บทที่ 3
ฝูหรงใช้เวลาช่วงเช้าพูดคุยกับแม่สามี มีเรื่องที่นางต้องเรียนรู้มากมาย โดยเฉพาะการดูแลเงินของจวนที่แม่สามีอย่างหลี่ชุนโหลวจะยกให้กับนางดูแล
“แม่แก่แล้วหรงหรง หากยังทำต่ออยู่ก็ไม่รู้จะมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาแล้ว ก็ช่วยแม่ดูแลเถิด”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะช่วยท่านแม่จัดการเอง” เพราะจวนสกุลฝูนางก็ฝึกงานกับท่านแม่ใหญ่ในตระกูลฝูมานาน งานการหลาย ๆ อย่าง ก็เรียนรู้ไปพร้อมกับพี่สาวอย่างฝูอิง จึงทำให้ฝูหรงมีความรู้ความสามารถพอสมควร เอาเข้าจริงงานที่ท่านแม่ใหญ่มอบหมายให้นางและพี่สาวทำ เป็นนางทั้งหมดที่ทำ ท่านพี่อิงอิงแทบไม่ได้หยิบจับ หรือหากจะพูดกันตามตรงก็คือนางเองก็มีดีเท่าที่คุณหนูคนหนึ่งควรจะมี ไม่เช่นนั้นท่านพี่อิงอิงคงไม่ยอมให้นางทำงานแทนทั้งหมดเช่นนั้น หรือนางอาจจะมีดีมากกว่าคุณหนูเล่านั้นตรงที่นางจะขยันและอดทนมากกว่าด้วย เพราะคงไม่มีคุณหนูตระกูลใดต้องตักน้ำอย่างที่นางเคยทำ แม้แต่ผ่าฟืนนางก็เคยทำมาแล้ว ทุกอย่างฝูหรงล้วนทำเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น +
นั่นจึงทำให้เพียงเริ่มหยิบจับอะไร แม่สามีก็เอ็นดูจนติดเรียกชื่อนางไม่ขาดปาก ไม่ว่าอะไรก็ หรงหรง
“ท่านพี่ลองชิมอันนี้ดูสิเจ้าคะ หรงหรงเป็นคนทำ น้องว่ารสชาติดีทีเดียว”
แม้หัวหน้าตระกูลอย่างรั่วเจิ้นหวินจะไม่เอ่ยอะไร แต่การรับไปกินโดยไม่มีคำบ่นนั่นก็ถือเป็นคำชมแล้ว และถ้วยที่ว่างเปล่าของสามีที่หญิงสาวเติมน้ำแกงให้เป็นรอบที่สองก็เป็นการบ่งบอกเหมือนกันว่ารั่วหยางจิ้นก็ชื่นชอบสิ่งนี้ไม่น้อย
หลังจากอยู่ในจวนตระกูลรั่วมาเกือบเจ็ดวันก็ทำให้ฝูหรงรู้ว่าบุรุษบ้านนี้เก็บปากเก็บคำไม่ค่อยพูดจา ไม่เหมือนกับแม่สามีของนางที่เอ่ยวาจาอ่อนหวานเอาใจสามีและบุตรชายเสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเงียบเฉยใส่ แต่แม่สามีของฝูหรงก็บอกว่าถ้าไม่บ่นออกมาก็คือดีหญิงสาวจึงเริ่มใจชื้นขึ้นบ้าง
เพราะตั้งแต่เข้ามาที่นี่รั่วหยางจิ้นยังไม่เคยบ่นว่าอะไรนางเลยสักครั้ง เขาและนางใช้ชีวิตราวกับสามีภรรยากันจริง ๆ ทำให้ฝูหรงยิ่งรู้สึกดีกับสามีของนางมากขึ้นไปอีก และหลังจากที่นางคลายความกังวลลงบ้างแล้วสามีก็เริ่มเข้าหามากขึ้น
“ทายาทก็เป็นสิ่งสำคัญไม่เช่นนั้นคงไม่มีสัญญาหมั้นหมายเกิดขึ้นหรอก”
ฝูหรงยังจำได้ดีว่าตอนที่นางได้ยินคำนี้ครั้งแรกนางรู้สึกเขินอายมากแค่ไหน แต่เพราะใจที่เป็นของอีกฝ่ายอยู่แล้ว รวมถึงความอ่อนโยนที่เย็นชานั่นก็ทำให้ตกลงไปในบ่วงรักของอีกคนมากขึ้นไปอีก
นางเพิ่งเข้าใจความหมายจริง ๆ ของคำพูดในคืนวันแต่งของชายหนุ่มก็เมื่อได้ร่วมหอกับเขาจริง ๆ รั่วหยางจิ้นไม่ได้สนใจเลยว่าสตรีที่เขาเข้าพิธีมงคลหรือร่วมหอกับเขาจะเป็นใคร ชายหนุ่มล้วนคิดเพียงแค่หน้าที่เท่านั้น นั่นก็หมายความว่า บางทีต่อให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงในวันเข้าหอเป็นพี่สาวของนาง ก็อาจจะได้รับคำพูดที่ไม่ต่างกันนัก
ฉะนั้นแม้จะสุขใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่ก็เป็นความสุขที่แอบจุกและเจ็บอยู่บ้าง แต่เพราะตอนนี้นางเป็นภรรยาของรั่วหยางจิ้นแล้วจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
กลางวันจัดการเรื่องในเรือน มันง่ายเสียยิ่งกว่ายามที่นางอยู่ที่จวนตระกูลฝูเสียอีก เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือ แม่สามีก็ไม่คัดค้านอะไรสักอย่างทั้งยังเอ่ยปากชมไม่ขาดปากอยู่เสมอ ๆ
“มีหรงหรงแล้วแม่ก็วางใจจริง ๆ สาวใช้ทำงานได้เรียบร้อยยิ่งกว่าตอนที่แม่ดูแลอยู่อีก”
หญิงสาวที่ได้รับคำชมนางยิ้มอย่างเขินอาย เพราะไม่ว่าทำดีเท่าไรก็ไม่เคยได้ยินคำชมจากปากท่านแม่ใหญ่เลยสักครั้ง มารดาของนางเองก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในจวนตามคำสั่งของฮูหยินเอก
“ท่านแม่ก็พูดเกินไปเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
“เจ้านี่นะถ่อมตัวจริง ๆ อ่อนน้อมน่ะดี แต่ให้คนเอาเปรียบไม่ดีรู้หรือไม่ อะไรที่ทำได้ดีเมื่อมีคนชมก็รับเอาไว้เถอะ”
ฝูหรงยิ้มอย่างตื้นตันให้กับแม่สามี นางรู้สึกราวกับสิ่งที่ดีที่สุดที่บิดาเคยทำให้นางคือการที่ให้นางแต่งออกมาแทนท่านพี่จริง ๆ หรือนางควรขอบคุณท่านพี่อิงอิงที่หายไป
เพราะหากไม่เป็นอย่างนั้น ชาตินี้ก็ไม่รู้ว่านางจะเจอครอบครัวสามี และสามีที่ดีขนาดนี้หรือไม่ แม้ว่ารั่วหยางจิ้นจะพูดจากับนางน้อยนัก แต่เพราะแม่สามีบอกเอาไว้แล้วว่าท่านพ่อและสามีของนางนั้น เหมือนน้ำนิ่งไหลลึก แม้จะคิดอะไรอยู่ในใจมากมาย แต่กลับกระทำเพียงน้อย และพูดเพียงแค่จำเป็นเท่านั้น หากเข้าใจก็จะมีความสุขได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็จะคิดว่าชายหนุ่มนั้นเย็นชาและไม่สนใจใส่ใจ ซึ่งคำของท่านแม่ ฝูหรงก็พยายามจดจำเอาไว้เสมอ
“ท่านพี่วันนี้ข้าตุ๋นน้ำแกงเอาไว้ให้ท่านดื่มก่อนนอนด้วยนะเจ้าคะ”
หญิงสาวช้อนสายตามองคนที่นางกำลังช่วยเขาถอดชุดออก เสียงครางรับเบา ๆ ในลำคอเป็นการบ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มนั้นรับรู้แล้ว แต่ระหว่างที่ฝูหรงจะเดินไปจัดเตรียมที่นอนให้กับสามีก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ จมูกของชายหนุ่มผ่านแก้มเนียนไปราวกับแมลงปอบินผ่าน
“เครื่องหอมของเจ้า ทำเป็นถุงหอมให้ข้าได้หรือไม่”
“แต่ข้าไม่ได้ใช้เครื่องหอมใด ๆ เลยนะเจ้าคะ”
คำของหญิงสาวเรียกสายตาคมให้หันมามองและนั่นก็ยิ่งทำให้หัวใจของฝูหรงเต้นไม่เป็นส่ำ
“แล้วต้องทำเช่นไรถึงจะมีกลิ่นเช่นนี้เล่า”
เขาเอ่ยคำที่ไม่ได้ฟังดูแปลกอะไรเลย แต่ยามนี้กลับทำให้ฝูหรงเกือบจะหายใจไม่ออกตายอยู่แล้ว
ฝูหรงยิ้มเอียงอายแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกถึงความร้อนที่ไหลวนอยู่ในแก้มของตน “บางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นดอกไม้ที่ข้าใช้อาบน้ำก็ได้เจ้าค่ะ”
รั่วหยางจิ้นยิ้มอ่อนก่อนจะพลิกฝ่ามือบางแล้ววางตลับยาตลับเล็กลงบนฝ่ามือนั่น ฝ่ามือของนางเล็กนิดเดียว แต่กลับหยาบกร้านยิ่งกว่าเขาเสียอีก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าภรรยาของเขา เดิมอยู่ที่จวนสกุลฝูเช่นไร
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ทำถุงหอมจากดอกไม้ที่ว่านั่นให้ข้าด้วยนะ ส่วนนั่นทาทุกวันอย่าให้ขาด คนขายร้านเครื่องประทินผิวบอกว่าตัวยาในตลับตัวนี้ดีที่สุด"
หลังจากจัดที่นอนเสร็จ ฝูหรงเดินไปที่ครัวเพื่อนำน้ำแกงที่ตุ๋นไว้มาให้สามี ความรู้สึกอบอุ่นของน้ำแกงในมือเทียบไม่ได้เลยกับความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจนาง เป็นแรงผลักดันให้นางอยากดูแลเขาให้ดีที่สุด แม้ในใจนางรู้สึกว่า แม้รั่วหยางจิ้นจะไม่ใช่คนที่แสดงความรักออกมาอย่างชัดเจน แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาก็เพียงพอให้นางรู้สึกถึงความรักและความเอาใจใส่ที่เขามีต่อนาง แม้จะไม่มีคำบอกรักหรือรู้สึกเช่นไรกับนางเลยสักคำก็ตาม
นางทำดีกับเขาถึงเพียงนี้ เขาย่อมต้องเอนเอียงมาหานางบ้างใช่หรือไม่
ในคืนที่เงียบสงบนี้ ฝูหรงนั่งมองสามีของนางที่ดื่มน้ำแกงอย่างตั้งใจ ในใจนางรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย และรู้ว่าการตัดสินใจของบิดาที่ให้นางแต่งงานกับรั่วหยางจิ้นแทนพี่สาวนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของนางตั้งแต่เกิดมา ทั้งสองคนอาจจะยังค่อย ๆ เรียนรู้และปรับตัวเข้าหากัน แต่ฝูหรงก็รู้ว่าพวกเขาจะผ่านทุกอุปสรรคไปด้วยกัน เยี่ยงสามีภรรยาคู่อื่น ๆ
เมื่อรั่วหยางจิ้นดื่มน้ำแกงเสร็จ เขาหันมายิ้มให้ภรรยาของตน "ขอบใจเจ้ามากหรงหรง น้ำแกงนี้อร่อยมาก ข้าจะนอนแล้ว เจ้าเองก็นอนพักผ่อนเสียด้วย"
ฝูหรงยิ้มและกล่าวขอบคุณสามีกลับไปในความเป็นห่วงเป็นใยที่เขาเอ่ย ก่อนที่จะไปเตรียมตัวนอนเคียงข้างเขาเช่นทุกวัน ความสุขและความพอใจที่นางรู้สึกในวันนี้ทำให้นางหลับไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น มั่นใจว่าพรุ่งนี้จะเป็นอีกวันที่ดีในชีวิตใหม่ของนางที่จวนตระกูลรั่ว
บทที่ 35วันเวลาผ่านไปคุณชายและคุณหนูตระกูลรั่วกลายเป็นคนที่บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างหมายปอง เพราะผิดหวังจากการเข้าหาคนพ่อที่รักเดียวใจเดียวต่อฮูหยินของตนจึงคิดจะเข้าทางบุตรชายและบุตรีแทนแต่เพราะการเลี้ยงดูของฝูหรงและรั่วหยางจิ้นจึงทำให้ไม่ง่ายนักที่เหล่าบุตรและบุตรีจากตระกูลขุนนางจะตีสนิทบุตรทั้งสองของรั่วหยางจิ้นได้“ใต้เท้ารั่วปีนี้บุตรของท่านก็ถึงวัยที่จะมีคู่แล้วได้มองใครเอาไว้ให้บุตรชายบ้างหรือเปล่า” รั่วหยางจิ้นแอบหัวเราะในใจ ขุนนางคนนี้แค่มองและแค่เอ่ยออกมาเพียงแค่คำก็รับรู้ถึงความคิดในใจ “ไม่มีหรอก ข้าให้บุตรชายและบุตรสาวได้เลือกคนที่รักเอง ท่านไม่รู้หรอกว่าความรักนั้นสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด” ขุนนางชราคนนั้นยิ้มจาง ๆ ให้ ก่อนจะขอตัวจากไปเมื่อการเจรจาไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจเรื่องที่เกิดขึ้นในฝั่งของชายหนุ่มก็ไม่ได้ต่างกันเลยกับทางด้านฝูหรงเมื่อไปเจอกับเหล่าฮูหยินด้วยกันก็มักมีคนมาเสนอทั้งบุตรสาวและบุตรชายให้เลือกเป็นเขยหรือสะใภ้ เพราะนางดูหัวอ่อนน่าจะกล่อมง่ายกว่าคนเป็นสามี แต่ไม่ว่าจะชักจูงเช่นไรก็ได้รับแค่รอยยิ้มจาง ๆ กลับมา บทสนทนาก็จะจบลงด้วยความเงียบแทบจะทุกครั้ง
บทที่ 34รั่วหยางจิ้นเป็นทั้งสามีที่ดี และพ่อที่ดีหากฝูหรงไม่ตั้งครรภ์นางคงไม่มีทางรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ท้องที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หญิงสาวรับรู้ว่าสามีของนางรักและเป็นห่วงนางมากขนาดไหนเขาแทบจะมาอยู่เป็นเพื่อนเลยหากฝูหรงรู้สึกไม่ดี ชายหนุ่มออกไปหาทุกอย่างที่หญิงสาวต้องการ ซึ่งอาการแพ้ท้องของฮูหยินเจ้าเมืองก็คล้ายจะเป็นการกลั่นแกล้งผู้เป็นสามีจริง ๆ“ขนมจากร้านที่สองจากมุมถนนอี้หรือ” รั่วหยางจิ้นถามย้ำภรรยา แต่พอไปถึงร้านขนมนั้นกลับไม่เปิด เดือดร้อนชายหนุ่มต้องไปหาของอื่นมาทดแทนแต่ก็เหมือนฮูหยินที่ตั้งครรภ์ของเขาจะจับได้ทุกครั้งที่ของที่นางสั่งไม่ตรงตามต้องการ กว่าจะพ้นช่วงแพ้ท้องก็ทำเอาชายหนุ่มซึ่งเป็นเจ้าเมืองต้องถูกให้สรรหาอะไรแปลก ๆ มาให้ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาจนได้ และยิ่งทำให้ฝูหรงรักสามีหนักขึ้นอีก“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” รั่วหยางจิ้นเอ่ยถามคนที่กอดเขาเอาไว้แน่นราวกับเป็นลูกลิง และแม้ว่าหญิงสาวจะพยักหน้าบอกว่าตนเองดีขึ้นแล้ว แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือทั้งยังอิงหัวอยู่ที่บ่ากว้างของเขาท่าทางน่าเอ็นดูนั่นทำให้รั่วหยางจิ้นอดไม่ได้ที่จะประทับริมฝีปากไปที่หน้าผากเนียนของภรรยาตลอดการตั้ง
บทที่ 33หลังจากผ่านไปเกือบห้าปีรั่วหยางจิ้นที่สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ก็ได้ย้ายกลับไปประจำอยู่ที่เมืองหลวงในตำแหน่งรองเจ้ากรมการคลัง การเดินทางกลับมาครั้งนี้ฝูหรงกลับมาด้วยท่าทางที่ต่างออกไปจากตอนที่จากไป จนแม่สามีที่ตอนมาเยี่ยมช่วงที่ตั้งครรภ์ก็ไม่ทันสังเกตเพิ่งมาเจอเอาตอนที่กลับมาก็รู้สึกแปลกใจที่ลูกสะใภ้ของนางไม่ได้หัวอ่อนและก็ถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายอย่างที่คิด ทั้ง ๆ ที่คิดว่าหญิงสาวเพิ่งมาเปลี่ยนเอาตอนที่ต้องย้ายเมืองแต่ความเป็นจริงแล้วฝูหรงก็เป็นเช่นนี้มานานแล้ว และก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้แสดงออกเพราะนั่นก็เป็นนิสัยของนางเหมือนกัน หญิงสาวไม่ได้ตั้งใจให้แม่สามีเข้าใจตัวนางผิดแต่เพราะตลอดมาฝูหรงต้องเอาตัวรอดจึงได้เป็นเช่นนี้แต่เพราะมารดาของนางเลี้ยงและอบรบมาดีก็จึงเป็นการเอาตัวรอดแต่ไม่ได้ทำร้ายใคร การกลับมาของขุนนางหนุ่มที่ถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาก็ทำให้บรรดา แม่นางน้อยใหญ่อยากเข้าหาสามีของฝูหรงอีกครั้ง แม้จะมีฮูหยินอยู่และยังมีบุตรถึงสองคนแต่เพราะฐานะและหน้าตา หล าย ๆ คนจึงคิดว่าควรที่จะเสี่ยงแต่กลับถูกดับฝันโดยภรรยาของขุนนางหนุ่ม ฝูหรงยังคงช่วยสามีแต่งตัวเหมือนเมื่อก่อน มือเรียวท
บทที่ 32หลังจากวันที่ได้เปิดใจกันทั้งคู่ก็พยายามที่จะไม่สงสัยในเรื่องใดอีก หรืออาจจะเป็นเพราะหน้าที่ของเจ้าเมืองนั้นมีเยอะมากเกินกว่าจะมามีเวลาสงสัยเรื่องที่ได้บทสรุปแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้รั่วหยางจิ้นเพิ่งเข้าใจว่าทำไมฮ่องเต้จึงส่งเขามาที่นี่ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นการเสียความรู้ของตนเปล่า ๆ เสียแล้ว ที่มาอยู่เมืองที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจทุกฤดูของเมืองนี้ล้วนไม่มีอะไรรุนแรงแต่เมื่อยามหน้าฝน ฝนกลับตกหนักนัก ทำให้ชาวบ้านต้องต่อสู้กับเรื่องน้ำท่วมทั้งบ้านเรือนและที่ทำกินอยู่เป็นประจำหน้าที่ของเจ้าเมืองคนใหม่จึงต้องหาวิธีจัดการกับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งปีแรกเขาไม่ทันตั้งตัวจึงเกิดอุทกภัยเหมือนที่เคยเกิดแม้จะไม่รุนแรงแต่ก็ทำให้พืชพันธ์เสียหายแต่ในปีถัดมาปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไข ชายหนุ่มทำฝายกั้นน้ำเอาไว้เป็นช่วง ๆ และยังขุดทางเป็นร่องให้น้ำไหลไปเก็บไว้ในพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่อีกด้วยเพราะเป็นน้ำหลากจึงแก้ปัญหาได้โดยง่าย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็เหนื่อยทั้งกายและใจ แต่เพียงแค่กลับมาจวนได้รับการต้อนรับที่ดีจากภรรยาที่รัก ความเหนื่อยที่มีก็บรรเทา“เป็นอย่างไรบ้างเจ้
บทที่ 31ฝูหรงกำลังตุ๋นไก่กับโสมให้กับสามีของตนโดยมีชิงอี้เป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง“ที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าฮูหยินเล็กกับท่านเจ้าเมืองเป็นคู่รัก ที่ดูรักและใส่ใจกันมาก ๆ” ชิงอี้ที่ลอบสังเกตท่าทางของทั้งสองเอ่ยตามที่ตนคิด“แล้วที่ผ่านมาไม่ใช่หรือ” หญิงสาวที่กำลังตรวจดูไก่ตุ๋นโสมเอ่ยถามสาวใช้คนสนิทของตนเองซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าและยังเอ่ยย้ำอีกรอบ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ” คำตอบของชิงอี้ทำให้ฮูหยินเจ้าเมืองอย่างฝูหรงแปลกใจ “ไม่ใช่หรือเพราะเหตุใดกัน ข้าดูไม่รักท่านพี่ หรือว่าเขาดูไม่รักข้าหรือ”คำถามของฝูหรงนั้นทำให้ชิงอี้คิดมากจนหญิงสาวที่เป็นนายหญิงของจวนเจ้าเมืองแห่งนี้อดหัวเราะกับท่าทางจริงจังของนางไม่ได้“แค่รักเฉย ๆ มันน้อยไป ข้าคิดว่าพวกท่านรักลึกซึ้งกันมากกว่านั้นจากที่ดู แค่คนที่เพิ่งรู้จักเพิ่งแต่งงานจะรักกันได้ขนาดนี้เลยหรือ” ฝูหรงยิ่งฟังคำของชิงอี้ก็ยิ่งแปลกใจ “ใครให้เจ้ามาพูดอะไรหรือ” หญิงสาวเอ่ยอย่างรู้ทัน ซึ่งชิงอี้ก็รีบปฏิเสธแต่มีหรือจะทัน“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าสงสัยเองจริง ๆ” คำตอบนั้นไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยของนายหญิงแห่งจวนเจ้าเมืองแห่งนี้หายไปเลยแม้แต่นิด “ที่จริงจะสงสัยไปทำไม
บทที่ 30หลังจากรับรู้เรื่องราวการหมั้นของพี่สาวและคนที่นางแอบรัก ฝูหรงก็ไม่สนใจอะไรอีก หญิงสาวไม่อยากเป็นคนไม่ดีที่อิจฉาพี่สาวตนเอง แต่ความรู้สึกไม่พอใจที่ไม่ค่อยได้เกิดบ่อย ตอนนี้กลับพุ่งสูงอย่างบอกไม่ถูกฝูหรงจึงคิดว่าควรจะปล่อยวางเรื่องทุกอย่างไป ทิ้งความรู้สึกที่มีทั้งหมด อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ็บสักหน่อย แต่ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเคยถูกเอาเปรียบอยู่เสมอแต่ครั้งนี้กลับเจ็บจนต้องร้องไห้ออกมา แต่ก็เศร้าอยู่ได้เพียงไม่นานเมื่อสิ่งที่คาดคิดนั้นไม่เหมือนกับความเป็นจริง เพราะหลังจากเจอกันไม่กี่ครั้งพี่สาวของนางอย่างฝูอิงก็แสดงท่าทางรำคาญรั่วหยางจิ้นอย่างเห็นได้ชัดตอนแรกฝูหรงรู้สึกดีใจที่พี่สาวไม่ได้สนใจรั่วหยางจิ้นมากนักมันทำให้ดวงใจที่แห้งเหี่ยวของนางฟูขึ้นมาได้บ้าง เพราะเอาเข้าจริง นางก็ยังแอบหวังว่าจะได้เคียงข้างอีกฝ่าย แต่ก็ดีใจได้แค่ชั่วครู่เท่านั้นเพราะความไม่สนใจของพี่สาวมีอยู่แค่ตอนที่ได้ยินเพียงชื่อ พอได้เจอกับรั่วหยางจิ้น ฝูอิงก็เริ่มสนใจคู่หมายของตนเพราะคุณชายรั่วผุ้นั้นไม่ใช่คนขี้ริ้วการหมั้นหมายจึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ทำให้ฝูหรงคิดตัดใจอีกรอบแต่ระหว่างที่หญิงสา