“หมอวินท์ค่ะ โถ ปล่อยให้นิ ถือสายรอตั้งนาน”
“ขอโทษครับ พอดีผมติดธุระสำคัญ” อนวินท์กดมือที่กอดอดีตภรรยาแน่น ต้นน้ำทั้งหยิกทั้งดิ้นเพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากการพันธนาการของอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะดุ้งสะเทือนแต่ทั้งกอดแน่น แล้วยังหอมแก้มติดๆ กันหลายครั้ง “เออ คือนิจะโทรมาถามว่า หมอวินท์จะมาที่บ้านนิกี่โมงคะ เดี๋ยวนิ จะให้พี่พรทำไข่พะโล้ของโปรดของคุณให้นะคะ” น้ำเสียงแพทย์หญิงนิภายังอ่อนหวาน อนวินท์ขยับตัวแล้วกางขา เพื่อให้ภรรยาสาว นั่งตรงกลางอย่างไม่สามารถดิ้นรน หลุดออกจากอ้อมแขนไปได้ ในขณะที่ต้นน้ำได้ยินเสียงแพทย์หญิงยังออดอ้อนอ่อนหวาน ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความหึงหวง แต่ไม่สามารถรับกับตัวเองว่า ตนเองยังรู้สึกหวงชายหนุ่มมิใช่น้อย “ไม่ต้องหรอกครับนิ ผมคงไม่ได้ไป และคงไม่ได้อีกนานเพราะตอนนี้ผมทำงานต่างจังหวัด ส่วนเรื่องที่บ้านนิ...” อนวินท์หยุดชะงักเมื่อรู้สึกว่าเกือบเผลอพูดความลับของอีกฝ่ายออกมา “เออ คือเรื่องที่บ้าน ผมจะให้รุ่นพี่ผมเข้าไปแทนนะครับ ถ้านิไม่มีอะไรแล้วผมคงต้องขอตัว เพราะติดธุระสำคัญมากๆ ครับ” อนวินท์กดปิดสายทันทีเมื่อรู้สึกปวดแสบที่แขน เมื่ออดีตภรรยาสาวทั้งจิกทั้งหยิกและข่วนจนเป็นรอยสีแดง อนวินท์กดปิดโทรศัพท์ทำให้ต้นน้ำมีช่วงโอกาสสปริงตัวลุกจากการกอดรัด หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินแต่ต้องผวาเมื่ออีกฝ่ายกระชากมืออย่างแรง ต้นน้ำสะบัดมือไปที่ใบหน้าของอดีตสามีอย่างที่ตนเองคิดว่าสุดกำลังอาจเป็นเพราะความโกรธ ความหึงหวง และเจ็บใจเมื่อนึกถึงภาพวาบหวามที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่นาทีนี้ ช่างน่าขายหน้าเสียเหลือเกิน แต่หญิงสาวปัดความผิดทั้งหมดเป็นของอีกฝ่าย อนวินท์หน้าแดงจากแรงสัมผัสจากฝ่ามือจนรู้สึกใบหน้าชา ชายหนุ่มหันกลับมามองอดีตภรรยาสาวด้วยความ งุนงง “คุณตบหน้าผมทำไม... เพราะผมลวนลามคุณอย่างงั้นเหรอ ผมก็เห็นหลายนาทีหลังคุณก็ร่วมมืออย่างดี ผมก็นึกว่าคุณชอบมากเสียอีก ร้องเสียงครวญครางเสียจนผมขนลุกเกรียวไปหมด” อนวินท์ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าเคร่งด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เมื่ออีกฝ่ายตบหน้าจนชาไปถึงใบหู “คนบ้า ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้ แล้วไปไหนก็ไป” ต้นน้ำตวาดเสียงดัง เมื่อภาพความหลังกำลังตัดผ่านเข้ามาราวกับหนัง “ไม่!! จนกว่าเราจะพูดให้รู้เรื่อง กลับไปนั่งที่โต๊ะ แล้วคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าไม่รู้เรื่องไม่ต้องกลับบ้าน”น้ำเสียงอนวินท์จริงจัง จนเกือบเหมือนตะคอก ต้นน้ำเชิดหน้า พยายามจะบิดข้อมือ แต่ถูกอีกฝ่ายดันให้กลับไปนั่งเกือบเหมือนกระชาก สัมผัสช่างแตกต่างจากไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ที่ทั้งกอดและหอมอย่างที่ต้นน้ำรู้สึกว่าอีกฝ่ายทะนุถนอมในตอนท้ายๆ “เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง วันนี้ เดี๋ยวนี้ด้วย” อนวินท์ผลักให้พยาบาลสาวนั่ง “ผมอยากรู้ว่า ผมทำผิดอะไร คุณถึงหนีผมไปแล้วยังปิดผมเรื่องลูกตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมา ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อย ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร ช่วยบอกทีถ้าผมทำผิดจริง ผมจะแก้ไขแล้วเราก็...” อนวินท์ยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินหญิงสาวสวนขึ้นทันที “คุณไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่ให้คนอื่นมาบอกคุณยังงั้นเหรอ ตลกจัง” “นั่นสิ แต่เชื่อไหม ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมทำผิดอะไร” อนวินท์พูดน้ำเสียงอย่างที่รู้สึกไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ “น้ำ เรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่อย่างที่คุณจะปฏิเสธไม่ได้ เรามีลูกด้วยกัน ซึ่งผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นลูกผม การที่คุณไปจดทะเบียนกับไอ้เพื่อนหน้าตี๋ของคุณ ทะเบียนสมรสใบนั้นไม่มีผลนะครับ มันเป็นโมฆะเพราะมันเป็นการจดทะเบียนซ้อน รู้ตัวไหม” อนวินท์พูดยาว ต้นน้ำรู้สึกงงกับคำพูดของอีกฝ่าย ในหัวก็คิดว่าชายหนุ่มกำลังหลอกลวงหรือพูดเรื่องจริง ตกลงเขายังไม่ได้หย่ากับตนเองจริงๆ เหรอ แล้วคนอย่างแพทย์หญิงนิภาจะยอมมีความสัมพันธ์โดยไม่ผูกมัดเป็นไปไม่ได้ หญิงสาวเหม่อลอยเมื่อรู้สึกสับสนระหว่างสิ่งที่ตนเองเผชิญ กับสิ่งที่ชายหนุ่มบอก “ตกลงจะบอกได้หรือยัง โกรธเรื่องอะไรถึงหนีหายหน้ากันไป” อนวินท์ขยับมากุมข้อมือหญิงสาวเอาไว้ ต้นน้ำสะบัดออกราวกับของร้อน มองชายหนุ่มที่เป็นทั้งพ่อของลูก และอดีตสามี ที่เพิ่งได้เจอกันเป็นครั้งที่สอง ในรอบสี่ปี “นึกไม่ออกหรือไงว่าทำอะไรไว้ ก็ได้ ฉันก็อยากจะฟังเหมือนกันว่าคุณจะตอบว่าไง คราวนี้ฉันไม่ได้คาดหวังกับคุณ เหมือนเมื่อสี่ปีที่แล้ว” ต้นน้ำยืนขึ้น แล้วกอดอก หัวใจเต้นแรงลุ้นอยู่ว่า ชายหนุ่มจะตอบว่าอย่างไร เมื่อมันจะเป็นความหวังอันแค่น้อยนิด แต่หญิงสาวก็แอบมีความหวัง “คืนวันครบรอบแต่งงาน คุณอยู่ที่ไหนค่ะคุณหมอ” ต้นน้ำรู้สึกจุกที่ลำคอ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรอระเบิดเวลาที่มันกำลังจะระเบิดหรือหยุดเดินทุกๆ นาที อนวินท์ขมวดคิ้วก่อนตอบ “ก็ทำงาน ผมขอโทษคุณในตอนเช้าแล้วนี่ว่าติดเคสสำคัญจริงๆ แล้วผมจำได้ว่า ผมนัดคุณจะพาคุณไปทานข้าวกับที่บ้านวันเสาร์” ต้นน้ำยืนขาสั่น น้ำตาคลอด้วยความเจ็บปวด มือสั่นจนต้องแอบจิกที่แขนของตนเอง “ฉันไม่น่าเลย ไม่น่าจะฟัง คำโกหก หลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณมัน....” ต้นน้ำหยุดหายใจ เมื่อรู้สึกจุกที่ลำคอจนพูดแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง “ผมทำงานจริงๆ นะครับวันนั้น คุณไม่เชื่อหรือไง” อนวินท์รู้สึกงุนงงกับปฏิกิริยาของอดีตภรรยาสาว ต้นน้ำเลือกที่จะเดินหนี แต่ถูกชายหนุ่มคว้าข้อมือ หญิงสาวรู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสี่ปีที่แล้วยังย้อนเข้ามาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ภาพชายหนุ่มที่เป็นสามีออกมาจากบ้านแพทย์หญิงนิภา ต้นน้ำจำได้ว่าเธอได้ซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปกับเพื่อนสนิทคนเดียวกับที่ถูกพักงานด้วยฝีมือของชายหนุ่ม หญิงสาวคว้าปิ่นโตที่มีข้าวปาใส่ชายหนุ่มด้วยความโมโห อนวินท์หลบแต่ข้าวก็กระจายเต็มพื้น ชายหนุ่มอึ้งกับปฏิกิริยาฉุนเฉียวของอดีตภรรยาสาว “นี่หยุดนะ หยุดอาละวาดแล้วมาคุยกันให้รู้เรื่อง” น้ำเสียงของนายแพทย์หนุ่มเริ่มแสดงความไม่พอใจ เมื่อข้าวกระจายลงเต็มพื้น ยังไม่รวมกับใบหน้าที่ยังไม่หายปวดแสบปวดร้อน “ฉันไม่น่าโง่มานั่งฟังคุยให้เสียเวลาเลย เสียดายเวลาที่ฉันหลงรัก รักชื่นชมคุณมาตลอดสิบกว่าปี แต่คุณมันก็เลวได้โล่จริงๆ คุณว่าคุณทำงานงั้นเหรอ งานที่ไหนล่ะ ฉันไปหาคุณที่โรงพยาบาลไปนั่งรอคุณอยู่ตั้งนาน ตกลงคุณปัญญาเสื่อม หรือฉันกันแน่ แต่รู้ไหมฉันไปเจอสามีฉันอยู่ที่ไหน..หึบ้านเพื่อนสนิทอยู่กันจนเกือบสว่างเชียว คุณช่วยดูหน่อยหัวฉันเนี่ยมีเขาหรือเปล่าที่จะถูกคุณสนตะพาย ครั้งแล้วครั้งเล่า” ต้นน้ำหอบด้วยความเหนื่อย เพราะพูดโดยไม่มีจังหวะว่างให้หายใจ “ผมอธิบายได้นะ วันนั้นผมไปทำงานจริงๆ” “คุณไม่ต้องเล่าค่ะ เพราะมีคนช่วยเล่าให้ฉันฟัง จนฉันตาสว่างพอแล้ว” ต้นน้ำจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นเฉียบ “ตกลง หมอนิ เล่าให้คุณฟังแล้วใช่ไหมว่าทำไมผมต้องไปบ้านเขา แล้วอยู่จนเกือบสว่าง จริงๆผมก็ไม่อยากปิดคุณหรอกนะ แต่มันเป็นความลับของ....” “พอ ไม่ต้องอธิบาย พอกันทีไม่ต้องมาพูดถึงผู้หญิงคนนั้นให้ฉันได้ยิน แล้วคุณด้วยต่อไปก็เกี่ยวข้องกันแค่เรื่องงาน เรื่องของเรามันจบไปตั้งนานแล้ว” ต้นน้ำรอจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังเผลอ ผลักชายหนุ่มแล้วตัวเองก็วิ่งหนีออกจากบ้าน ไปทางหลังสวนในขณะที่อนวินท์ล้มลงหัวไปโขกกับขอบโต๊ะจนเลือดซึม ชายหนุ่มไม่ได้ห่วงว่าตนเองเจ็บ รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามอดีตภรรยาสาวออกไป รู้สึกสับสนกับสิ่งที่หญิงสาวกระทำตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ กรุงเทพฯ แพทย์หญิงนิภานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มือยังกำมือถือแน่น หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วนึกถึงคำพูดของนายแพทย์อนวินท์แล้วคิดไปคิดมาจนปวดหัว ภาพของลูกสาวที่ใบหน้าหงิกงอตั้งแต่วางสาย ทำให้คุณหญิงอำภาที่นั่งรถเข็น ขยับเข้ามาใกล้ๆ บุตรสาวเพียงคนเดียว มือเอื้อมมาจับมือของบุตรสาว แพทย์หญิงนิภาดึงมือออกด้วยความหงุดหงิด “อย่าเพิ่งกวนได้ไหมแม่ นิกำลังคิดอยู่ว่าทำไมหมอวินท์ถึงมาตรวจแม่ไม่ได้ ปกติหมอวินท์ไม่เคยเหลวไหล” แพทย์หญิงนิภากัดริมฝีปากคิดอย่างหนัก “แม่ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ไม่ต้องตรวจก็ได้” คุณหญิงนิภาพูดน้ำเสียงอ่อน และนุ่มนวล “นิไม่ได้ขอความเห็นแม่นะ เมื่อกี้น่าจะให้แม่คุยกับหมอวินท์ รับรองหมอต้องมาแน่ๆ” แพทย์หญิงนิภาพูด ใบหน้ายังบึ้งตึง “มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนิ แม่ว่าลูกตัดใจเสียเถอะ เราทำผิดกับเขามากพอแล้ว” แพทย์หญิงนิภากรีดร้องด้วยความไม่พอใจ “แม่.....หยุดพูดได้ไหม นิกำลังคิดอยู่ว่าต้องทำยังไง แม่เลิกออกความคิดเสียที ก็ไหนแม่บอกว่าอยากให้นิมีคนดูแล มีครอบครัวไงคะ คนนี้แหละที่นิต้องการและต้องเอาให้ได้ ไม่ว่าจะแลกกับอะไร” น้ำเสียงแพทย์หญิงนิภาเกรี้ยวกราดนัยน์ตาดุดัน ต้นน้ำวิ่งลัดรั้วอย่างรวดเร็ว ภาพในอดีตวิ่งผ่านเข้ามาในความคิดช่างชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ หัวใจยังเจ็บแปลบ หญิงสาวเคยหลอกตัวเองตลอดเวลาว่าเธอได้ลืมอดีตจนเกือบหมดสิ้นแล้ว แต่วันนี้เพิ่งประจักษ์กับตนเองว่ามันไม่เคยเลือนหายไปจากความคิดสักชั่ววินาที น้ำตายังไหลนองหน้า แล้วรู้สึกอยากตบหน้าตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เผลอไปร่วมมือกับอดีตสามี รู้สึกขายหน้าตัวเองยิ่งนักแล้วอย่างนี้จะต้องทนทำงานด้วยกันอีกสามเดือน ไหนต้องอยู่บ้านใกล้กันแค่นี้ อีกทั้งเรื่องที่ชายหนุ่มจะเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูอีก หญิงสาวรู้สึกปวดหัวขึ้นทันควันราวกับไมเกรนชนิดเฉียบพลัน เมื่อวิ่งผ่านเข้ามาในเขตรั้วบ้านตัวเอง ต้นน้ำวิ่งเกือบชนเข้ากับร่างชายหนุ่มที่กำลังจะเดินเข้าบ้าน หญิงสาวเกือบล้มแต่มีมือเอื้อมมารับร่างหญิงสาวเอาไว้ “น้ำ...ไปทำอะไรมา” น้ำเสียง เรย์ รัตนชาติ ตกใจเมื่อเห็นสภาพเพื่อนสาว ชายหนุ่มมองตามใบหน้า และตามร่างกายของเพื่อนสาว คนสนิทเพียงไม่กี่คนในชีวิต “เรย์...เรย์ ฉัน...ฉัน” ต้นน้ำโผเข้ากอดเพื่อนรัก เหมือนต้องการที่พึ่งพิง เรย์หันไปมองต้นทางที่หญิงสาววิ่งออกมา ก็พอนึกอะไรอะไรออกเพียงคร่าวๆ ชายหนุ่มกอดเพื่อนสาวอย่างต้องการปลอบประโลม “แกไม่ต้องพูด แกยังไม่ต้องพูดหรอกถ้ายังไม่พร้อม อยากร้องก็ร้องออกมาเพื่อน” เรย์ลูบหลังเพื่อนสาวไปมา อย่างอ่อนโยน อนวินท์ชะงักเท้า เมื่อเห็นภาพอดีตภรรยากำลังกอดกับชายอื่น นายแพทย์หนุ่มจ้องมองภาพนั้นแววตาผิดหวัง โกรธจนต้องกำมือไว้แน่น ชายหนุ่มเหลียวหลังจะเดินกลับ เดินไปแค่สองก้าวก็เปลี่ยนใจหันกลับมาเดินตรงเข้าไปหาอดีตภรรยาและชายหนุ่มหน้าตี๋ ด้วยความมุ่งมั่น เสียงกระแอมทำให้ เรย์ รัตนชาติชะงักแล้วค่อยๆ ปล่อยมือที่โอบกอดเพื่อนสาว ต้นน้ำเชิดหน้าแล้วหันกลับมา มือปาดน้ำตาแล้วยืนทำใบหน้าเรียบเฉย “พี่มีเรื่องสำคัญต้องตกลงกับน้ำ ขอเวลาส่วนตัวด้วยนะครับ” ประโยคหลัง นายแพทย์อนวินท์หันไปพูดกับชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ ภรรยาสาว น้ำเสียงเย็นเฉียบ “อ๋อ ครับ ตามสบาย” เรย์ รัตนชาติ ใช้มือดันแผ่นหลังเพื่อนสาว แถมก้มลงกระซิบข้างๆ หู เบาๆ “รีบไป ยัยน้ำก่อนที่พี่หมอแกจะฆ่าฉันด้วยสายตาพิฆาต” ต้นน้ำเดินตามอดีตสามี ผู้ชายเพียงคนเดียวที่มีอิทธิพลในใจเธอ จนกระทั่งอนวินท์เดินไปหยุดที่ต้นไม้ร่มรื่นที่มีลมพัดโกรกเย็นสบาย แต่ต้นน้ำรู้สึกตัวเองร้อนจัด เมื่อภาพพิศวาสที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มันตามมาหลอกหลอน หญิงสาวรู้สึกอายที่ตนเองเผลอตัวและเกือบจะเผลอใจ นี่ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ อะไรจะเกิดขึ้น หญิงสาวรู้สึกขนลุกเกรียวจนต้องหลับตา อนวินท์หันกลับมา ใบหน้าเคร่งขรึมต้นน้ำลืมตาขึ้นพร้อมสูดลมหายใจเพื่อตั้งรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น “พี่มีเรื่องจะตกลงกับน้ำ” “ก็ว่ามาสิคะ ดิฉันรออยู่” ต้นน้ำพยายามทำเสียงแข็ง “ในเมื่อน้ำไม่ให้นนท์มาอยู่กับพี่ พี่ก็จะย้ายมาอยู่กับนนท์ที่บ้านน้ำ” อนวินท์พูดน้ำเสียงเคร่งขรึมแต่จริงจัง ต้นน้ำตกใจ ตาโตแล้วรีบพูดเกือบเป็นตวาด “ไม่ได้ คุณจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” “ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อพี่เป็นพ่อ พี่ก็อยากมีส่วนร่วมที่จะได้เลี้ยงลูกมีเวลาอยู่กับนนท์บ้าง พี่เสียเวลาไปสามปีกว่าแล้ว ต่อไปพี่จะยอมเสียเวลาอีก” น้ำเสียงอนวินท์แข็งกร้าว “ถ้าฉันไม่ยอม” “น้ำควรจะกลับมาเรียกแทนตัวเองเหมือนเดิม นี่คือคำสั่งแรก” อนวินท์จ้องตาดุ ต้นน้ำขยับตัว เพราะรู้สึกถูกจ้องจนรู้สึกทำตัวเองไม่ถูก และโดยสัญชาตญาณบอกให้เธอรู้ว่าอดีตสามีหนุ่มเอาจริงแน่ๆ หญิงสาวนึกไปถึงคลิปที่ชายหนุ่มเอามาให้ดู แล้วนึกกังวลใจ “น้ำคงไม่อยากให้จอยมีปัญหาสินะ”ในขณะที่จอยผลักให้ต้นน้ำเดิน เพราะหญิงสาวกำลังตกตะลึง.. ต้นน้ำวิ่งย้อนขึ้นกลับไปบนบันไดเลื่อน ในขณะที่อนวินท์วิ่งลงมา ภาพประทับใจแบบนี้ ทำให้จอยถึงกลับต้องตบมือด้วยความซาบซึ้ง ต้นน้ำวิ่งเข้าสวมกอดอนวินท์ทันที “น้ำขอโทษ น้ำเสียใจที่เอาแต่ใจ น้ำน่าจะเชื่อใจพี่หมอมากกว่านี้ น้ำมันงี่เง่าเอง” ต้นน้ำร่ายยาว อนวินทร์สวมกอดภรรยาสาวแน่น มองหน้าภรรยาสาว ตาบวมแดง จมูกแดง ปากสั่นๆขณะพูด ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนก้มลงจูบภรรยาสาวในขณะที่หญิงสาวละล่ำละลักพูด ต้นน้ำตกใจหัวใจเต้นแรง จูบตอบชายหนุ่มด้วยความโหยหา แม้ว่ารสจูบจะหนักหน่วง แต่ต้นน้ำไม่ขัดขืนเพราะเธอก็คิดถึงอ้อมกอดนี้ ริมฝีปากนี้ แล้วยิ่งรู้ว่าจะต้องจากชายหนุ่มนาน หญิงสาวใช้มือโอบรอบต้นคอ จอยอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นเป็นสิบวินาที “โห จะเลิฟซีนก็สะกิดก่อนสิ จะได้หลบไปไกลๆ เอามาให้คนโสด อิจฉา” จอยบ่นก่อนเดินหันหลังลงบันไดเลื่อนด้วยความเซ็ง แต่ก็เพียงแป๊ปเดียวก็หันมาถ่ายรูปที่คุณหมอหนุ่มชื่อดัง และภรรยาสาว กำลังแลกจูบกันไปมาด้วยความคิดถึง “แหม ลีมินโฮ ก็ลีมินโฮ เถอะ เจอคุณหมอวินท์ชิดซ้าย เล่นมาจูบกลางสนามบินสุวรรณภูมิงี้” จอยหันไปมองผู้คนรอบข้างที่
อนวินท์เมื่อวางสายจากลูกชาย ก็มองไปที่แบตเตอรี่ที่บอกสัญญาณว่าจะใกล้หมด เหลือเพียงสี่เปอร์เซนต์ เมื่อค้นหาพาวเวอร์แบงก์ก็ต้องหงุดหงิดว่าลืมเอาใส่กระเป๋าโหลดลงเครื่องไป ชายหนุ่มตัดสินใจปิดเครื่องทันที โดยไม่ได้เปิดไปมองโปรแกรมยอดฮิต ที่มีข้อความเข้ามานับสิบข้อความ ต้นน้ำพยายามที่จะโทรศัพท์อีก แต่คราวนี้ เหมือนกับว่าเจ้าของเครื่องได้ทำการปิดเครื่องแล้ว “พี่หมอปิดเครื่องแล้ว เมื่อกี้สายไม่ว่าง แต่คราวนี้ปิดเครื่องไปเลย เอาไงดีจอย” ต้นน้ำพูดน้ำเสียงร้อนรนจอยนิ่งคิด เมื่อได้ยินเสียงผู้ประกาศสาวที่กำลังประกาศ น้ำเสียงอ่อนหวาน ก็ดีดนิ้ว เมื่อนึกอะไรออก“ไปกับฉันแก เราต้องพึ่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ มันเป็นโอกาสสุดท้ายล่ะ ถ้าไม่ได้ทางนี้ แกคงต้องรอคุณหมอที่บ้านแหละ”“ไปเถอะ โอกาสสุดท้ายฉันก็ยอม ฉันรอพี่หมอได้ แต่ฉันอยากจะใช้โอกาสสุดท้ายของฉัน แค่ได้บอกเค้าก็ยังดี”“งั้นไปกัน”ประกาศ ผู้โดยสารที่ชื่อว่า คุณอนวินท์ เลิศวสิน กรุณาเปิดเครื่องสื่อสารของท่าน ทางบ้านมีเรื่องด่วนแต่ติดต่อไม่ได้ค่ะประกาศอีกครั้ง ประชาสัมพันธ์สาวพูดย้ำอีกรอบ อนวินท์ยืนนิ่งเมื่อได้ยินเหมือนเสียงเรียกชื่อตนเอง ชายหนุ่มขมวด
จอย หันไปมองเพื่อนสาว ที่บางทีก็หัวเราะ บางทีก็ร้องไห้ ระหว่างที่ตนขับรถ คิ้วขมวด ก่อนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“แกเป็นอะไรน้ำ เสียใจจนเป็นบ้าไปเลยเหรอ คุณหมอยังไม่ได้ทิ้งแกหรอกนะ”“ไม่...ฉันอ่านข้อความที่พี่หมอเขียน ดูสิ สติ๊กเกอร์ พี่หมอเอาเวลาไหนไปโหลดมา ปกติใช้แต่ของฟรี” ต้นน้ำหัวเราะเบาๆ พร้อมปาดน้ำตา “สรุปแล้วฉันเข้าใจผิดพี่หมอหมดเลย..ทำยังไงดีล่ะแก ฉันจะเอาหน้าไหนไปสู้กับพี่หมอได้ล่ะ ต่อว่าเค้ามากมาย ทั้งเรื่องแม่ของหมอนิ ทั้งเรื่องที่โรงแรมที่เชียงใหม่ ว่าแต่แกรู้เรื่องพี่หมอสุชาติด้วยเหรอ ทำไมแกไม่เล่าให้ฉันฟัง” ต้นน้ำเขย่าแขนเพื่อนสาว หลังจากอ่านข้อความไปเกินสิบหน้า “ก็ตอนนั้นแกไม่มาทำงาน แล้วงานโรงพยาบาลเวลาไม่มีแก ก็ยุ่งๆ” จอยหันมาตอบเสียงอ่อย“มันคงเป็นเวรกรรมของฉันมั้ง ไปว่าพี่หมอให้มากมาย ถ้าฉันไปไม่ทันจริงๆ แล้วพี่หมอไปนาน ๆฉันต้องคลอดลูกคนเดียวอีกเหรอเนี่ย” ต้นน้ำทำเสียงเศร้า หญิงสาวเลื่อนหน้าจอมาเจอคลิปวีดีโอ แล้วเปิดฟังทรมานไปทั้งหัวใจทุกครั้งที่เราได้ชิดใกล้ แต่พูดความจริงไม่ได้...ได้แต่เก็บอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะรู้หัวใจได้โปรดมองในตาฉัน มองที่ตรงนั
โรงพยาบาลเลิศวสินต้นน้ำลงจากรถวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล ราวร่างไร้หัวใจ กว่าชั่วโมงที่ตามหาชายหนุ่มแต่ไม่พบทำให้ต้นน้ำรู้สึกถึงความผิดปรกติ หญิงสาวแทบวิ่งถลาไปที่ห้องทำงาน เห็นเพื่อนสาวคนสนิทกำลังทำงานอย่างวุ่นวาย “จอย” ต้นน้ำตะโกนเรียกไปก่อนพยาบาลจอย สะดุ้งก่อนมองไปที่ต้นเสียง แว๊บแรก แสดงความตื่นเต้น แต่เมื่อนึกถึงว่า ตลอดหลายวันมานี่ ไม่ว่าเธอพยายามติดต่อหญิงสาวอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ ทำให้จอยรู้สึกน้อยใจเพื่อนสาว ทั้งน้อยใจของตัวเองและยังโกรธเพื่อน เพราะสงสารเจ้านายหนุ่ม ที่ตลอดหลายวันตั้งแต่หญิงสาวหายไป นายแพทย์หนุ่มทั้งเครียด และไม่ได้ดูแลตัวเองเลย จอยแกล้งทำงานต่อไปราวกับไม่ได้ยินเสียงเพื่อนรัก“จอย พี่หมออยู่ไหน” ต้นน้ำถาม เมื่อเดินมายืนตรงหน้า “แกสนใจด้วยเหรอ หายไปไหนมา ทั้งฉันทั้งพี่หมอติดต่อแกไม่ได้ ตอนนี้จะมาถามหา ช้าไปหน่อยไหม” จอยพูดประชดแล้วทำงานต่อ“แกอย่าเพิ่งโกรธฉันนะ ฉันไม่สบายนอนโรงพยาบาล แล้วลืมเอาที่ชาร์ตโทรศัพท์ไปด้วย แบตหมดตั้งแต่วันแรกแล้วมั้ง ฉันรู้ข่าวหมอนิ ตกลงเป็นยังไง”จอยได้ฟัง แล้วเงยหน้ามองเพื่อนที่ท่าทางดูอิดโรยก็รู้สึกตัว รีบลุกขึ้นมาโอบกอดเพื่อนสาวแน่
พิพัฒนพงษ์ตรีรินทร์ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ก็เหลียวไปมอง ก่อนจะเดินไปรับสายโทรศัพท์ “พิพัฒนพงษ์ค่ะ”“คุณแม่ครับ คุณแม่ติดต่อน้ำได้หรือเปล่า”“ยังเลยตาหมอ”อนวินท์มีใบหน้าสลดลง ถอนหายใจ “คุณแม่ครับ ผมต้องเดินทางไปประชุมงานที่ญี่ปุ่นสักพักฝากคุณแม่ดูแลน้องนนท์ ผมโทรหาเมื่อกี้เห็นบอกว่าไปแคมป์กับน้องกายที่เขาใหญ่”“ใช่จ๊ะ ตาหมอไม่ต้องเป็นห่วง แม่จะดูแลตานนท์ให้จ๊ะ”อนวินท์วางโทรศัพท์ กลับไปที่บ้านชายหนุ่มเดินไปทั่วบ้านด้วยความรู้สึกเหงา บ้านที่ปราศจากหญิงสาวและลูกชายตัวน้อย ดูเงียบสนิท ภาพความทรงจำเก่าๆ จะเห็นหญิงสาวในห้องครัวทำอาหารมีลูกชายตัวน้อยนั่งอยู่ใกล้ๆ บนเก้าอี้ในห้องครัว อนวินท์กอดอกนึกย้อนภาพเก่าๆ อย่างมีความสุข เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน อนวินท์ออกไปต้อนรับ“ขอบคุณมากจอย” “ไม่เป็นไรค่ะหมอ” จอยตอบ ขณะที่มีพนักงานบริษัทอีเว้นต์แพลนเนอร์ชื่อดัง อีกสามคนเดินตามมาอนวินท์เดินนำเข้าไปในบ้าน อีกหลายชั่วโมงต่อมาทั้งบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้ ลูกโป่ง จัดแต่งอย่างสวยงาม โรแมนติค จอยมองรอบๆ บ้านหลังน้อยที่ถูกตกแต่งในแต่ละห้องอย่างสวยงาม ทั้งดอกไม้ ลูกโป่ง ข้อความ หญิงสาวมองด้วยความซาบซึ้ง“โห โรแ
โรงพยาบาลเลิศวสินจอยเอาอาหารและน้ำมาเสิร์ฟ ให้นายแพทย์อนวินท์ ที่นั่งสะสางงานจนดึกด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่กลับจากสถานีตำรวจ นายแพทย์หนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง เกือบครึ่งวัน“หมอคะ ทานอะไรสักหน่อย ตั้งแต่เช้าจอยยังไม่เห็นหมอทานอะไรเลย” พยาบาลสาวมองนายแพทย์ที่เป็นทั้งสามีเพื่อนและเจ้านายด้วยความเป็นห่วง “วางไว้ตรงนั้นแหละจอยขอบใจมาก อืมคุณติดต่อน้ำได้ไหม ผมติดต่อไม่ได้เลย” อนวินท์มีสีหน้าเป็นกังวล“ไม่ได้เหมือนกันค่ะ กลับมาจอยจัดการให้พี่หมอเลย งอนเป็นนางเอกละครไทยไปได้” จอยพูดน้ำเสียงหงุดหงิด“น้ำคงมีเหตุผล นั่งสิจอยผมมีเรื่องอยากถาม”“น้ำเขาเคยพูดเรื่อง วันครบรอบแต่งงานสี่ปีก่อน ก่อนที่เขาจะหนีผมไป คุณอยู่ในเหตุการณ์ ไหนเล่าให้ฟังสิ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมอยากรู้อะไรทำให้เขาน้อยใจ เพราะปรกติแค่เรื่องผมไม่กลับบ้านติดคนไข้ ไม่น่าจะทำให้เขาโกรธขนาดนี้”อีกสามสิบนาทีต่อมา อนวินท์ก็พอปะติปะต่อ เรื่องต่างๆ ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว“ผมเป็นต้นเหตุกับเรื่องต่างๆ นี้เอง”“ยัยน้ำเป็นคนอ่อนไหว เพราะเป็นลูกสาวคนกลาง คิดว่าพ่อแม่ไม่ค่อยรัก เกี่ยวกับคุณหมอ น้ำมันฝังใจมาตลอดว่าเพราะคุณหมออกหัก