เจินไป๋เจีย ไม่ได้สนใจว่าใครจะประมวลหรือคิดอะไร นางนั่งเปลขาพาดยกสูง ไร้มารยาทเฉกสตรีทั่วไป ในเมื่อไม่ให้หย่า แต่นางคงออกไปไหนมาไหนได้กระมัง
“แม่นมมู่ ข้าจะไปเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านโอสถ ท่านช่วยจัดการให้ด้วย”
ไทเฮาเป็นบุตรสาวจากตระกูลอัน หนึ่งในสี่ตระกูลที่มีผู้นำตระกูลเป็นถึงปรมาจารย์โอสถการที่เจินไป๋เจียอยากจะไปเป็นเด็กฝึกย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
“ฮูหยินท่าน…เอ่อ..เจ้าค่ะ”
เป็นเด็กฝึกก็ต้องคอยรับใช้และฟังคำสั่งผู้อื่น เจินไป๋เจียไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แม่นมมู่แค่คิดว่าองค์หญิงของนางต้องไปเป็นข้ารับใช้ผู้อื่นก็ปวดใจทันที
“ชิงอี ชิงอิง เจ้า 2 คนต้องคอยดูแลไม่ให้ใครมารังแกคุณหนูเด็ดขาดรู้ไหม” แม่นมมู่สั่งกำชับองค์รักษ์ข้างกายของเจินไป๋เจียด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
“ชิงอี ชิงอิง เจ้าทั้งสองต่อไปเรียกข้าว่าคุณหนูเจียเจีย เข้าใจหรือไม่”
เมื่อจะเดินออกมาข้างนอกเจินไป๋เจียก็สั่งบ่าวให้เรียกนางใหม่
“เจ้าค่ะคุณหนูเจียเจีย”
สามสาวดุรณีแรกแย้มอายุเพียง 16-17 เท่านั้น เมื่อปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าไร้เครื่องประดับหรูหรา
เจินไป๋เจียก็สดใสไร้เดียงสา งดงามสมวัย
“คุณหนูไม่ว่าจะแต่งกายเช่นไรก็งดงาม”
ในสายตาแม่นมมู่ เจินไป๋เจียย่อมดีที่สุด นางจึงไม่เชื่อคำอีกฝ่ายเท่าไรนัก รถม้าที่ได้รับการออกแบบจากช่างเหล็กระดับปรมาจารย์จากตระกูลกัวที่แลกกับโอสถต่ออายุขัย ขับเคลื่อนด้วยพลังหินอัคคีของตระกูลหวง กำลังจอดรอรับเจินไป๋เจีย
นางมองดูนวัตกรรมในดินแดนแห่งนี้ด้วยสายตาชื่นชม รถม้าคันนี้คงเทียบกับรถเฟอรารี่ราคาหลักร้อยล้านกระมัง
“เราเดินไปดีกว่า หากขึ้นรถคันนี้ไปย่อมไม่เกิดผลในสิ่งที่ต้องการ”
เอ่ยเสร็จไป๋เจียเจียก็เดินออกมาบรรยากาศข้างนอกล้วนทำให้นางสดชื่นขึ้น
ดินแดนเทพประกาย
หรือแคว้นที่นางกำลังอยู่เต็มไปด้วยความหลากหลายที่แตกต่างจากโลกที่นางจากมาเพราะเจินไป๋เจียเติบโตในวังหลวงชีวิตนอกวังนางล้วนไม่คุ้นเคย
ในเมื่อได้ออกมาแล้วก็ใช้ชีวิตเสพสุขเสียดีกว่า นางวิ่งไปดูสิ่งต่าง ๆ ด้วยสายตาตื่นเต้น รอยยิ้มของนางงดงามดุจตะวันเจิดจ้า
ดึงดูดสายตาผู้คน ไม่นานหญิงสาวก็กลายเป็นจุดสนใจทันที
“คุณหนูพักก่อนดีไหมเจ้าคะ ข้างหน้าเป็นหอชิงหยวนมีอาหาร ขนมหลากหลาย”
“ดีจริง ไปกัน” เจินไป๋เจียช้อนดวงตาเป็นประกายสุกใสอย่างยินดี นางรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงหอชิงหยวน
ชิงอีอยากให้เจินไป๋เจียเข้าไปหลบหลบสายตาผู้คน เมื่อไปถึงก็แสดงป้ายประจำตัว
พวกนางจึงได้ห้องพิเศษทันที
“ท่านชาย นั่นคือ เจินไป๋เจียน้องสาวของท่านขอรับ”
องค์รักษ์กล่าวแนะนำตามหลัง ร่างของหญิงสาวทั้งสาม
“จำได้ว่าองค์หญิงได้รับสมรสพระราชทานแต่งให้กับหวงซีซวน ทำไมตอนนี้แต่งกายเป็นเด็กสาววัยปักปิ่นออกมาวิ่งเล่นได้”
น้ำเสียงแม้จะกล่าวอย่างเนิบ ๆ ทว่าก็ยังเปี่ยมด้วยอำนาจน่าเกรงขาม
“ได้ยินว่า อนุของหวงซีซวนมีมากมายยิ่งกว่าหญิงสาวในหอนางโลม และยังมีฮูหยินรองที่เพิ่งตบแต่งเข้าไป คาดว่าฐานะนางในจวนคงลำบากไม่น้อย”
องค์รักษ์พยายามอธิบายอย่างรวบรัด
“แม้ไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน ทว่าก็เป็นน้องสาวร่วมอุทร ส่งคนคอยประกบดูแลนางด้วย”
องค์รักษ์รับคำและถอยออกมาให้เจ้านายพักผ่อนเพียงลำพัง
กัวเลี่ยงโยวหรือว่าที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ ใบหน้าหล่อเหลาดั่งบุรุษชั้นสูง ลมปราณสายไฟระดับขั้นไม่มีใครทราบได้
ดวงตาสีดำเข้มราวหลุมลึกไร้ที่สิ้นสุดเปล่งประกายวาววับ มีเปลวไฟอยู่สองดวงพร้อมมอดไหม้สรรพสิ่งตลอดเวลา
ในขณะเดียวกัน หวงซีซวนก็ได้รับรายงานเช่นกัน
“นางอยากทำก็ปล่อยนางทำไป ต่อไปไม่ต้องรายงาน”
เฮอะ!! ไปเป็นเด็กฝึกร้านโอสถ
เจินไป๋เจียก็ยังเป็นเจินไป๋เจีย ไร้สาระเช่นไรก็ยังเป็นเช่นนั้น
เขาต้องมานั่งฟังรายงานบ้า ๆ แบบนี้ไปทำไมกัน
ตกบ่าย เจินไป๋เจียก็มาถึงร้านโอสถ วันนี้มีคุณหนู คุณชายจากต่างเมืองเข้ามาสมัครเป็นเด็กฝึกงานเช่นกัน แม่นางน้อยวัยแรกแย้มคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเจินไป๋เจียอย่างยินดี ในขณะที่กำลังจะเข้าไปใกล้ชิงอิงก็ออกไปยืนขวางทาง
“ชิงอิง” เจินไป๋เจียเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เอ่อ … ข้าเองที่พรวดพราดเข้ามา..ข้าอี้หราน เจ้าล่ะ”
“ข้าไป๋เจียเจีย ยินดีที่รู้จักนะ”
พวกนางล้วนทักทายอย่างคนกันเอง
ในขณะนั้นก็หญิงสาวคนหนึ่งมองเหล่าคุณหนูด้วยสายตาหวาดระแวง
วันนี้มีคุณหนูมาสมัครมากมายขนาดนี้นางคงไม่ได้รับเลือก
เจินไป๋เจียมองดูใบหน้าที่ฉายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน หากวัดความสามารถกันเด็กที่มาจากครอบครัวธรรมดาย่อมไม่ได้รับคัดเลือกแน่นอน เพราะคุณหนูหรือคุณชายล้วนได้รับการอบรมและมีความพร้อมในการเตรียมตัวมากกว่า
เจินไป๋เจียสายศีรษะเบา ๆ
ไม่ว่าจะที่ใดความเลื่อมล้ำเช่นนี้ก็ย่อมมีให้เห็น
ทว่าการคัดเลือกที่ดีย่อมให้โอกาสทุกคน
ไม่นานผู้รับสมัครก็ออกมาประกาศกติกา
“ในกระดาษต่อไปนี้ จะเป็นชื่อสมุนไพรทั้งหมด 1000 ชนิด ข้าให้พวกเจ้าท่องจำ 1 ชั่วยามจากนั้นจะสอบเป็นรายบุคคล”
พวกเขาแจกแผ่นไม้ให้ทุกคน เจินไป๋เจียนำมาเปิดอ่านดู ไม่น่าเชื่อนางรู้จักสมุนไพรทุกตัวดีอยู่แล้ว
แบบนี้ถือว่านางโกงรึเปล่านะ
เมื่อถึงคิวของเจินไป๋เจีย นางถูกให้จัดให้ไปยืนอยู่หน้าแผ่นหินขาวขนาดใหญ่ และมีคนสอบสัมภาษณ์นางเพียง 1 คนเท่านั้น
ไม่นานหินขาวก็สว่างวาบขึ้น กลายเป็นภาพสมุนไพรชนิดต่าง ๆ แทน
“ตอบสิ” เสียงแม่นางน้อยที่กำลังจะจดคะแนนมองดูเจินไป๋เจีย ด้วยสายตาดูแคลนคงไม่เคยเจอจอหินกระมัง
ความจริงไม่เคยเจอก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะจอนี้ ปรมาจารย์ได้มาเพราะแลกกับยาโอสถเพิ่มพลังลมปราณกับช่างเหล็กคนหนึ่ง
เมื่อได้สติ เจินไป๋เจียก็รีบตอบชื่อสมุนไพรทันที ภาพในจอหินขาวก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
“ดีมาก เจ้าคิดว่าจะทำงานที่นี่นานแค่ไหน” บุรุษที่ได้รับหน้าที่มาคัดเลือกเด็กฝึกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นเขาเบื่อพวกลูกหนูพวกนี้เต็มทน หากเป็นเหล่าคุณชายยังพอพูดคุยได้อยู่บ้าง
“ข้าตั้งใจจะพัฒนาตนเองจนเป็นเซียนโอสถเจ้าค่ะ”
พูดเสร็จก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขำของเด็กสาวคนนั้น ตลกจริง ๆ
“อย่างน้อยเจ้าก็เป็นเด็กกล้าคนหนึ่ง เอาเถอะพรุ่งนี้ก็มารายงานตัวตั้งแต่เช้า” บุรุษกล่าวแบบผ่าน ๆ
เจินไป๋เจียเดินยิ้มออกมาอย่างยินดี นางเดินออกไปเดินเล่นสักพักก่อนจะกลับเข้าไปพักที่หอชิงหยวน เมื่อมองเห็นเด็กสาวคนเดิมที่ไปสมัครเป็นเด็กฝึกด้วยกันเดินยิ้มด้วยสีหน้ายินดี คงสอบผ่านด้วยกระมังเจินไป๋เจียจึงเดินเข้าไปทักทาย
“ข้าไป๋เจียเจีย เจ้าจำข้าได้ไหมเราเคยเจอกันที่ร้านโอสถ”
“จำได้ เจ้างดงามข้าจำเจ้าได้” เด็กสาวหน้าตาหมดจด ทว่าก็ดูออกว่ามาจากครอบครัวธรรมดา นางจึงเอ่ยบอกชื่อตัวเองอย่างแผ่วเบาไม่ค่อยจะมั่นใจ
“ข้าหลิงอีอี”
“พรุ่งนี้เราเจอกันที่ร้านโอสถนะ”
เจินไป๋เจียเป็นคนชวนคุยไม่เก่ง หลังทักทายนางก็บอกลาทันที
หลิงอีอีมองดูตามหญิงสาวผู้งดงามสดใส นัยน์ตาที่ทอประกายวาววับราวกับไข่มุกที่จ้องมองมาทำให้นางรู้สึกพร่ามัวจนเกือบลืมหายใจ
ตอนที่ 7 ประลองเรื่องหย่าไม่ใช่เจินไป๋เจียไม่ใส่ใจ ทว่าสิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือนางต้องฝึกปรือวิชา การเป็นผู้มีฝีมือวาจาถึงจะมีสิทธิ์ต่อรอง หากใช้ตระกูลอันหรือราชอำนาจจากไทเฮายิ่งทำให้คนอื่นดูแคลน และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งไม่อาจจะทำอะไรได้ดั่งใจ“พรุ่งนี้แล้ว มันจะต้องสำเร็จข้าจะต้องทำให้ได้” เจินไป๋เจียบอกให้กำลังใจตนเองนางแล้วรีบพักผ่อน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอกับอะไรบ้างนางต้องเก็บแรงไว้ให้มากตะวันยังไม่ทอแสงนภายังคงมืด ทว่าชิงอีก็เข้ามาปลุกหญิงสาวแล้ว“คุณหนูได้เวลาได้ ท่านต้องรีบไปลงทะเบียนและจับสลากอันดับนะเจ้าคะ"เจินไป๋เจียยังพลิกตัวไปมางัวเงีย เมื่อคืนเพราะตื่นเต้นมากเกินไปทำให้นางนอนไม่หลับ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะสดชื่นกว่านี้ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ สุดท้ายจึงได้หยิบอุปกรณ์ออกมาเพื่อกระตุ้นร่างกาย“คุณหนูนี่คือชาชนิดใดกันเจ้าคะ" ชิงอีถามเจินไป๋เจียด้วยความสงสัย“สิ่งนี้เรียกว่ากาแฟ ขั้นตอนเหล่านี้คือวิธีการดริป รอว่าง ๆ ข้าจะสอนพวกเจ้าเอง” เจินไป๋เจียยืดอกตอบด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ ด้วยพลังปราณธาตุดินขอแค่นางระลึกถึงก็สามารถปลูกทุกสิ่งอย่างได้โดยไม่จำเป็นต้องม
ตอนที่ 6 หนทางเป็นเด็กฝึกไม่สนุกอย่างที่คิด เจินไป๋เจียตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้หยุดฟัง แม้จะมีชิงอิงและชิงอี คอยช่วยทว่านางก็ยังยืนและคอยพวกนาง คนที่นอนและกินมาตลอดชีวิต สภาพร่างกายจะรับได้อย่างไรเมื่อพักเที่ยงนางก็แทบจะถอดใจล้มเลิกความตั้งใจหากไม่ใช่ นางชำเลืองเห็นคนรับสมัครเมื่อวานหรี่ตามองเหยียดปากดูแคลนส่งมาให้นางอย่างไม่ปกปิดนางคงกลับจวนไปแล้ว“คุณหนู แม่นมสั่งให้พวกข้าดูท่านให้ดี ท่านนั่งพักเถอะเจ้าค่ะ พวกข้าจะจัดการเก็บสมุนไพรพวกนี้เอง”หน้าที่ในวันนี้คือเด็กฝึกต้องเรียนรู้ตั้งแต่ปลูกและเก็บสมุนไพร เมื่อนึกถึงสมุดไม้ไผ่เมื่อวาน สมุนไพรที่มีกว่าพันชนิด เจินไป๋เจียก็คำนวนระยะเวลาในการฝึกเช่นนี้ทันที ปีที่ 1 เรียนรู้สมุนไพรปีที่ 2 เริ่มศึกษาการปรุงยาปีที่ 3 หัดปรุงยาร่วมกับพี่ชั้นปีที่ 4 และปีที่ 4 ปรุงยาด้วยตนเองจบการศึกษา เป็นผู้ปรุงโอสถเริ่มต้น ทว่าการเรียนรู้ย่อมไม่มีทางลัดนอกจากการฝึกฝนตัวเอง เหล่าคุณหนูและคุณชายล้วนมาฝึกตนเองตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่อย่างช้าอายุ 15 ปีก็จบการศึกษา อย่างเด็กสาวที่เป็นผู้ช่วยคัดเลือกเมื่อวานก็มีคาด
ตอนที่ 5 เด็กฝึกเจินไป๋เจีย ไม่ได้สนใจว่าใครจะประมวลหรือคิดอะไร นางนั่งเปลขาพาดยกสูง ไร้มารยาทเฉกสตรีทั่วไป ในเมื่อไม่ให้หย่า แต่นางคงออกไปไหนมาไหนได้กระมัง“แม่นมมู่ ข้าจะไปเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านโอสถ ท่านช่วยจัดการให้ด้วย”ไทเฮาเป็นบุตรสาวจากตระกูลอัน หนึ่งในสี่ตระกูลที่มีผู้นำตระกูลเป็นถึงปรมาจารย์โอสถการที่เจินไป๋เจียอยากจะไปเป็นเด็กฝึกย่อมไม่ใช่เรื่องยาก “ฮูหยินท่าน…เอ่อ..เจ้าค่ะ”เป็นเด็กฝึกก็ต้องคอยรับใช้และฟังคำสั่งผู้อื่น เจินไป๋เจียไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แม่นมมู่แค่คิดว่าองค์หญิงของนางต้องไปเป็นข้ารับใช้ผู้อื่นก็ปวดใจทันที“ชิงอี ชิงอิง เจ้า 2 คนต้องคอยดูแลไม่ให้ใครมารังแกคุณหนูเด็ดขาดรู้ไหม” แม่นมมู่สั่งกำชับองค์รักษ์ข้างกายของเจินไป๋เจียด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ “ชิงอี ชิงอิง เจ้าทั้งสองต่อไปเรียกข้าว่าคุณหนูเจียเจีย เข้าใจหรือไม่”เมื่อจะเดินออกมาข้างนอกเจินไป๋เจียก็สั่งบ่าวให้เรียกนางใหม่“เจ้าค่ะคุณหนูเจียเจีย” สามสาวดุรณีแรกแย้มอายุเพียง 16-17 เท่านั้น เมื่อปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าไร้เครื่องประดับหรูหรา เจินไป๋เจีย
ตอนที่ 4 จะหย่าไม่ว่าจะยุคไหน สุดท้ายทุกคนก็ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ต้องเป็นคนมีความสามารถเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ ก่อนหน้าเพราะมีพระมารดา มีพระเชษฐา ที่คอยคุ้มครองปกป้อง พอเกิดเรื่องเช่นนี้แม้ว่าอย่างไรฐานะนางไม่เปลี่ยนแปลงแต่จะให้เป็นเช่นเคยคงเป็นไปไม่ได้นางเป็นคนในราชวงศ์ เชื้อสายของผู้นำดินแดนย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั้งรูปโฉมและสายพลัง ตั้งแต่เกิดนางได้รับความรักมากมาย ทำให้กลายเป็นคนขี้โมโห อารมณ์ร้าย เอาแต่ใจเย่อหยิงไร้ความเมตตา ทำให้ทรัพย์ในกายล้วนไร้ค่า “แม่นมมู่ ตอนนี้พวกเรามีคนอยู่จำนวนเท่าไร”นางเป็นองค์หญิงอย่างน้อยก็ควรมีองค์รักษ์ส่วนตัวสิ“องค์รักษ์เงาจำนวนหนึ่งเจ้าค่ะ ส่วนบ่าวไพร่ที่ติดตามมาจากในวังก็ 20 คน” แม่นมเอ่ยพลางแปรงผมให้เจินไป๋เจียอย่างเบามือ และมองดูผมยาวสลวยเป็นเงางามนุ่มลื่นดั่งผ้าไหมล้ำค่าอย่างภาคภูมิใจ องค์หญิงของนางล้วนงดงามไร้ที่ติ ในขณะที่เจินไป๋เจียคิดถึงแต่เรื่องเงินทอง นางไม่เคยส่องกระจกเหลืองที่ไม่ชัดเจนอันนั้นจึงไม่รู้ถึงความงามของตนเอง มากมายจริง ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งกลับมีคนต้องดูแลมากมายเพียงนี้ หากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แ
ตอนที่ 3 เข้าวังไม่ได้สิ่งดีที่กลายเป็นโชคดีสำหรับนางตอนนี้คือ ไม่มีใครมาเยี่ยมนางสักคน นอกจากคนจากในวังก็ไม่มีใครถามข่าวคราวนางอีกเลยเมื่ออาการดีขึ้น พอมีเรี่ยวแรงสิ่งแรกที่เจินไป๋เจีย ตัดสินใจและต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ นางต้องหย่า ต้องหย่าเท่านั้น!! เป็นนางที่ขอสมรสพระราชทาน และจะเป็นนางที่ขอหย่านางต้องเข้าวังทว่าหลังจากนอนพักมาหลายวัน สิ่งที่เกิดคำถามในใจ คนในจวนแม่ทัพทำกับนางถึงเพียงนี้แต่ทำไม ฮ่องเต้หรือไทเฮาไม่มีกระแสตำหนิลงมาสักคำ มันเป็นความไม่ปกติเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเป็นเพราะพวกเขาเคยชิน“แม่นมข้าจะเข้าวัง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ แม้กระทั่งตัวเองก็แปลกใจ“ฮูหยินท่านเพิ่งจะหายป่วย บ่าวว่าท่านพักผ่อนอีกระยะดีไหมเจ้าคะ” คำพูดของแม่นมทำให้เจินไป๋เจียขมวดคิ้วชำเลืองมองตาขวางแม่นมมู่หรานรีบคุกเข่าแล้วเอ่ยเสียงสั่น แม้จะหวาดหวั่นแต่ก็ยังเอ่ยห้ามเช่นเดิม“ฮูหยินท่านเชื่อบ่าวเถิดเจ้าค่ะ บ่าวขอร้องท่านอย่าเพิ่งเข้าวังเลย”นั่นปะไร เป็นอย่างที่นางคิดไม่ผิดทุกอย่างล้วนไม่ปกติในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ เมื่ออาการดีขึ้นมากเจินไป๋เจียก็ออกมานั่งรับลมอยู่
ตอนที่ 2 ไม่ตายก็ดี เรือนเหม่ยฮว่าเสียงหายใจกระชั้นยังดังแว่วมาจากห้องข้างใน ทำให้บ่าวที่อยู่ข้างนอกไม่กล้ารบกวน“พวกเจ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไร ตอนนี้ใช่เวลาจะขอเข้าพบนายท่านหรืออย่างไร”“แต่ว่าฮูหยิน ฮูหยินอาการหนักมาก” เสียงตอบกระซิบแผ่วเบาพวกนางคุกเข่าอยู่เป็นเวลาหลายเค่อ ทว่าเสียงรัณจวนก็ยังไม่แผ่วลงทำให้คนข้างนอกล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ทั้งร้อนใจและอับอาย หากฮูหยินสิ้นตอนนี้ไม่รู้ว่าชื่อเสียงจะย่อยยับเพียงใดสงครามข้างในสงบลงแล้ว ฮูหยินรองอันชิงอีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงออเซาะ“ท่านพี่ ข้าจะปรนนิบัติท่านอาบน้ำเองนะเจ้าคะ” “เจ้าไม่แสร้งเป็นคนดี ขอร้องให้ข้าไปดูนางหน่อยหรือ” แม่ทัพหวงซีซวนเอ่ยถามน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยัน“ไยข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยเจ้าคะ หากท่านต้องการจะไปท่านพี่ย่อมตัดสินใจเอง” ฮูหยินรองพูดพร้อมชายตาแลยั่วยวน แม่ทัพหวงซีซวนเก่งกาจสามารถ มารยาเล็กน้อยเขาย่อมมองออก นางไม่สนใจชิงดีชิงเด่นหรือเอาอกเอาใจใคร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือปรนนิบัติท่านแม่ทัพให้ดีเท่านั้น และนี่ทำให้นางได้ตำแหน่งฮูหยินรองมาครอบครอง“เจ้าเข้าใจเช่นนี้ดียิ่ง บุตรของข้