Share

1 วัยเยาว์ที่รันทด

last update Last Updated: 2025-01-26 16:28:20

     บทนำ

     บ้านของจูมี่เอินก็ไม่ได้ร่ำรวยอันใด เพียงทำธูปหอม กำยานทั่วไป แต่ก็ถือว่ามีเงินทองเก่าแก่ของรุ่นปู่รุ่นย่าทิ้งไว้ให้ ทำให้ครอบครัวของนางมีอันจะกินมากกว่าบ้านอื่น

     จูมี่เอินปีนี้อายุได้เพียงแค่สิบขวบ กลับต้องพบเจอเรื่องสะเทือนใจที่เด็กคนหนึ่งยากจะรับไหว เป็นเพราะครอบครัวของนางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลไร้หมอ ไร้ยารักษาโรค บิดาของนางป่วยหนักจึงเสียชีวิตลงโดยไม่ทันได้รับการรักษา

     นางเป็นเพียงแค่เด็กสิบขวบไหนเลยจะเข้มแข็งพอที่จะเผชิญเรื่องสูญเสียขนาดนี้ได้ แต่ยังดีที่ว่านางยังมีมารดาอยู่เรื่องราวในตอนนี้เลยไม่ได้โหดร้ายจนเกินไป

     ตอนนี้ค่ำแล้ว จูมี่เอินยืนมองประตูรั้วบ้านที่เปิดอ้าออกอยู่ แสงจันทร์วันนี้ดูเหมือนเป็นใจ มันส่องสว่างจนมองเห็นบริเวณรอบกายโดยไม่ต้องใช้คบไฟ

     ประตูบานนี้ที่นางกำลังมองอยู่นั้นดูแปลกตาเล็กน้อย เพราะปกติมันมักจะปิดอยู่เสมอ นางจำไม่ได้แล้วว่านานเท่าไหร่ที่นางไม่เคยก้าวขาออกจากบ้านหลังนี้ จำได้เพียงสาเหตุของเรื่องราวที่ทำให้นางถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างเลือนลางเท่านั้น เรื่องราวเกิดขึ้นเพราะดวงตาวิเศษของนาง การมองเห็นความตายของผู้อื่น

     ยามนั้นนางได้เห็นคนตายทั้งหมู่บ้านจึงไปเตือนพวกเขาถึงโรคระบาดที่กำลังจะมาที่หมู่บ้านของนาง สิ่งที่นางรับรู้และได้เห็นนั่นคือ...คนล้มป่วยเกือบทั้งหมู่บ้าน ตกตายไปก็หลายคน ไม่อาจป้องกันได้ทันท่วงที

     เมื่อนางรวบรวมความกล้าบอกคนในหมู้บ้านออกไปถึงโรคระบาดที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่วันต่อจากนี้ ก็เป็นจังหวะนั้นที่ยายเฒ่าคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่กลางหมู่บ้านกลับได้โอกาสใส่ร้ายนางว่านางเป็นตัวหายนะ ด้วยเพียงเพราะครานั้นจูมี่เอินเอ่ยทักเรื่องบุตรชายของยายเฒ่าจะตายในสนามฝึก นางห้ามให้เขาไม่เข้าสมัครทหาร ให้ทำงานที่บ้านดีกว่า แต่สองแม่ลูกกลับไม่เชื่อ กล่าวหานางว่าอิจฉาบุตรชายของยายเฒ่าที่กำลังจะได้เป็นนายทหาร นางจะไปอิจฉาทำไม นางเป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น สุดท้ายบุตรชายของยายเฒ่าก็สมัครไปเป็นทหาร

     แล้วต่อมาก็เป็นจริงดั่งที่จูมี่เอิ่นบอก บุตรชายของยายเฒ่าตกตายไปในสนามฝึกจริงๆ ทำให้ยายเฒ่าฝังใจมาเนิ่นนานว่าที่บุตรตนเองต้องตายไปเป็นคำสาปแช่งจากจูมี่เอิน แต่ยายเฒ่าไม่เคยมีโอกาสได้แก้แค้นสักครั้ง

     ครานี้พอจูมี่เอินทักเรื่องที่ทำให้เกิดการสูญเสียของคนในหมู่ครั้งใหญ่ขึ้นมา การทักท้วงก่อนหน้านั้นของจูมี่เอินก็ถูกพูดถึงขึ้นมาทันที ยายเฒ่าจงใจใส่ร้ายป้ายสีนางสารพัด คนในหมู่บ้านหลายคนที่เคยโดนนางทักท้วงไปในทำนองคลองเดียวกันถึงความตายของคนในครอบครัวพวกเขาจึงเห็นดีเห็นงามไปด้วยกันเสียหมด

     รอบด้านเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์หนาหู จากที่ควรจะสนใจเรื่องโรคระบาด กลับมากลายเป็นว่าความสนใจพุ่งมาที่ตัวของจูมี่ เอินแทน

     "เป็นนางที่บอกว่าอาอินลูกข้าจะป่วยหนักจนตาย แล้วเขาก็ตายจริงๆ"

     "ใช่ๆ ไม่กี่วันก่อนยัยเด็กปีศาจนี่ก็บอกว่ามารดาของข้าจะทานอาหารแข็งติดคอตาย นี่ข้าก็เพิ่งจัดงานศพให้นางไป ฮื่อ..."

     จูมี่เอินเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กไม่อาจต่อกร ไม่อาจแก้ตัว ใบหน้านางเต็มไปด้วยน้ำตาจากความรู้สึกผิด คนพวกนั้นล้อมวงต่อว่านาง จนนางคิดไปจริงๆ แล้วว่าตนคือตัวหายนะ นำความโชคร้ายมาสู่ผู้อื่น นางได้แต่นั่งงอตัวร้องไห้เอามือปิดหูแน่นด้วยความกลัว ร่างเล็กสั่นเทิ้มแต่คนรอบตัวนางกลับไม่มีใครสนใจ

     ทั้งที่สิ่งที่นางบอกนางไม่ใช่คนทำให้เกิด แต่กลับโดนมองด้วยสายตาประณามระคนหวาดกลัว เสียงคนรอบตัวของนางต่างพูดกันไม่หยุด นางแทบจะฟังไม่ออกว่าพวกเขาพูดสิ่งใด จดจำได้แต่ท่าทีที่พวกเขามีต่อนางเท่านั้น

     "นางบอกบิดาข้าจะจมน้ำ เย็นวันนั้นเขาไปหาปลาก็เกิดจมน้ำตายขึ้นมา เป็นเพราะนางจริงด้วย ข้าคิดมาตลอดแต่ไม่เคยกล้าพูดออกมา เด็กตัวแค่นี้กลับรู้จักสาปแช่งผู้อื่น"

     "ใช่ๆ วันนั้นข้าก็อยู่ด้วย ได้ยินเต็มสองหู วันนั้นดวงตาของนางยังแปลกไป สีเหมือนงูพิษไม่มีผิด ไหนจะครานั้นนางทักข้าเรื่องตกเขา วันต่อมาข้าก็ตกเขาจนขาหักจริงๆ เป็นเพราะนางรู้ว่าข้าเห็นดวงตาของนางเป็นแน่จึงได้สาปแช่งข้า นางเป็นปีศาจ นางสาปแช่งผู้อื่น!"

     จูมี่เอินส่ายหน้า นางไม่ได้ทำ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า สาปแช่ง คือสิ่งใด นางไม่ใช่คนพูดเก่ง นางชอบรับฟังผู้คนมากกว่า เมื่อโดนพูดให้ร้ายเช่นนั้นก็ไม่อาจพูดสิ่งใดเพื่อแก้ตัวได้เลย ได้แต่หวาดกลัวสายตาของคนเหล่านั้นที่มองมาที่นาง

     "นางเป็นตัวหายนะ!"

     "นางเป็นตัวกาลกิณี!"

     คนที่นางเคยเตือนเคยทักท้วงเพื่ออยากช่วยเหลือคราวนี้กลับส่งเสียงต่อว่านาง ใส่ร้ายนาง หน้าตาของพวกเขาในสายตาของเด็กน้อยกลับดูมืดดำ ดวงตาขาวสว่างคล้ายภาพหลอน นางกลัว กลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำได้เพียงขดตัวกลมสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หยาดน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ไม่รับรู้รอบกาย

     แต่เมื่อต่อมาก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมมาจากด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนจากคนผู้นั้นทำให้นางเบาใจลงราวกลับได้รับการปกป้อง เสียงเอ่ยกระซิบแผ่วเบาปลอบโยนนางดังขึ้นข้างหู นางจำได้ นั่นคือท่านแม่ของนาง ต่อมาก็เป็นแขนใหญ่อีกคู่โอบนางและมารดาไว้นั่นก็คือบิดาของนาง

     มีเพียงบิดาและมารดาที่ออกมาปกป้องนาง ขอร้องคนในหมู่บ้านอย่ามองนางเป็นตัวกาลกิณีเช่นนั้น พวกท่านบอกจะดูแลนางอย่างใกล้ชิด ด้วยนิสัยดีของบิดาและมารดาที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นมาตลอด ทำให้ชาวบ้านยอมรามือถอยคนละก้าวในที่สุด

     นั่นเลยเป็นเหตุให้นางถูกขังไว้ในจวนหลายปี จนกระทั่งวันนี้บิดาจากไป ตอนเช้าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าวการจากไปของบิดานางก็พากันมาขับไล่นางออกจากหมู่บ้าน ส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้านของนาง ยังดีที่มารดาออกไปพูดอะไรบางอย่างกับพวกเขาทำให้พวกเขาจากไปในที่สุด

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 8

    วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 7

    "เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 6

    ...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 5

    "เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 4

    ....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 3

    ....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status