาวทันที
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าซูอวี้หนิงต้องการเดินออกมานั่งที่ใต้ต้นหม่อนหน้าบ้าน เขาจึงช่วยพยุงนางมาที่ม้านั่งที่นางต้องการ โดยไม่ได้กล่าวอะไร
แต่กลับเป็นนางที่กล่าวถามขึ้น
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?” ซูอวี้หนิงถามอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะทันได้ตอบ เสียงของโจวจวงจื่อก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เสี่ยวซู เจ้าซานโก่วนั้นถูกกรรมตามสนองเข้าให้แล้ว!!” โจวงจวงจื่อที่คุยกับคนที่ด้านหน้าประตูรั้วเสร็จแล้ว รีบวิ่งเข้ามาบอกข่าวแก่นาง
“??” ซูอวี้หนิงขมวดคิ้วสงสัยครู่หนึ่ง คล้ายต้องการนึกถึงว่าใครคือซานโก่วที่อีกฝ่ายพูดถึง
เมื่อเห็นว่าซูอวี้หนิงจะจำซานโก่วที่รังแกนางไม่ได้ โจวจวงจื่อจึงรีบบอกอีกฝ่ายทันที
“คนที่ผลักเจ้าจนได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้อย่างไรเล่า!! เมื่อครู่นี้พี่สาวลู่มาบอกข้าว่า เจ้าซานโก่วหายออกจากบ้านไปเมื่อวันก่อนและไม่กลับมาอีก แม่ของเจ้านั่นเป็นห่วงอย่างมาก จึงมาแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านด้านล่างเพื่อตามหา จนเมื่อครู่นี้มีคนพบศพของเจ้านั่นอยู่ริมแม่น้ำ"
แม้ว่าโจวจวงจื่ออยากจะให้อีกฝ่ายถูกกรรมตามสนองมากเพียงใด แต่การที่เห็นว่าอีกฝ่ายกลายเป็นศพไปจริงๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย จะอย่างไร อีกฝ่ายก็เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
ต่างจากซูอวี้หนิงที่คิดว่าเรื่องนี้น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย นางอยากไปดูศพของอีกฝ่ายด้วยตาตนเอง ว่าเขาจมน้ำตายหรือเพราะถูกใครฆาตกรรมหรือไม่
แต่ด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ไปดูผู้เสียชีวิต หรือหากนางไปตอนนี้ ครอบครัวของอีกฝ่ายคงไม่ให้นางไปแตะต้องศพอย่างแน่นอน
เนื่องจากร่างกายของซูอวี้หนิงตอนนี้ยังเยาว์วัยอยยู่มาก ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วันนางก็สามารถเดินเหินได้ด้วยตนเองโดยไม่ลำบากคนอื่น ๆ อีกต่อไป มีเพียงร่องรอยขีดข่วนตามร่างกายอีกเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่
ซูอวี้หนิงใช้เวลาว่างที่ตนเองมีอยู่อ่านม้วนตำราที่มีอยู่ภายในห้องไปมากกว่าครึ่ง ทำให้นางได้รู้ว่า สถานที่ที่นางอาศัยอยู่ตอนนี้ไม่ได้ตรงกับยุคสมัยใดในประวัติศาสตร์ของจีนเลยแม้แต่น้อย แต่การดำรงชีวิตของผู้คนที่นี่กลับคล้ายจีนในยุคสมัยก่อนอย่างมาก
แต่สิ่งที่นางให้ความสนใจมากกว่านั้น คือวิชาแพทย์ของที่นี่ โชคดีที่ในหีบนี้ยังพอมีตำราสมุนไพรทั่วไปให้นางพอได้ศึกษาดูบ้าง แต่เมื่อนางได้อ่านดู นางกลับพบว่าสมุนไพรที่ถูกบันทึกไว้นั้นมีน้อยกว่าที่นางเคยศึกษาจากชีวิตก่อนเป็นอย่างมาก
ในชีวิตที่แล้ว ซูอวี้หนิงเป็นเด็กหัวกะทิที่ถูกคัดเลือกเป็นพิเศษจากรัฐบาลมาตั้งแต่อายุห้าขวบ เนื่องจากทางบ้านเป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ทำให้พ่อและแม่ของเธอในชีวิตก่อนเลือกส่งเธอเข้ารับการคัดเลือกพิเศษนี้ตั้งแต่เด็ก เด็กที่สามารถผ่านการคัดเลือกได้ ได้รับเงินรางวัลและทุนการศึกษาพิเศษจากรัฐบาล และแน่นอนว่าตัวเธอเองก็ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนประจำชาติ ที่ทางรัฐบาลก่อตั้งขึ้น
พวกเธอจะถูกแบ่งแยกตามความสามารถและความถนัดของตนเอง และเธอถูกคัดเลือกให้เรียนแพทย์ทุกแขนง ทำให้เธอประสบความสำเร็จและกลายเป็นศัลยแพทย์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
และแน่นอนว่าตำราสมุนไพรโบราณเช่นนี้ ตอนที่ยังอยู่ในศูนย์วิจัยของรัฐบาล ซูอวี้หนิงเองก็เคยศึกษามาแล้วเช่นกัน
“เสี่ยวซู”
ในขณะที่ซูอวี้หนิงกำลังอ่านตำราสมุนไพรอยู่ภายในห้องนั้น ก็มีเสียงของโจวจื่อเฉียงดังมาจากทางด้านหน้าประตู
แม้ประตูจะไม่ได้ปิดไว้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เดินเข้ามา โจวจื่อเฉียงเพียงเอ่ยปากเรียกนางอยู่ที่ด้านหน้าประตูเท่านั้น ซูอวี้หนิงวางม้วนตำราลงไว้ที่ด้านข้าง ก่อนจะลุกเดินออกไปหาอีกฝ่ายที่ด้านหน้าเรือน
เมื่อซูอวี้หนิงเดินออกไปก็พบว่า ที่ด้านหน้าประตูไม่ได้มีเพียงแค่โจวจื่อเฉียงเท่านั้นที่ยืนอยู่
ที่ด้านหลังของเขามีชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคล้ายกับโจวจื่อเฉียงอยู่หลายส่วนยืนอยู่ด้วย ซึ่งซูอวี้หนิงคาดเดาไม่ยากว่าคนคนนี้ ก็คือ ท่านลุงโจว ที่ออกไปขายข้าวเปลือกต่างเมืองพึ่งกลับมา
ซูอวี้หนิงสังเกตอีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง แต่เมื่อสบตากับอีกฝ่าย ซูอวี้หนิงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย เพราะแววตาที่อีกฝ่ายมองมานั้น ไม่ต่างจากหัวหน้าหน่วยในสายงานตำรวจที่นางเคยร่วมงานกันเมื่อชีวิตก่อนเลย
แต่แววตาคู่นั้นก็พลันอ่อนโยนลงอย่างรวดเร็ว ราวกับเมื่อครู่นี้ ซูอวี้หนิงตาฝาดไป
“เสี่ยวซู” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมาจากอีกฝ่าย
ในตอนนั้นเอง ภาพเลือนรางในอดีตก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวของซูอวี้หนิงอีกครั้ง
เป็นภาพของนางเมื่อครั้งยังเด็กที่ถูกอีกฝ่ายคอยเลี้ยงดูและพาขี่หลังออกไปเที่ยวเล่นรอบ ๆ หมู่บ้าน
ทำให้นางรู้ได้ว่า ซูอวี้หนิงคนก่อนนั้น รักชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นอย่างมาก
“ท่านลุง” ซูอวี้หนิงที่ยืนอยู่กล่าวกับอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ
………………