ค่ำแล้ว...นางกัดฟันมองประตูรั้วของบ้านที่ถูกทำขึ้นมาจนปิดหมดทั้งจวน เนื่องจากจะได้ไม่มีใครมองเห็นนาง บิดาถึงได้ทำประตูรั้วจนทึบเช่นนี้ไว้รอบบ้าน ตัดนางออกจากผู้คนภายนอก ยามนี้พอนางจะก้าวขาออกจากบ้านก็นึกหวาดกลัวขึ้นมา
หันมองร่างไร้วิญญาณของบิดาที่มีผ้าขาวปิดไว้ นางก็กัดฟันก้าวขาเดิน ลากรถเข็นที่มีร่างของบิดาอยู่บนนั้น ความกลัวกัดกินในใจ คล้ายออกจากที่หลบภัยสู่โลกภายนอก มองเห็นมารดายืนรออยู่หน้าบ้านก็พยายามออกแรงลากรถเข็นออกไปหา
มือเล็กเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มจากความประหม่า ทว่าเมื่อเดินออกมาพ้นประตูแล้วก็มีความกล้าขึ้นหลายส่วน ยามนี้เพราะมืดแล้วคนในหมู่บ้านต่างพากันเข้านอนหมด นางจึงสามารถนำร่างของบิดาออกไปฝังกับมารดาได้
'ถ้าหากวันใดข้าจากไปแล้วให้เจ้าพาข้าไปฝังไว้ที่เขาด้านหลัง ที่นั่นมีหลุมศพอยู่หลุมหนึ่ง ฝังข้าไว้ตรงนั้นข้างหลุมศพนั้น'
นึกถึงเสียงพูดของบิดาที่อ่อนแรงยามพูดออกมาคล้ายคนที่ไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ นางสงสารเขาจับใจ
แน่นอน ด้วยดวงตาของนางนั้น จูมี่เอินรู้ว่าบิดาจะจากไป นางเห็นภาพตั้งแต่ครั้งนั้นที่บิดาโอบกอดนางไว้กลางฝูงชน แต่เพียงเพราะกลัว กลัวที่จะพูดออกไป และรู้ว่าไม่อาจแก้ไขได้จึงต้องจำใจทนรู้อยู่กับความเป็นจริงเพียงผู้เดียวมาตลอดหลายปี เฝ้ามองบิดาจากตนไปในที่สุด
เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนดวงจันทร์กระจ่างใส แสงสีทองอ่อนอาบทั่วพื้นดิน ตลอดการเดินทางไปเขาหลังหมู่บ้านจึงไม่ยากอะไร เพียงแค่นางต้องออกแรงมากถึงจะสามารถพาร่างของบิดาขึ้นเขามาได้
ท่านแม่ของนางเดินอยู่ข้างนาง ไม่ได้ช่วยนางออกแรงลากบิดาเลยสักนิด คล้ายคนเหม่อลอยคิดอะไรในใจ จูมี่เอินเหลือบมองนางด้วยความเข้าใจ ท่านแม่กำลังเสียใจ เรื่องแค่นี้นางทำได้ ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ลำบากเพียงแค่เหนื่อยไปบ้างก็เท่านั้น นอกจากความเหนื่อยบนใบหน้าแล้วยังปะปนไปด้วยน้ำตาสองสายที่ไหลอาบแก้มตลอดทาง นางไม่สะอื้น ไม่ร้องไห้เสียงดัง คล้ายเสียใจแต่พยายามเก็บอาการ
เป็นเวลาเกือบชั่วยามที่ลากรถเข็นมา ในที่สุดก็เจอหลุมศพที่บิดาบอก บนหลุมศพนั้นเขียนชื่อไว้ 'อู่เยว่เสี่ยง' จูมี่เอินเพียงมองผ่านตาไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเป็นเพียงญาติคนหนึ่งของนางที่บิดาไม่เคยเอ่ยถึงเพียงเท่านั้น
จูมี่เอินยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาบนในหน้า กัดฟันขุดหลุมด้วยแรงทั้งหมดของเด็กน้อยที่ตนมี ทั้งปาดน้ำตาทั้งขุดหลุม นานจนครึ่งค่อนคืนกว่าจะลึกพอที่จะฝังร่างของบิดาลงไป
มองเห็นมารดายืนอยู่ไกลๆ ไม่ร่ำไห้ไม่หลั่งน้ำตา จูมี่เอินกลับสงสารมารดามากกว่าเดิม คิดว่านางคงจะเสียใจมาก เสียใจจนไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้แม้สักหยด
ไม่นานนางก็ฝังร่างของบิดาและโกยดินมากลบจนมิด ทำเนินดินขึ้นมา หาหญ้าและดอกไม้มาปลูก ยามนั้นมือสองข้างเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยแผล นางยังคงร้องไห้แต่ไม่เอื้อนเอ่ยอันใดออกมาแม้ครึ่งคำ
ร่างเล็กที่ไม่สูงตามเกณฑ์ถอยหลังออกมาสองก้าว ก้มลงเคารพหลุมศพของบิดา จนกระทั่งการเคารพครั้งสุดท้าย ก็ได้เอาหน้าทิ่มไว้กับมือเช่นนั้นแล้วร้องไห้เสียงดังออกมาในที่สุด
เนิ่นนานจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าไหร่ ถึงทำใจลาจากมาได้ ระหว่างทาง มารดากลับพานางเดินไปอีกทางบอกให้นางทิ้งรถเข็นไว้ ทว่ามารู้ตัวอีกทีนางก็เหลือตัวคนเดียวเสียแล้ว
รอบด้านไร้ทางเดิน ต้นไม้สูงใหญ่ หญ้ารกครึ้ม ไร้ร่างของอีกคน
"ท่านแม่ ท่านแม่" น้ำเสียงเล็กเอ่ยเรียกมารดานั้นสั่นเครือและแหบแห้ง หมุนตัวมองหานางภายในความมืดอยู่หลายครา
"ท่านแม่ ท่านอยู่ที่ไหน" ความกลัวเริ่มกัดกินหัวใจของนาง มือเล็กที่เต็มไปด้วยแผลสั่นไม่หยุด นางปลอบใจตัวเอง ใจเย็น ใจเย็นเถิด ท่านแม่คงหลงกับนาง ไม่แน่ว่ายามนี้อาจกลับไปรอนางที่บ้านก็เป็นได้
จูมี่เอินนั้นเป็นเด็กฉลาดความจำดี นางจำทางที่เดินมาเมื่อครู่ได้ จึงหันหลังกลับ เดินไปที่หลุมศพของบิดา คิดว่าหลังจากนั้นนางก็จะสามารถกลับบ้านได้โดยไม่หลง ตลอดทางนางยังคงร้องเรียกหามารดาเผื่อมารดาของนางจะยังคงตามหานางอยู่ในป่าก็ได้ ในใจภาวนาให้ไปถึงก่อนรุ่งส่าง แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว
ชาวบ้านคนหนึ่งที่ออกหาของป่ากลับมาพบนางเข้าพอดี
นางร่ำร้องในใจว่า แย่แล้ว! ต้องหลบเขา แต่เห็นนิมิตรตอนไหนไม่เห็น ดันมาเห็นตอนนี้
นางแน่นิ่งไป ขาที่จะก้าวหลบผู้คนก็ไม่ขยับดั่งใจหวัง ดวงตาของจูมี่เอินเปล่งประกายสีทองสว่างขึ้นมา ทำให้ชาวบ้านผู้นั้นที่ตอนแรกไม่ทันได้สังเกตเห็นเด็กสาวก็พบนางเข้าจนได้ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กที่คนอื่นเล่าลือกันว่าเป็นตัวอัปมงคล ยิ่งได้เห็นดวงตาสีทองของนางเขาก็ยิ่งหวาดกลัว
"ปีศาจ ปีศาจชัดๆ" ทำไมดวงตาของนางถึงเป็นเช่นนี้ ชายผู้นั้นกลัวมากแต่ก็ได้แต่พยายามข่มใจ ตะโกนเรียกเพื่อนที่เดินมาหาของป่าด้วยกันซึ่งอยู่ไม่ไกล "นางตัวอัปมงคลอยู่ที่นี่!!!" ขาของเขาสั่น ดวงตาเบิกโพลง จ้องมองเด็กสาวที่ดวงตามีประกายสีทอง ไม่นานกางเกงก็อาบไปด้วยน้ำสายหนึ่งจากส่วนกลางของลำตัว ด้วยความอายก็รีบหนีบขาไว้กลัวเพื่อนของตนมาเห็นเข้า
พรึ่บ
จูมี่เอินที่ได้สติกลับมาจากภาพในหัวยามนั้นดวงตาก็กลับมามีสีดำดังเดิม นางตกใจ ทอดมองคบไฟที่กำลังตรงมาทางนางหลายดวงซึ่งอยู่ไม่ไกลมากแล้วก็ตระหนักได้ในใจว่า ไม่ได้การคนพวกนั้นคือคนในหมู่บ้าน ซึ่งไม่มีใครต้องการให้นางอยู่ที่นั่น หากนางดึงดันที่จะกลับไปที่หมู่บ้าน มารดาต้องเดือดร้อนเป็นแน่
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา