เรื่องหย่าไม่ใช่เจินไป๋เจียไม่ใส่ใจ
ทว่าสิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือนางต้องฝึกปรือวิชา
การเป็นผู้มีฝีมือวาจาถึงจะมีสิทธิ์ต่อรอง หากใช้ตระกูลอันหรือราชอำนาจจากไทเฮายิ่งทำให้คนอื่นดูแคลน และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งไม่อาจจะทำอะไรได้ดั่งใจ
“พรุ่งนี้แล้ว มันจะต้องสำเร็จข้าจะต้องทำให้ได้”
เจินไป๋เจียบอกให้กำลังใจตนเองนางแล้วรีบพักผ่อน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอกับอะไรบ้างนางต้องเก็บแรงไว้ให้มาก
ตะวันยังไม่ทอแสงนภายังคงมืด ทว่าชิงอีก็เข้ามาปลุกหญิงสาวแล้ว
“คุณหนูได้เวลาได้ ท่านต้องรีบไปลงทะเบียนและจับสลากอันดับนะเจ้าคะ"
เจินไป๋เจียยังพลิกตัวไปมางัวเงีย เมื่อคืนเพราะตื่นเต้นมากเกินไปทำให้นางนอนไม่หลับ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะสดชื่นกว่านี้ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ สุดท้ายจึงได้หยิบอุปกรณ์ออกมาเพื่อกระตุ้นร่างกาย
“คุณหนูนี่คือชาชนิดใดกันเจ้าคะ"
ชิงอีถามเจินไป๋เจียด้วยความสงสัย
“สิ่งนี้เรียกว่ากาแฟ ขั้นตอนเหล่านี้คือวิธีการดริป รอว่าง ๆ ข้าจะสอนพวกเจ้าเอง”
เจินไป๋เจียยืดอกตอบด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ ด้วยพลังปราณธาตุดินขอแค่นางระลึกถึงก็สามารถปลูกทุกสิ่งอย่างได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเมล็ดตอนนี้พลังของเธอยังอยู่เพียงระดับต้นทำให้ปลูกได้เพียงพืชที่ชาวบ้านเพาะได้เท่านั้น
ชิงอี ชิงอิง มองคุณหนูของนางด้วยสายตาชื่นชม ยกย่องและเทิดทูนนับวันคุณหนูของนางยิ่งเก่งกาจ
ในขณะที่เจินไป๋เจียลงทะเบียนขอประลองกับชั้นปี 4 เด็กสาวคนเดิมก็จ้องมองอย่างดูแคลนนางรู้สึกไม่ถูกชะตากับเจินไป๋เจียตั้งแต่วันแรกที่นางมาสมัครเป็นเด็กฝึก ความมคิดต้องการอยากจะสั่งสอนก็ผุดขึ้นทันที
เด็กปี 1 ที่ลงทะเบียนส่วนมากจะขอประลองกับพี่ปี 2
และปี 2 ก็ขอประลองกับปี 3
ก็ตามลำดับ ปี 3 ก็ขอประลองกับปี 4
มีเพียงเจินไป๋เจียเท่านั้นที่คล้ายทำอะไรไม่เจียมตัวเอง คู่อื่น ๆ เหล่าลูกศิษย์อาจารย์ก็พากันไปดูและให้กำลังใจกันตามชั้นปี ทว่ามีเพียงคู่ของเจินไป๋เจียเท่านั้นที่ทุกคนมามุงดูความล้มเหลวของนาง
“ไป๋เจียเจีย เด็กใหม่ที่เข้ามาไม่ถึงเดือนนะเหรอที่จะประลองคู่กับศิษย์เอกอันดับหนึ่งอย่างพี่เหมยฮว่า"
หนึ่งในลูกศิษย์เอ่ยถามขึ้น
“แล้วแบบนี้จะมีอะไรให้ลุ้น แค่เห็นรายชื่อก็รู้แพ้ชนะแล้ว”
หนึ่งในนั้นก็แย้งขึ้นเช่นกัน
“เจ้าเคยเจอไป๋เจียเจียหรือไม่ เขาว่านางงดงามยิ่งนัก”
“ไอ้บ้า ความงามมาเกี่ยวอันใด”
เหล่าลูกศิษย์ก็มองเพื่อนร่วมชั้นด้วยสายตาประหลาด
“สำหรับข้า คนงามย่อมดีที่สุด”
เสียงกระซิบแม้จะแผ่วเบาแต่กระนั้น เจินไป๋เจียและเหมยฮว่าก็ได้ยินชัดเจน เจินไป๋เจียยิ้มอย่างพอใจ แค่ความงามนางก็ชนะแล้ว
หากได้เห็นฝีมือของข้าพวกเจ้าต้องตกตะลึง การแข่งขันต้มโอสถในครั้งนี้สำหรับระดับชั้นผู้ปรุงโอสถทั่วไป เป็นการปรุงเลือกสมุนไพรและขั้นตอนการเคี่ยวในส่วนผสมที่พอเหมาะให้สมุนไพรต้านและเสริมกันอย่างลงตัว
เพื่อความยุติธรรมทั้งสมุนไพรและหม้อต้ม หอโอสถล้วนจัดเตรียมไว้ให้อาจารย์ที่ทำหน้าที่คัดเลือกวันนั้นก็มาเป็นคณะกรรมการบนเวทีวันนี้เช่นกัน
แม้สำหรับเหล่าอาจารย์และปรมารย์ของหอโอสถหลายท่านจะไม่ได้เข้าร่วมชม กระนั้นก็ยังมีเหล่าอาจารย์อีกหลายสิบท่าน เข้าร่วมชมเพื่อคัดเลือกศิษย์เอกของตนเอง
หนึ่งในนั้นคืออันลู่จื้อ ลูกพี่ลูกน้องของเจินไป๋เจีย แม้จะเจอกันไม่กี่ครั้งแต่เขาก็ยังจำได้ว่าผู้ประลองคนนั้นคือ
องค์หญิงเจินไป๋เจีย นางมาก่อกวนอะไรในที่นี่
“ไปแจ้งท่านลุงอันหวง ว่าองค์หญิงเจินไป๋เจียกำลังเข้าประลอง”
เขาหันไปบอกคนสนิทที่อยู่ข้างกาย
ที่ใดมีองค์หญิงเจินไป๋เจีย ที่นั่นมีความวุ่นวาย วาจานี้ไม่ได้แต่งตั้งขึ้นโดยไม่มีมูล ทั้งที่ตบแต่งออกไปเป็นฮูหยินแล้วนางยังซุกซนไม่เลิก
แววตาของอันลู่จื้อไม่ได้ปกปิดสายตาดูแคลนเบื่อหน่ายญาติตัวเองแม้แต่น้อย
“โจทย์แรก คือ การปรุงโอสถสำหรับผู้ที่อาการเหนื่อยหอบไร้เรี่ยวแรงและนอนหลับไม่ค่อยสนิท”
เจินไป๋เจียเดินไปคัดเลือกสมุนไพรด้วยท่าทีสบาย ๆ สมุนไพรที่นางเลือกไม่ใช่ตัวล้ำค่าแต่อย่างไร
“ข้าว่า คนงามของเจ้าแพ้ราบคาบแน่แล้ว ดูสิสมุนไพรที่นางเลือกล้วนไม่ได้เรื่อง”
ทว่าเหล่าอาจารย์ที่อยู่บนแท่นสูงกลับรู้สึกตื่นเต้นคาดหวังอะไรบางอย่าง สมุนไพรที่เจินไป๋เจียเลือกนั้นเป็นสูตรลับของหอโอสถแต่มีเพียงคนที่มีพลังลมปราณธาตุน้ำเท่านั้นที่จะสามารถปรุงยาตัวนั้นออกมาได้
เหมยฮว่ายกปากยิ้ม
การแข่งขันครั้งนี้นางคงไม่ต้องเปลืองแรงเท่าใด
ก่อนที่จะวางหินอัคคีเข้าไป เจินไป๋เจียใช้มือโอบหม้อขึ้นมาเปลี่ยนน้ำในหม้อให้เป็นน้ำจากพลังลมปราณแทน เมื่อน้ำในหม้อต้มกำลังเริ่มอุ่น นางก็เด็ดสมุนไพรทิ้งลงไปคล้ายเด็กกำลังเล่นต้มน้ำ
ต่างจากเหมยฮว่าที่ควบคุมจำนวนหินอัคคี ในขณะที่น้ำเริ่มเดือดและจนน้ำเริ่มอุ่นพอเหมาะตัวสมุนไพรที่ผสมลงไปล้วนคำนวณมาอย่างดี
เสียงหัวเราะขบขันของเหล่าลูกศิษย์เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งโอสถเริ่มส่งกลิ่นหอมอบอวล
“ทำไมข้ารู้สึกว่า กลิ่นหอมสมุนไพรที่ชวนให้สดชื่นผ่อนคลายจนรู้สึกจนอยากจะนอนลง กลิ่นนั้นออกมาจากหม้อต้มโอสถของคนงามใช่หรือไม่”
หลายคนเริ่มไม่มั่นใจหรือพวกเขาแค่สับสน เมื่อกรรมการบอกว่าหมดเวลา เหล่าอาจารย์ที่อยู่บนแท่นนั่งก็ต่างพากันกรูลงมา
“เจ้าเป็นผู้มีลมปราณธาตุน้ำรึ”
พวกเขาต่างแย่งกันพูดคุยกับเจินไป๋เจีย และมองดูโอสถในตำนานหากได้ดื่มคงให้พลังสดชื่นไม่เบา อาจารย์เลี่ยงกำลังจะหยิบดื่มทว่าก็โดยอาจารย์จางสกัดเอา
“ท่านอย่าริคิดจะดื่มเพียงผู้เดียว”
สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ข้างล่างเวที งงงวย..
เหมยฮว่ารู้สึกเสียหน้า ตอนนี้ไม่มีใครสนใจหม้อโอสถนางสักคน
อันลู่จื้อ เดินเข้ามากระซิบข้าง ๆ เจินไป๋เจีย
“องค์หญิงท่านต้องการจะทำอะไร” เจินไป๋เจียไม่รู้จักอีกฝ่ายจึงรู้สึกตกตะลึง เพราะชิงอีกับชิงอิงไม่อยู่ข้างกายนางจึงไม่มั่นใจว่าจะกล่าววาจาอันใด ทันใดนั้นอาจารย์อันหวง ซึ่งถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดของเหล่าอาจารย์ก็ปรากฏตัวขึ้น
“เจ้าตามข้ามา”
เหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ต่างมองตามหลังของทั้งสามคน สุดท้ายศิษย์ที่เก่งที่สุดอันหวงก็ได้ครอบครองไป ภายหลังจากทุกคนจากไปชื่อเสียงของไป๋เจียเจียก็โด่งดังทันที
เจินไป๋เจียเดินตามหลังอาจารย์อันมาที่ห้องแห่งหนึ่ง เมื่อประตูห้องปิดลง อันหวงจึงเอ่ยพูดขึ้น
“ข้าคือลุงของเจ้า องค์หญิงเจินไป๋เจีย เจ้าจำไม่ได้รึ”
“หลานคารวะท่านลุงเจ้าค่ะ”
แล้วนางก็ชำเลืองไปมองบุรุษตั้งคำถาม
“ข้าอันลู่จื้อ เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน”
ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“เจ้าทำเช่นนี้เพื่ออะไร ในเมื่อตัวเองมีพลังลมปราณเจ้าแค่บอกต่อเหล่าผู้อาวุโสตระกูลอันอย่างไรตระกูลก็ต้องสนับสนุนเจ้า”
น้ำเสียงของอันหวงแฝงตำหนิทำไมต้องทำยุ่งยาก คนมีพลังวิเศษอย่างไรก็ย่อมแตกต่างไม่เดินเส้นทางธรรมดา
“ข้าไม่ใช่คนของตระกูลอันแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นฮูหยินหวน ข้ามาที่นี่ในฐานะไป๋เจียเจีย ขอท่านช่วยส่งเสริมข้าด้วย”
เหตุผลของเจินไป๋เจีย พลันทำทำให้อันหวงสายตาอ่อนโยนขึ้น ทุกคนย่อมมีเรื่องลำบากใจและแนวทางของตนเอง
“ตอนนี้ชื่อเสียงของไป๋เจียเจียของเจ้าโด่งดังสมอย่างที่เจ้าต้องการแล้ว ข้าเองก็เป็นเพียงอาจารย์โอสถแม้จะระดับขั้นสูง ก็ไม่สามารถอบรมสั่งสอนเจ้าได้ เจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านปรมาจารย์โอสถ”
เจินไป๋เจียยิ้มอย่างยินดี ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่นางวางไว้ นางเร่งฝีเท้าเดินตามผู้อาวุโสอันหวงไป
อันลู่จื้อ มองตามหลังของคนทั้งสอง แววตาสับสนอดสู่เขาอยู่ที่นี่มา 10 กว่าปีแล้ว ท่านอาวุโสปรมาจารย์โอสถ แม้จะเป็นปู่ทวดแท้ ๆ ของเขา ทว่าเขากลับไม่เคยได้รับอนุญาตให้เขาได้เข้าพบสักครั้ง
สวรรค์ช่างลำเอียงพลังลมปราณให้เพียงบางคนเท่านั้น
ตอนที่ 7 ประลองเรื่องหย่าไม่ใช่เจินไป๋เจียไม่ใส่ใจ ทว่าสิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือนางต้องฝึกปรือวิชา การเป็นผู้มีฝีมือวาจาถึงจะมีสิทธิ์ต่อรอง หากใช้ตระกูลอันหรือราชอำนาจจากไทเฮายิ่งทำให้คนอื่นดูแคลน และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งไม่อาจจะทำอะไรได้ดั่งใจ“พรุ่งนี้แล้ว มันจะต้องสำเร็จข้าจะต้องทำให้ได้” เจินไป๋เจียบอกให้กำลังใจตนเองนางแล้วรีบพักผ่อน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอกับอะไรบ้างนางต้องเก็บแรงไว้ให้มากตะวันยังไม่ทอแสงนภายังคงมืด ทว่าชิงอีก็เข้ามาปลุกหญิงสาวแล้ว“คุณหนูได้เวลาได้ ท่านต้องรีบไปลงทะเบียนและจับสลากอันดับนะเจ้าคะ"เจินไป๋เจียยังพลิกตัวไปมางัวเงีย เมื่อคืนเพราะตื่นเต้นมากเกินไปทำให้นางนอนไม่หลับ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะสดชื่นกว่านี้ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ สุดท้ายจึงได้หยิบอุปกรณ์ออกมาเพื่อกระตุ้นร่างกาย“คุณหนูนี่คือชาชนิดใดกันเจ้าคะ" ชิงอีถามเจินไป๋เจียด้วยความสงสัย“สิ่งนี้เรียกว่ากาแฟ ขั้นตอนเหล่านี้คือวิธีการดริป รอว่าง ๆ ข้าจะสอนพวกเจ้าเอง” เจินไป๋เจียยืดอกตอบด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ ด้วยพลังปราณธาตุดินขอแค่นางระลึกถึงก็สามารถปลูกทุกสิ่งอย่างได้โดยไม่จำเป็นต้องม
ตอนที่ 6 หนทางเป็นเด็กฝึกไม่สนุกอย่างที่คิด เจินไป๋เจียตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้หยุดฟัง แม้จะมีชิงอิงและชิงอี คอยช่วยทว่านางก็ยังยืนและคอยพวกนาง คนที่นอนและกินมาตลอดชีวิต สภาพร่างกายจะรับได้อย่างไรเมื่อพักเที่ยงนางก็แทบจะถอดใจล้มเลิกความตั้งใจหากไม่ใช่ นางชำเลืองเห็นคนรับสมัครเมื่อวานหรี่ตามองเหยียดปากดูแคลนส่งมาให้นางอย่างไม่ปกปิดนางคงกลับจวนไปแล้ว“คุณหนู แม่นมสั่งให้พวกข้าดูท่านให้ดี ท่านนั่งพักเถอะเจ้าค่ะ พวกข้าจะจัดการเก็บสมุนไพรพวกนี้เอง”หน้าที่ในวันนี้คือเด็กฝึกต้องเรียนรู้ตั้งแต่ปลูกและเก็บสมุนไพร เมื่อนึกถึงสมุดไม้ไผ่เมื่อวาน สมุนไพรที่มีกว่าพันชนิด เจินไป๋เจียก็คำนวนระยะเวลาในการฝึกเช่นนี้ทันที ปีที่ 1 เรียนรู้สมุนไพรปีที่ 2 เริ่มศึกษาการปรุงยาปีที่ 3 หัดปรุงยาร่วมกับพี่ชั้นปีที่ 4 และปีที่ 4 ปรุงยาด้วยตนเองจบการศึกษา เป็นผู้ปรุงโอสถเริ่มต้น ทว่าการเรียนรู้ย่อมไม่มีทางลัดนอกจากการฝึกฝนตัวเอง เหล่าคุณหนูและคุณชายล้วนมาฝึกตนเองตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่อย่างช้าอายุ 15 ปีก็จบการศึกษา อย่างเด็กสาวที่เป็นผู้ช่วยคัดเลือกเมื่อวานก็มีคาด
ตอนที่ 5 เด็กฝึกเจินไป๋เจีย ไม่ได้สนใจว่าใครจะประมวลหรือคิดอะไร นางนั่งเปลขาพาดยกสูง ไร้มารยาทเฉกสตรีทั่วไป ในเมื่อไม่ให้หย่า แต่นางคงออกไปไหนมาไหนได้กระมัง“แม่นมมู่ ข้าจะไปเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านโอสถ ท่านช่วยจัดการให้ด้วย”ไทเฮาเป็นบุตรสาวจากตระกูลอัน หนึ่งในสี่ตระกูลที่มีผู้นำตระกูลเป็นถึงปรมาจารย์โอสถการที่เจินไป๋เจียอยากจะไปเป็นเด็กฝึกย่อมไม่ใช่เรื่องยาก “ฮูหยินท่าน…เอ่อ..เจ้าค่ะ”เป็นเด็กฝึกก็ต้องคอยรับใช้และฟังคำสั่งผู้อื่น เจินไป๋เจียไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แม่นมมู่แค่คิดว่าองค์หญิงของนางต้องไปเป็นข้ารับใช้ผู้อื่นก็ปวดใจทันที“ชิงอี ชิงอิง เจ้า 2 คนต้องคอยดูแลไม่ให้ใครมารังแกคุณหนูเด็ดขาดรู้ไหม” แม่นมมู่สั่งกำชับองค์รักษ์ข้างกายของเจินไป๋เจียด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ “ชิงอี ชิงอิง เจ้าทั้งสองต่อไปเรียกข้าว่าคุณหนูเจียเจีย เข้าใจหรือไม่”เมื่อจะเดินออกมาข้างนอกเจินไป๋เจียก็สั่งบ่าวให้เรียกนางใหม่“เจ้าค่ะคุณหนูเจียเจีย” สามสาวดุรณีแรกแย้มอายุเพียง 16-17 เท่านั้น เมื่อปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าไร้เครื่องประดับหรูหรา เจินไป๋เจีย
ตอนที่ 4 จะหย่าไม่ว่าจะยุคไหน สุดท้ายทุกคนก็ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ต้องเป็นคนมีความสามารถเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ ก่อนหน้าเพราะมีพระมารดา มีพระเชษฐา ที่คอยคุ้มครองปกป้อง พอเกิดเรื่องเช่นนี้แม้ว่าอย่างไรฐานะนางไม่เปลี่ยนแปลงแต่จะให้เป็นเช่นเคยคงเป็นไปไม่ได้นางเป็นคนในราชวงศ์ เชื้อสายของผู้นำดินแดนย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั้งรูปโฉมและสายพลัง ตั้งแต่เกิดนางได้รับความรักมากมาย ทำให้กลายเป็นคนขี้โมโห อารมณ์ร้าย เอาแต่ใจเย่อหยิงไร้ความเมตตา ทำให้ทรัพย์ในกายล้วนไร้ค่า “แม่นมมู่ ตอนนี้พวกเรามีคนอยู่จำนวนเท่าไร”นางเป็นองค์หญิงอย่างน้อยก็ควรมีองค์รักษ์ส่วนตัวสิ“องค์รักษ์เงาจำนวนหนึ่งเจ้าค่ะ ส่วนบ่าวไพร่ที่ติดตามมาจากในวังก็ 20 คน” แม่นมเอ่ยพลางแปรงผมให้เจินไป๋เจียอย่างเบามือ และมองดูผมยาวสลวยเป็นเงางามนุ่มลื่นดั่งผ้าไหมล้ำค่าอย่างภาคภูมิใจ องค์หญิงของนางล้วนงดงามไร้ที่ติ ในขณะที่เจินไป๋เจียคิดถึงแต่เรื่องเงินทอง นางไม่เคยส่องกระจกเหลืองที่ไม่ชัดเจนอันนั้นจึงไม่รู้ถึงความงามของตนเอง มากมายจริง ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งกลับมีคนต้องดูแลมากมายเพียงนี้ หากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แ
ตอนที่ 3 เข้าวังไม่ได้สิ่งดีที่กลายเป็นโชคดีสำหรับนางตอนนี้คือ ไม่มีใครมาเยี่ยมนางสักคน นอกจากคนจากในวังก็ไม่มีใครถามข่าวคราวนางอีกเลยเมื่ออาการดีขึ้น พอมีเรี่ยวแรงสิ่งแรกที่เจินไป๋เจีย ตัดสินใจและต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ นางต้องหย่า ต้องหย่าเท่านั้น!! เป็นนางที่ขอสมรสพระราชทาน และจะเป็นนางที่ขอหย่านางต้องเข้าวังทว่าหลังจากนอนพักมาหลายวัน สิ่งที่เกิดคำถามในใจ คนในจวนแม่ทัพทำกับนางถึงเพียงนี้แต่ทำไม ฮ่องเต้หรือไทเฮาไม่มีกระแสตำหนิลงมาสักคำ มันเป็นความไม่ปกติเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเป็นเพราะพวกเขาเคยชิน“แม่นมข้าจะเข้าวัง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ แม้กระทั่งตัวเองก็แปลกใจ“ฮูหยินท่านเพิ่งจะหายป่วย บ่าวว่าท่านพักผ่อนอีกระยะดีไหมเจ้าคะ” คำพูดของแม่นมทำให้เจินไป๋เจียขมวดคิ้วชำเลืองมองตาขวางแม่นมมู่หรานรีบคุกเข่าแล้วเอ่ยเสียงสั่น แม้จะหวาดหวั่นแต่ก็ยังเอ่ยห้ามเช่นเดิม“ฮูหยินท่านเชื่อบ่าวเถิดเจ้าค่ะ บ่าวขอร้องท่านอย่าเพิ่งเข้าวังเลย”นั่นปะไร เป็นอย่างที่นางคิดไม่ผิดทุกอย่างล้วนไม่ปกติในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ เมื่ออาการดีขึ้นมากเจินไป๋เจียก็ออกมานั่งรับลมอยู่
ตอนที่ 2 ไม่ตายก็ดี เรือนเหม่ยฮว่าเสียงหายใจกระชั้นยังดังแว่วมาจากห้องข้างใน ทำให้บ่าวที่อยู่ข้างนอกไม่กล้ารบกวน“พวกเจ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไร ตอนนี้ใช่เวลาจะขอเข้าพบนายท่านหรืออย่างไร”“แต่ว่าฮูหยิน ฮูหยินอาการหนักมาก” เสียงตอบกระซิบแผ่วเบาพวกนางคุกเข่าอยู่เป็นเวลาหลายเค่อ ทว่าเสียงรัณจวนก็ยังไม่แผ่วลงทำให้คนข้างนอกล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ทั้งร้อนใจและอับอาย หากฮูหยินสิ้นตอนนี้ไม่รู้ว่าชื่อเสียงจะย่อยยับเพียงใดสงครามข้างในสงบลงแล้ว ฮูหยินรองอันชิงอีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงออเซาะ“ท่านพี่ ข้าจะปรนนิบัติท่านอาบน้ำเองนะเจ้าคะ” “เจ้าไม่แสร้งเป็นคนดี ขอร้องให้ข้าไปดูนางหน่อยหรือ” แม่ทัพหวงซีซวนเอ่ยถามน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยัน“ไยข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยเจ้าคะ หากท่านต้องการจะไปท่านพี่ย่อมตัดสินใจเอง” ฮูหยินรองพูดพร้อมชายตาแลยั่วยวน แม่ทัพหวงซีซวนเก่งกาจสามารถ มารยาเล็กน้อยเขาย่อมมองออก นางไม่สนใจชิงดีชิงเด่นหรือเอาอกเอาใจใคร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือปรนนิบัติท่านแม่ทัพให้ดีเท่านั้น และนี่ทำให้นางได้ตำแหน่งฮูหยินรองมาครอบครอง“เจ้าเข้าใจเช่นนี้ดียิ่ง บุตรของข้