แชร์

ตอนที่ 12 พิธีกรรมขอฝน

ผู้เขียน: เสี่ยวเทีย
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-26 23:50:50

     วันทำพิธีขอฝน

     นักบวชหลวงนามหวังวั่งซูที่เดินทางมาซ้อมพิธีเมื่อวานก่อนวันจริงก็ได้พบข่าวร้าย นักบวชของอารามแห่งหนึ่งเกิดล้มป่วยท้องเสียกระทันหัน ทำให้นักบวชที่จะต้องเข้าทำพิธีในวันนี้ขาดไปหนึ่งคน

     เขาทำงานให้วังหลวงมานาน สองปีที่ผ่านมาฝนไม่ตกเขาเองก็กระวนกระวายใจ หวังว่าพิธีในวันนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลเสียที กลับไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

     ในใจคิดถึงคำพูดของคนในเมืองหลวงที่ต่อว่าฮ่องเต้ ว่าเป็นคนที่พอได้ขึ้นครองราชก็ไม่มีฝนอีกเลยคล้ายดาวหายนะ ต่างมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นออกมา ปากชาวบ้านไหนเลยจะห้ามได้ พวกเขาต่างพากันพูดเช่นนั้นลับหลังฮ่องเต้ พากันกระจ่ายข่าวเสียหายออกไป จนตอนนี้ทุกคนมากกว่าครึ่งก็คิดเช่นนั้นไปแล้ว หากครานี้ฝนไม่ตกอีก ฮ่องเต้คงตกเป็นประเด็นในการพูดถึงอีกเช่นเคย บัลลังก์ของพระองค์ก็จะสั่นคลอนมากกว่าเดิม

     รอบนี้ดันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก หวังวั่งซูเลยคิดว่าอาจมีคนวางแผนไว้ให้พิธีกรรมวันนี้พังไม่เป็นท่า นักบวชนั้นไม่ใช่ว่าจะหามาเพิ่มไม่ได้ แต่ใกล้เปิดพิธีแล้วไม่น่าจะหาได้ทัน เพราะจากที่คาดการณ์ไว้นักบวชที่เขาเชิญมาในละแวกนี้ก็มากันหมดแล้ว แถมนักบวชที่ไม่ได้ซ้อมพิธีมาก่อนหากถูกจับเข้าไปรวมในนั้นยังไงก็ดูแปลกแยก เขาจะทำเช่นนั้นเพื่อหลอกลวงเบื้องสูงได้เช่นไร มีแต่จะพังไม่เป็นท่าเสียเปล่า

     มองดูนักบวชที่มากันครบยี่สิบสองคนแล้วก็ได้แต่หวั่นใจ

     "ท่านนักบวชหลวงเกิดอันใดขึ้นหรือ?" นักบวชของอารามแห่งหนึ่งดูเหมือนจะจับสังเกตได้เลยลองถามดู

     "เป็นเพราะนักบวชเฟิ่งปวดท้องไม่สามารถมาได้" นักบวชท่านหนึ่งที่อยู่อารามเดียวกับนักบวชเฟิ่งผู้นั้นก็ได้แต่ทำหน้าหนักใจ เป็นเหตุสุดวิสัยไม่มีใครในอารามอยากให้เกิดขึ้น แต่ทำอย่างไรได้ นักบวชเฟิ่งไม่สามารถแม้แต่จะมีแรงลุกขึ้นมาได้

     "เป็นเช่นนั้นหรือ แล้วเราจะทำยังไงดี" พอทุกคนได้รู้ข่าวก็พากันมองซ้ายมองขวาปรึกษากัน จนในที่สุดก็มีหนึ่งในนั้นพูดออกมา

     "เป็นไปได้รึไม่ที่จะให้นักบวชท่านอื่นมาร่วมพิธีแทน" ศิษย์พี่เอ้อร์ลองเสนอ

     "จะหาใครที่รู้พิธีแบบที่เราซ้อมเมื่อวานได้ทันกันเล่า" หวังวั่งซูกล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งเมื่อวานตอนนี้เต็มไปด้วยความร้อนรน

     "น้องเล็กของข้าไง! นางฉลาดมาก เมื่อวานนางอยู่ดูพิธีอยู่ด้วย นางต้องจำได้แน่" ศิษย์พี่อีก็เข้าใจทันทีว่าศิษย์น้องเอ้อร์ของตนหมายถึงใคร พวกเขานั้นรู้ว่านิสัยของน้องเล็กสามารถบวชได้แต่อาจารย์กลับไม่เคยยอม หากครั้งนี้นางได้มาร่วมพิธีในครั้งนี้ อาจารย์ของพวกเขาอาจเปลี่ยนใจก็ได้

     "มีนักบวชที่อารามของท่านอีกหรือ" หวังวั่งซูถามขึ้นทันที ทำไมเขาไม่ได้ยินเรื่องนี้ เท่าที่จำได้ที่อารามของหมู่บ้านมีนักบวชอยู่แค่ห้าคนซึ่งก็อยู่ที่นี่จนครบแล้ว

     "เออ เรียนท่านนักบวชหลวง น้องเล็กของข้าคล้ายผู้ฝึกตนแต่ยังไม่ได้ผ่านพิธี แต่ข้ามั่นใจได้ว่าพิธีในวันนี้จะไม่ผิดพลาด" ศิษย์พี่อีก้าวมาข้างหน้ายกมือขึ้นกลางอกท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทำให้ดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก

     "ไปเรียกเขามา!" หวังวั่งซูไม่มีทางเลือกจำต้องลองดู อย่างไรเสียฝนก็ไม่ตกมาถึงสองปีแล้ว หากพิธีวันนี้ผ่านไปไม่ตกอีกก็คงไม่เป็นที่น่าสงสัยอันใด ยามนี้เขาคงทำได้แค่ทำให้พิธีเสร็จสมบูรณ์ ไม่งั้นหากเกิดเรื่องขึ้นชีวิตของเขาอาจรักษาไว้ไม่ได้ เขาไม่ได้ห่วงตนเองขนาดนั้น แต่นักบวชทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ก็อาจจะไม่พ้นโทษนั้นด้วยเช่นกัน หากมีการประหารนักบวชเกิดขึ้นไม่แน่ว่าอาจทำให้แคว้นเซียวเปลี่ยนทิศทางไปในทางที่แย่ลงกว่าเดิมก็เป็นได้

     หลี่ลู่ซือได้แต่มองตามศิษย์คนที่สองของตนจากไป อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาไม่ได้ทันร้องห้าม ยัยเด็กตัวเล็กก็ถูกเสนอตัวมาในพิธีเสียแล้ว และดูท่านักบวชหลวงเองก็คงถึงทางตันแล้วจึงยอมให้คนที่ไม่ได้ทำพิธีบวชอย่างแท้จริงเข้ามาร่วมงานในพิธีกรรมครั้งนี้ด้วย

     ทว่าใครจะไปคิดว่าน้องเล็กที่คนจากอารามของหมู่บ้านพูดถึงกลับเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง!

     จูมี่เอินได้แต่เดินตามมาอย่างงงๆ วันนี้นางไม่ได้สวมโต่วลี่ปิดหน้าเพราะอยากเห็นพิธีได้เต็มสองตาอย่างชัดๆ จึงใส่ผ้าบางสีขาวปิดใบหน้ามาครึ่งหนึ่งแทน

     นางมองนักบวชรอบตัวก็แปลกใจก่อนจะมองนักบวชหลวงตรงหน้าตน มีอะไรกันหรือทำไมต้องมองนางเช่นนั้น

     "นางเป็นสตรี?!"

     หวังวั่งซู่ตกใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันไม่อาจรู้ได้ แน่นอนว่ามีอารามหลายแห่งที่มีนักบวชหญิง แต่พิธีของวังหลวงไม่เคยใช้นักบวชหญิงเลยสักครั้ง เพราะนักบวชหญิงยังไม่ได้ถูกเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน แถมนางก็ไม่ใช่นักบวชหญิงด้วย เป็นแค่คนในอารามเท่านั้น นี่มันเกินขอบเขตความถูกต้องไปไกลมาก

     "..." จูมี่เอินได้แต่แปลกใจ สรุปเกิดอันใดขึ้นหรือ นางเป็นสตรีแล้วยังไง

     "เอาเถอะๆ ให้นางรีบไปเปลี่ยนชุดใกล้ถึงเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จแล้ว" หวังวั่งซูทำอะไรไม่ได้แล้วในตอนนี้ จำต้องปล่อยผ่านไป วางตัวนางไว้หลังสุดของแถวเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตจนเกินไป ยังดีที่เขานำชุดมาเพื่อด้วยอีกหลายชุดเผื่อกันเหตุไม่คาดฝัน

     จูมี่เอินไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ รู้อีกทีตนก็สวมชุดสีขาวแบบศิษย์พี่ทั้งสี่ ถูกวางไว้แถวหลังสุดของขบวนนักบวชเสียแล้ว

     ตุ้มๆ !

     เสียงกลองดังลั่นไปทั่วท้องฟ้า งานพิธีเริ่มต้นขึ้นแล้ว

     ไม่นานขบวนเสด็จของฮ่องเต้ก็มาถึง

     อวี้ซูหนี่แต่งตัวงดงามในชุดสีขาว บนผมประดับไปด้วยปิ่นมากมายและเครื่องหัวที่ดูเกินงาม นางยืนอยู่ข้างทางเดินของพื้นที่ทำพิธี ก้มตัวลงที่พื้นรอรับเสด็จ ยามนั้นยังแอบเงยหน้าตางดงามขึ้นมองไปที่ฮ่องเต้ให้พระองค์ได้ยลโฉมนาง แต่กลับผิดคาด พระองค์ทรงเดินผ่านนางไปโดยไม่ชายตามองสักนิด

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 8

    วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 7

    "เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 6

    ...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 5

    "เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 4

    ....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 3

    ....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status