เป็นเด็กฝึกไม่สนุกอย่างที่คิด
เจินไป๋เจียตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้หยุดฟัง แม้จะมีชิงอิงและชิงอี คอยช่วยทว่านางก็ยังยืนและคอยพวกนาง คนที่นอนและกินมาตลอดชีวิต สภาพร่างกายจะรับได้อย่างไรเมื่อพักเที่ยงนางก็แทบจะถอดใจล้มเลิกความตั้งใจ
หากไม่ใช่ นางชำเลืองเห็นคนรับสมัครเมื่อวานหรี่ตามองเหยียดปากดูแคลนส่งมาให้นางอย่างไม่ปกปิดนางคงกลับจวนไปแล้ว
“คุณหนู แม่นมสั่งให้พวกข้าดูท่านให้ดี ท่านนั่งพักเถอะเจ้าค่ะ พวกข้าจะจัดการเก็บสมุนไพรพวกนี้เอง”
หน้าที่ในวันนี้คือเด็กฝึกต้องเรียนรู้ตั้งแต่ปลูกและเก็บสมุนไพร เมื่อนึกถึงสมุดไม้ไผ่เมื่อวาน
สมุนไพรที่มีกว่าพันชนิด เจินไป๋เจียก็คำนวนระยะเวลาในการฝึกเช่นนี้ทันที
ปีที่ 1 เรียนรู้สมุนไพร
ปีที่ 2 เริ่มศึกษาการปรุงยา
ปีที่ 3 หัดปรุงยาร่วมกับพี่ชั้นปีที่ 4
และปีที่ 4 ปรุงยาด้วยตนเองจบการศึกษา เป็นผู้ปรุงโอสถเริ่มต้น
ทว่าการเรียนรู้ย่อมไม่มีทางลัดนอกจากการฝึกฝนตัวเอง เหล่าคุณหนูและคุณชายล้วนมาฝึกตนเองตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่อย่างช้าอายุ 15 ปีก็จบการศึกษา
อย่างเด็กสาวที่เป็นผู้ช่วยคัดเลือกเมื่อวานก็มีคาดว่ามีอายุเพียง 13 ปี
เจินไป๋เจียกลับไปหอชิงหยวนด้วยร่างกายที่อ่อนเพลียสุด ๆ ยังไม่ทันได้คิดไตร่ตรองก็คล้อยหลับไป
ชิงอีปรนนิบัติเจินไป๋เจียอาบน้ำ เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาก็ชำเลืองมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน
“คุณหนู…”
นางถอดหายใจเบา ๆ แม้นิสัยคุณหนูจะเปลี่ยนไปบ้างอ่อนโยนลงแต่ความดื้อรั้นยังคงมีมากเช่นเคย
อยากจะห้ามปรามทว่าเมื่อเห็นความตั้งใจ ในฐานะบ่าวที่อยู่ข้างกายมาตัั้งแต่เด็กก็อยากสนับสนุนเต็มที่
“ชิงอิง เจ้าลองไปปรึกษาแม่นมมู่ มีทางใดที่จะทำให้คุณหนูจบหลักสูตรนี้ในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่”
หรืออีกนัยก็็คือให้คุณหนูล้มเลิกเช่นกัน
“ได้”
รุ่งเช้าหน้าร้านโอสถ
เด็กฝึกทั้งระดับชั้นปี 1 2 3 ต่างก็ยืนมุ่งดูประกาศหน้า
“ประลองฝีมือ เปลี่ยนระดับชั้นปี”
การประลองฝีมือไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ทว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่มีผู้สามารถประลองเพื่อข้ามชั้นปีได้ จึงได้ปรับเปลี่ยนเป็นประลองในชั้นปีเท่านั้น
“แสดงว่าหากข้าสามารถชนะพี่ชั้นปี 3 ได้ข้าก็จะได้ไปอยู่ชั้นปี 3 ใช่หรือไม่”
เจินไป๋เจียพูดด้วยความดีใจ เมื่อวานนางยังถอดใจนางมั่นใจว่าตัวเองสามารถปรุงโอสถได้ หากนางบอกฐานะตนเองอย่างไรนางก็สามารถไปอยู่ในตำแหน่งอื่นได้
ทว่าแบบนั้นก็จะกลายเป็นการล้มความตั้งใจแรกของตนเองมาอย่างมาดมั่นจะล้มในวันแรกได้อย่างไร แต่เมื่อมีการประลองนางก็สามารถทำตามความตั้งใจเดิมได้
“ใช่ค่ะ คุณหนู ข้ามั่นใจว่าท่านต้องทำได้”
ชิงอีพูดในกำลังใจและปรายส่งสายตาให้ชิงอิง
“ข้าจะเตรียมอาจารย์เพื่อสอนท่านเองเจ้าค่ะ” ชิงอิงพูดขึ้น
“ไม่ต้อง…พวกเจ้าเตรียมอุปกรณ์และสมุนไพรก็พอ ข้าจะฝึกฝนด้วยตนเอง”
อีก 1 เดือนให้หลังจะถึงวันประลอง
เจินไป๋เจียจึงใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทตั้งใจฝึกซ้อม และนางให้ยังให้ชิงอีแอบไปหาบทเรียนที่พี่ปี 4 เรียนไปแล้วมาดูว่ามีตรงไหนที่ตนเองทำไม่ได้หรือไม่
ในขณะที่ ฮ่องเต้องค์ใหม่กำลังขึ้นครองราชย์ แม้ในเมืองหลวงจะวุ่นวาย เหล่าขุนนางก็วุ่นวาย ราชสำนักวุ่นวาย ทว่าก็ไม่ส่งผลต่อหอโอสถ ทำให้เจินไป๋เจียไม่รู้เรื่องราวอะไรแม้แต่น้อย
จวบจนถึงวันหนึ่ง
“เจ้าบอกว่าพี่ชายออกมาพักที่นอกวังหรือ”
หลังจากทุกอย่างสงบลง ชิงอิงก็รายงานให้นางทราบ
“แล้วฐานะของพี่ชายตอนนี้”
เจินจิงจวิน พี่ชายของนางหากต้องกลับเข้าตระกูลต้องเปลี่ยนแซ่จากราชวงค์ไปยังตระกูลใหญ่
พี่ชายที่มีพลังลมปราณธาตุไฟ อย่างไรย่อมได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นแน่นอน
“ท่านชายจิงจวิน ไม่รับตำแหน่งอ๋องและฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลกัว พระองค์..เอ่อ..ท่านขอเป็นต้นตระกูลจิ้งสร้างวงค์ตระกูลขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทุกอย่างจบลงอย่างสงบเหล่าขุนนางจึงได้ยินยอมและตกลง"
เจินไป๋เจียร้อง ฮึ!! ในลำคอ จบอย่างสงบอันใด
เพราะคนเสียผลประโยชน์มีเพียงตระกูลกัวต่างหาก
“ข้าจะไปหาพี่ชาย”
ไม่นานนางก็มายืนอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งทางทิศใต้ของเมืองหลวงพื้นที่ที่กันดารที่สุด
ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร ตื้นตันสงสาร เจินไป๋เจียรู้สึกแสบที่คอแทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา นางยืนสงบสติอยู่สักพักก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
องค์รักษ์ไม่ได้เข้าไปขวางเจินไป๋เจียเพราะรู้ฐานะของนาง
บ้านหลังเล็ก ๆ เพียงเปิดประตูเข้ามาก็มองเห็นบุรุษทันที แม้จะสวมอาภรณ์ธรรมดา แม้จะอยู่ในซ่อมซอ ไม่งดงาดวิจิตรตระการตาอย่างวังหลวง
ทว่าจิงจวินผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูในฐานะองค์รัชทายาทตั้งแต่เกิด รอบกายก็ยังแผ่บารมีทรงอำนาจ อากัปกิริยาเต็มไปด้วยความสง่างดงามสูงส่ง
นางรีบเร่งฝีเท้าตั้งใจเข้าไปสวมกอดด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง ไม่ทันได้ถึงตัว
จิงจวินก็เอาแขนขึ้นมาขวาง เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงละมุ่น
“ข้ากับเจ้าไม่ใช่พี่ชายและน้องสาวกัน ระวังกิริยาด้วย” แววตายังเต็มไปด้วยความจริงใจไม่ได้เอ่ยประชด
“ภายในใจของข้า ท่านเป็นพี่ชายของข้าตลอดกาลข้าไม่เคยลืมว่าท่านรักและดีกับข้าเพียงใด พี่ชายท่านอย่างเย็นชาและกีดกันข้าเด็ดขาด”
เจินไป๋เจียเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแง่งอน
“ข้าไม่ได้กีดกัน ทว่าหญิงสาวย่อมไม่ควรชิดใกล้”
จิงจวินยังเอ่ยบอกอย่างใจเย็นน้องสาวผู้นี้ชอบโวยวายเป็นที่สุด
“เช่นนั้น ข้าสามารถมาหาท่านได้ตลอดใช่หรือไม่” เจินไป๋เจียได้จังหวะรีบเอ่ย
“ทำไมเจ้า แต่งกายเช่นนี้” จิงจวินมองดูน้องสาวด้วยความเป็นห่วง แม้จะแต่งกายธรรมดาจะไม่สามารถบดบังรัศมีขององค์หญิงได้ ทว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องทำหากไม่ใช่ว่านางหย่าแล้ว
“ข้าแค่หนีออกมา แม่ทัพหวนนั้นไม่ยอมให้ข้าหย่า ทั้งที่ไม่ได้สนใจข้า ข้าไม่เข้าใจเขาเลยจริง ๆ”
หากเป็นเมื่อก่อนเรื่องนี้ จิงจวินย่อมสามารถเข้าไปช่วยน้องสาวได้ พอนึกถึงสถานะของตัวเองก็ทำให้ใบหน้าสลดขึ้นมา เจินไป๋เจียเริ่มรู้สึกตัวจึงเอ่ยขึ้น
“ท่านไม่ต้องห่วงข้าพี่ชายข้าโตแล้วช่วยตัวเองได้แล้ว หากท่านไม่เชื่อข้าจะแสดงบางอย่างให้ท่านดู”
เจินไป๋เจียตั้งใจเก็บความลับเรื่องที่นางครองลมปราณดินและน้ำ จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมจึงจะเปิดเผย แต่ทว่าตอนนี้นางอยากให้พี่ชายวางใจ นางจำเป็นต้องเอ่ยบอก
นางค่อย ๆ รวบรวมลมปราณ ตวัดมือเบา ๆ ก็ปรากฏมวลน้ำก็เริ่มก่อตัวขึ้นในฝ่ามือ
“เจ้ามีพลังลมปราณหรือทำไมเจ้าถึงได้ปกปิด" จิงจวินเอ่ยถามคิ้วขมวด หากน้องสาวต้องการอำนาจและความเคารพในจวนแม่ทัพย่อมเปิดเผยตนเอง
“ข้าก็เพิ่งรู้ตัวและตอนนี้ก็อยากหย่าให้เรียบร้อยเสียก่อน ท่านช่วยข้าเก็บเป็นความลับด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้หากเจ้าตัดสินใจดีแล้ว เรื่องหย่าเจ้าสามารถให้ท่านแม่ …เอ่อไทเฮาช่วยได้”
“ข้ายังไม่อยากรบกวนพระมารดา อาจจะทำให้พระองค์กังวลพระทัย”
จิงจวินพยักหน้าเห็นด้วย
“ท่านพี่ท่านกับข้าล้วนเป็นผู้มีพลังลมปราณ ท่านพี่ไม่ต้องไปสนใจตำแหน่งฮ่องเต้นั้น เมื่อไรที่ข้าเป็นเซียนโอสถข้าจะทำให้เป็นเซียนเช่นกัน คราวนี้แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ต้องก้มหัวให้พวกเรา”
เจินไป๋เจียพูดด้วยน้ำเสียงดุดันทรงอำนาจอย่างราชนิกูล แววตาฉายความตั้งใจเปี่ยมล้น ทำให้แววตาของจิงจวินยิ่งอ่อนโยนเมื่อนางมั่นใจเพียงนี้เขาก็ย่อมต้องเชื่อใจ ตอบตกลง
“ได้ พี่เชื่อเจ้า”
ไม่รู้ว่าเจินไป๋เจียเอาความมุ่งมั่นและมั่นใจมากจากไหน ทว่าก็ทำให้จิงจวินรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ เขาไม่รู้สึกเดียวดาย สิ่งเดียวที่เขากังวลตอนนี้ หากน้องสาวยังไม่หย่า ชื่อแซ่อย่างไรก็ยังผูกติดกับตระกูลหวนในทะเบียน
จะกระทำสิ่งใดล้วนลำบาก เจียเจียคงเจ็บซ้ำมากจนกระทั่งตัดสินใจแบบนี้กับหวงซีซวนในฐานะสหายเขาคงต้องกระทำอะไรสักอย่าง
ตอนที่ 7 ประลองเรื่องหย่าไม่ใช่เจินไป๋เจียไม่ใส่ใจ ทว่าสิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือนางต้องฝึกปรือวิชา การเป็นผู้มีฝีมือวาจาถึงจะมีสิทธิ์ต่อรอง หากใช้ตระกูลอันหรือราชอำนาจจากไทเฮายิ่งทำให้คนอื่นดูแคลน และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งไม่อาจจะทำอะไรได้ดั่งใจ“พรุ่งนี้แล้ว มันจะต้องสำเร็จข้าจะต้องทำให้ได้” เจินไป๋เจียบอกให้กำลังใจตนเองนางแล้วรีบพักผ่อน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอกับอะไรบ้างนางต้องเก็บแรงไว้ให้มากตะวันยังไม่ทอแสงนภายังคงมืด ทว่าชิงอีก็เข้ามาปลุกหญิงสาวแล้ว“คุณหนูได้เวลาได้ ท่านต้องรีบไปลงทะเบียนและจับสลากอันดับนะเจ้าคะ"เจินไป๋เจียยังพลิกตัวไปมางัวเงีย เมื่อคืนเพราะตื่นเต้นมากเกินไปทำให้นางนอนไม่หลับ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะสดชื่นกว่านี้ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ สุดท้ายจึงได้หยิบอุปกรณ์ออกมาเพื่อกระตุ้นร่างกาย“คุณหนูนี่คือชาชนิดใดกันเจ้าคะ" ชิงอีถามเจินไป๋เจียด้วยความสงสัย“สิ่งนี้เรียกว่ากาแฟ ขั้นตอนเหล่านี้คือวิธีการดริป รอว่าง ๆ ข้าจะสอนพวกเจ้าเอง” เจินไป๋เจียยืดอกตอบด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ ด้วยพลังปราณธาตุดินขอแค่นางระลึกถึงก็สามารถปลูกทุกสิ่งอย่างได้โดยไม่จำเป็นต้องม
ตอนที่ 6 หนทางเป็นเด็กฝึกไม่สนุกอย่างที่คิด เจินไป๋เจียตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้หยุดฟัง แม้จะมีชิงอิงและชิงอี คอยช่วยทว่านางก็ยังยืนและคอยพวกนาง คนที่นอนและกินมาตลอดชีวิต สภาพร่างกายจะรับได้อย่างไรเมื่อพักเที่ยงนางก็แทบจะถอดใจล้มเลิกความตั้งใจหากไม่ใช่ นางชำเลืองเห็นคนรับสมัครเมื่อวานหรี่ตามองเหยียดปากดูแคลนส่งมาให้นางอย่างไม่ปกปิดนางคงกลับจวนไปแล้ว“คุณหนู แม่นมสั่งให้พวกข้าดูท่านให้ดี ท่านนั่งพักเถอะเจ้าค่ะ พวกข้าจะจัดการเก็บสมุนไพรพวกนี้เอง”หน้าที่ในวันนี้คือเด็กฝึกต้องเรียนรู้ตั้งแต่ปลูกและเก็บสมุนไพร เมื่อนึกถึงสมุดไม้ไผ่เมื่อวาน สมุนไพรที่มีกว่าพันชนิด เจินไป๋เจียก็คำนวนระยะเวลาในการฝึกเช่นนี้ทันที ปีที่ 1 เรียนรู้สมุนไพรปีที่ 2 เริ่มศึกษาการปรุงยาปีที่ 3 หัดปรุงยาร่วมกับพี่ชั้นปีที่ 4 และปีที่ 4 ปรุงยาด้วยตนเองจบการศึกษา เป็นผู้ปรุงโอสถเริ่มต้น ทว่าการเรียนรู้ย่อมไม่มีทางลัดนอกจากการฝึกฝนตัวเอง เหล่าคุณหนูและคุณชายล้วนมาฝึกตนเองตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่อย่างช้าอายุ 15 ปีก็จบการศึกษา อย่างเด็กสาวที่เป็นผู้ช่วยคัดเลือกเมื่อวานก็มีคาด
ตอนที่ 5 เด็กฝึกเจินไป๋เจีย ไม่ได้สนใจว่าใครจะประมวลหรือคิดอะไร นางนั่งเปลขาพาดยกสูง ไร้มารยาทเฉกสตรีทั่วไป ในเมื่อไม่ให้หย่า แต่นางคงออกไปไหนมาไหนได้กระมัง“แม่นมมู่ ข้าจะไปเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านโอสถ ท่านช่วยจัดการให้ด้วย”ไทเฮาเป็นบุตรสาวจากตระกูลอัน หนึ่งในสี่ตระกูลที่มีผู้นำตระกูลเป็นถึงปรมาจารย์โอสถการที่เจินไป๋เจียอยากจะไปเป็นเด็กฝึกย่อมไม่ใช่เรื่องยาก “ฮูหยินท่าน…เอ่อ..เจ้าค่ะ”เป็นเด็กฝึกก็ต้องคอยรับใช้และฟังคำสั่งผู้อื่น เจินไป๋เจียไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แม่นมมู่แค่คิดว่าองค์หญิงของนางต้องไปเป็นข้ารับใช้ผู้อื่นก็ปวดใจทันที“ชิงอี ชิงอิง เจ้า 2 คนต้องคอยดูแลไม่ให้ใครมารังแกคุณหนูเด็ดขาดรู้ไหม” แม่นมมู่สั่งกำชับองค์รักษ์ข้างกายของเจินไป๋เจียด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ “ชิงอี ชิงอิง เจ้าทั้งสองต่อไปเรียกข้าว่าคุณหนูเจียเจีย เข้าใจหรือไม่”เมื่อจะเดินออกมาข้างนอกเจินไป๋เจียก็สั่งบ่าวให้เรียกนางใหม่“เจ้าค่ะคุณหนูเจียเจีย” สามสาวดุรณีแรกแย้มอายุเพียง 16-17 เท่านั้น เมื่อปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าไร้เครื่องประดับหรูหรา เจินไป๋เจีย
ตอนที่ 4 จะหย่าไม่ว่าจะยุคไหน สุดท้ายทุกคนก็ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ต้องเป็นคนมีความสามารถเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ ก่อนหน้าเพราะมีพระมารดา มีพระเชษฐา ที่คอยคุ้มครองปกป้อง พอเกิดเรื่องเช่นนี้แม้ว่าอย่างไรฐานะนางไม่เปลี่ยนแปลงแต่จะให้เป็นเช่นเคยคงเป็นไปไม่ได้นางเป็นคนในราชวงศ์ เชื้อสายของผู้นำดินแดนย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั้งรูปโฉมและสายพลัง ตั้งแต่เกิดนางได้รับความรักมากมาย ทำให้กลายเป็นคนขี้โมโห อารมณ์ร้าย เอาแต่ใจเย่อหยิงไร้ความเมตตา ทำให้ทรัพย์ในกายล้วนไร้ค่า “แม่นมมู่ ตอนนี้พวกเรามีคนอยู่จำนวนเท่าไร”นางเป็นองค์หญิงอย่างน้อยก็ควรมีองค์รักษ์ส่วนตัวสิ“องค์รักษ์เงาจำนวนหนึ่งเจ้าค่ะ ส่วนบ่าวไพร่ที่ติดตามมาจากในวังก็ 20 คน” แม่นมเอ่ยพลางแปรงผมให้เจินไป๋เจียอย่างเบามือ และมองดูผมยาวสลวยเป็นเงางามนุ่มลื่นดั่งผ้าไหมล้ำค่าอย่างภาคภูมิใจ องค์หญิงของนางล้วนงดงามไร้ที่ติ ในขณะที่เจินไป๋เจียคิดถึงแต่เรื่องเงินทอง นางไม่เคยส่องกระจกเหลืองที่ไม่ชัดเจนอันนั้นจึงไม่รู้ถึงความงามของตนเอง มากมายจริง ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งกลับมีคนต้องดูแลมากมายเพียงนี้ หากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แ
ตอนที่ 3 เข้าวังไม่ได้สิ่งดีที่กลายเป็นโชคดีสำหรับนางตอนนี้คือ ไม่มีใครมาเยี่ยมนางสักคน นอกจากคนจากในวังก็ไม่มีใครถามข่าวคราวนางอีกเลยเมื่ออาการดีขึ้น พอมีเรี่ยวแรงสิ่งแรกที่เจินไป๋เจีย ตัดสินใจและต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ นางต้องหย่า ต้องหย่าเท่านั้น!! เป็นนางที่ขอสมรสพระราชทาน และจะเป็นนางที่ขอหย่านางต้องเข้าวังทว่าหลังจากนอนพักมาหลายวัน สิ่งที่เกิดคำถามในใจ คนในจวนแม่ทัพทำกับนางถึงเพียงนี้แต่ทำไม ฮ่องเต้หรือไทเฮาไม่มีกระแสตำหนิลงมาสักคำ มันเป็นความไม่ปกติเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเป็นเพราะพวกเขาเคยชิน“แม่นมข้าจะเข้าวัง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ แม้กระทั่งตัวเองก็แปลกใจ“ฮูหยินท่านเพิ่งจะหายป่วย บ่าวว่าท่านพักผ่อนอีกระยะดีไหมเจ้าคะ” คำพูดของแม่นมทำให้เจินไป๋เจียขมวดคิ้วชำเลืองมองตาขวางแม่นมมู่หรานรีบคุกเข่าแล้วเอ่ยเสียงสั่น แม้จะหวาดหวั่นแต่ก็ยังเอ่ยห้ามเช่นเดิม“ฮูหยินท่านเชื่อบ่าวเถิดเจ้าค่ะ บ่าวขอร้องท่านอย่าเพิ่งเข้าวังเลย”นั่นปะไร เป็นอย่างที่นางคิดไม่ผิดทุกอย่างล้วนไม่ปกติในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ เมื่ออาการดีขึ้นมากเจินไป๋เจียก็ออกมานั่งรับลมอยู่
ตอนที่ 2 ไม่ตายก็ดี เรือนเหม่ยฮว่าเสียงหายใจกระชั้นยังดังแว่วมาจากห้องข้างใน ทำให้บ่าวที่อยู่ข้างนอกไม่กล้ารบกวน“พวกเจ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไร ตอนนี้ใช่เวลาจะขอเข้าพบนายท่านหรืออย่างไร”“แต่ว่าฮูหยิน ฮูหยินอาการหนักมาก” เสียงตอบกระซิบแผ่วเบาพวกนางคุกเข่าอยู่เป็นเวลาหลายเค่อ ทว่าเสียงรัณจวนก็ยังไม่แผ่วลงทำให้คนข้างนอกล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ทั้งร้อนใจและอับอาย หากฮูหยินสิ้นตอนนี้ไม่รู้ว่าชื่อเสียงจะย่อยยับเพียงใดสงครามข้างในสงบลงแล้ว ฮูหยินรองอันชิงอีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงออเซาะ“ท่านพี่ ข้าจะปรนนิบัติท่านอาบน้ำเองนะเจ้าคะ” “เจ้าไม่แสร้งเป็นคนดี ขอร้องให้ข้าไปดูนางหน่อยหรือ” แม่ทัพหวงซีซวนเอ่ยถามน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยัน“ไยข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยเจ้าคะ หากท่านต้องการจะไปท่านพี่ย่อมตัดสินใจเอง” ฮูหยินรองพูดพร้อมชายตาแลยั่วยวน แม่ทัพหวงซีซวนเก่งกาจสามารถ มารยาเล็กน้อยเขาย่อมมองออก นางไม่สนใจชิงดีชิงเด่นหรือเอาอกเอาใจใคร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือปรนนิบัติท่านแม่ทัพให้ดีเท่านั้น และนี่ทำให้นางได้ตำแหน่งฮูหยินรองมาครอบครอง“เจ้าเข้าใจเช่นนี้ดียิ่ง บุตรของข้