 LOGIN
LOGIN“เอ่อ...ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ คือฉันเป็นห่วงว่าคุณหนูซูจิ้งหนานจะแพ้ฝุ่นน่ะค่ะ คุณเคยบอกว่าร่างกายของเธออ่อนแอตั้งแต่เล็กไม่ใช่เหรอคะ ถ้าอยากจะเข้าไปจริง ๆ เดี๋ยวฉันเรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดก่อนดีกว่านะคะ”
ไป๋หรูอิงวิ่งเข้าไปขวางสองพ่อลูก ก่อนจะหันไปทางซูเหยียนหลิงให้คิดหาทางออกเรื่องนี้
แต่ดูเหมือนว่าลูกสาวของเธอจะไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา
“คุณพ่อคะ...ถ้าซูจิ้งหนานไม่อยากให้หนูได้ชุดใหม่ก็ไม่เป็นไรนะคะ แต่ไม่เห็นต้องเข้าไปเอาชุดเก่า ๆ ไร้ค่าแบบนั้นเลยมันไม่เหมาะกับคุณหนูตระกูลซูเลยสักนิด”
ไป๋หรูอิงเบิกตากว้างทันที ที่ลูกสาวดันหลุดคำว่า ‘ชุดเก่าไร้ค่า’ เพราะของทุกสิ่งของตระกูลหลิวมันมีค่ามากสำหรับซูเหวินเฉียง และยังไม่ทันที่เธอได้เอ่ยแก้ต่างให้กับลูกสาว สายตาวาวไหวด้วยเพลิงโทสะตวัดไปทางซูเหยียนหลิงทันที
“ลูกว่าอะไรไร้ค่านะ หลิงหลิง”
เสียงเคร่งเครียดกล่าวออกมานั่นทำให้ซูเหยียนหลิง ยิ่งไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไรผิด ในเมื่อเธอพูดให้ซูจิ้งหนานเป็นคนผิดแท้ ๆ ไม่ใช่หรือไง ซึ่งปกติคุณพ่อจะโอ๋เธอที่ชอบพูดถึงตัวเองด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
แล้วทำไมวันนี้ถึง...
“คะ...คุณ...อย่าดุหลิงหลิงเลยนะคะ แกยังเด็ก”
คำว่าแกยังเด็ก ซูจิ้งหนานฟังแล้วระคายหูเหลือเกิน อายุก็สิบเจ็ดสิบแปดแล้ว จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมเธออีกต่างหาก
นี่ไม่เรียกว่าเด็กหรอกนะ เรียกว่าปากไม่มีหูรูดต่างหาก แต่ยายหลิงหลิงอะไรนี่คงไม่รู้สินะ คำว่าไร้ค่า ห้ามเอ่ยกับสิ่งของตระกูลหลิว และหมายรวมถึงแม่ของเธอด้วย
ซูเหวินเฉียงรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร ไม่เช่นนั้นคงไม่กัดฟันเลี้ยงซูจิ้งหนานเอาไว้ ทั้งที่สร้างเรื่องทะเลาะกับแม่เลี้ยงไม่เว้นวันแบบนี้หรอก
แต่ว่า...น้ำตาไม่ได้มีแค่สองแม่ลูกนั้นหรอก...เธอเองก็มีเหมือนกัน
ฮึก!
ซูจิ้งหนานทำสีหน้าเจ็บปวด ดวงตาแดงก่ำทั้งร่ำไห้ออกมาทันที พร้อมกับความคิดว่า อดีตนางร้ายไม่เคยใช้มารยาเลย น่าหงุดหงิดชะมัด
“ทำไมเหรอคะคุณพ่อ พอแม่ไม่อยู่สิ่งของเหล่านี้ของแม่ก็ไร้ค่าเหรอคะ คุณพ่อคงลืมแล้วสินะคะ...ฮื้อ...” ซูจิ้งหนานใช้ช่วงที่สองแม่ลูกนี้กำลังหลั่งน้ำตาเล่นบทดรามา เธอก็ดรามากลับด้วยการวิ่งไปที่ห้องของแม่ แล้วผลักประตูแรง ๆ
ปัง!
แน่นอนว่าไม่ใช้มือผลัก แต่เป็นเท้าของเธอต่างหาก ที่ผลักมันสุดแรงแล้วซูเหวินเฉียงเองก็เลือกจะวิ่งตามมาปลอบใจเธอ
ไม่ใช่เพราะรักเธอหรอกนะ แต่เพราะพันธะสัญญาต่างหากที่ทำให้ความเป็นพ่อลูกของเจ้าของร่างกับซูเหวิน เฉียงยังไม่ขาดจากกัน
“หนานหนานลูกรัก...ลูกอย่าพูดอย่างนั้นสิ”
เสียงก้าวเท้ายาว ๆ ตามลูกสาวเข้าไปในห้อง แต่ทว่าซูจิ้งหนานที่ถึงก่อนและยืนหันหลังพร้อมกับแสยะยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว กับภาพเบื้องหน้าที่เห็น เพียงแค่รอให้คุณพ่อมาเห็นกับตาตัวเองเท่านั้น
ไป๋หรูอิงผงะ ไม่คิดว่าซูจิ้งหนานจะพังประตูเข้าไป เธอเอากุญแจคล้องไว้ อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาได้นิดหน่อยเพื่อจัดการที่เหลือให้เรียบร้อย แต่เธอคะเนผิดพลาด เมื่อซูจิ้ง หนานเข้าไปยังห้องนั้น และรั้งเอาสามีที่หลงรักเธอหัวปักหัวปำเข้าไปด้วย
“ดะ...เดี๋ยวค่ะคุณ” ไป๋หรูอิงขยับเท้าผลักหลิงหลิงไปอีกฝั่งเพื่อไม่ให้ขวาง ทำให้ร่างของซูเหยียนหลิงไป กระแทกกับขอบราวบันได
ปัก!
“ว้าย...มะ...แม่” ซูเหยียนหลิงจะร้องก็ร้องไม่ออก มันจุกไปทั้งท้องเพราะว่าแรงผลักของแม่ที่ตื่นตระหนกนั้นมันรุนแรงเหลือเกิน
ร่างของซูเหยียนหลิงทรุดลงกับบันได มองตามร่างของแม่ที่ขึ้นไปตามพ่อและน้องสาวของเธอที่วิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้าไปในห้องของอดีตภรรยาของพ่อ
‘สร้างแต่เรื่อง’
ซูเหยียนหลิงเจ็บใจนัก ที่แม่ทำกับเธอแบบนี้ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้มาก ทั้งเรียกร้องความสงสารจากใครไม่ได้ด้วย ตอนนี้ทำได้แค่...พยุงตัวเองให้ลุกขึ้น
แต่จากตรงนี้ก็สามารถได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นในห้องนั้นได้
กรี๊ด....!
เพียะ!
เสียงกรีดร้องของซูจิ้งหนาน พร้อมกับเสียงตบลงไปทำให้ซูเหยียนหลิงเหยียดยิ้ม อย่างน้อย ๆ ซูจิ้งหนานก็ทำให้พ่อบันดาลโทสะและลงไม้ลงกับเธออีกครั้ง
แม่เอาอยู่จริง ๆ เธอเชื่อเลย เดี๋ยวเธอยังไม่ต้องลุกดีกว่า นั่งรอตรงนี้พ่อจะได้สงสารอุ้มเธอขึ้นแล้วก็เกลียดซูจิ้งหนานมากขึ้นอีก ยิ่งเติมเชื้อเพลิงโกรธให้กับพ่อ ย่อมดีกับเธอ
อีกหน่อยซูจิ้งหนานสร้างเรื่องมากขึ้น และขายหน้าเรื่อย ๆ สุดท้ายพ่อคงไม่เก็บยัยปากเสียนั่นไว้ และเธอก็จะได้เป็นลูกสาวตระกูลซูเพียงผู้เดียว และไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครอีก
แต่ดูเหมือนสิ่งที่ซูเหยียนหลิงคาดการณ์มาทั้งหมด ก็ถึงเวลาแล้วสินะ เมื่อได้ยินเสียงวิ่งกระแทกเท้าลงมาจากห้อง และไม่ใช่ใครอื่น เป็นซูจิ้งหนาน
ฮึ!
ถือว่าไม่ได้เจ็บตัวเปล่า เมื่อเสียงนั้นขยับมาใกล้ทุกที ทุกทีจนเมื่อถึงบันไดขั้นที่ซูเหยียนหลิงนั่งอยู่ มีร่างของซูจิ้ง หนานที่วิ่งลงมาพร้อมกับมือปาดน้ำตา เธอส่งสายตาเห็นใจไปให้ แต่ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือ
รอยยิ้มเหี้ยมคล้ายกับว่าซูจิ้งหนานมีแผนร้าย
ฮะ!
เป็นไปได้ยังไง ปกติซูจิ้งหนานจะโมโหแล้วลงไม้ลงมือกับเธอ และพ่อต้องลงมาห้ามพร้อมกับทำร้ายซูจิ้งหนานเพิ่มขึ้นอีก หลายครั้งซูจิ้งหนานโดนตบจนหน้าปูดบวม ปากแตก บางทีก็มีรอยเขียวช้ำที่ขาและแขน
แต่ทว่าครั้งนี้นอกจากรอยยิ้มใสซื่อของเธอไม่ทำให้ซูจิ้งหนานโกรธแล้ว ยังยิ้มอย่างมีเลศนัยกลับมาอีกด้วย
อะไรกัน!
กริ้ง...กริ้ง...กริ้ง...กริ้ง...!
เสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุดที่บ้านตระกูลหลิว ทำให้แม่บ้านรีบร้อนออกจากห้องครัวมารับอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะ บ้านสกุลหลิวค่ะ”
(ป้าเฉียนใช่ไหมคะ...หนานหนานเองนะคะ...ฮึก...ให้คุณยายมารับหนานหนานไปอยู่ด้วยได้ไหมคะ...หนานหนานอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว)
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของซูจิ้งหนาน หลานสาวคนเดียวของคุณนายหลิว ทำให้ไม่รอช้าอีกต่อไป
“คุณหนูใจเย็น ๆ นะคะ ป้าจะรีบบอกคุณนายเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ซูจิ้งหนานวางสายเสร็จแล้วก็รีบขังตัวเองอยู่ในห้องพร้อมกับเก็บของไปด้วย
ซูจิ้งหนานร่างเดิมไม่เคยชอบบ้านคุณยายที่ชานเมือง เพราะว่านอกจากไม่เจริญทัดเทียมบ้านในตัวเมืองเซี่ยงไฮแล้ว ยังห่างไกลจากบุรุษที่เธอหมายปองอย่างซ่งเยี่ยนซิน และเธอไม่อยากให้ซูเหยียนหลิงที่ชอบซ่งเยี่ยนซินได้เขาไป ดังนั้นแม้ว่าคุณยายจะร้องขอให้กลับไปอยู่ด้วยแค่ไหน เธอกลับยืนกรานหนักแน่นเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว
แต่ว่าซูจิ้งหนานคนนี้ไม่ใช่คนเดิมในนิยายอีกแล้ว ซูจิ้งหนานคนนี้คือนางร้ายคนใหม่ที่ใช้สมองนำปาก ดังนั้นย่อมต้องไม่จบแบบเดิมแน่นอน
ซูเหวินเฉียงอยู่ในห้องเก่าของภรรยาชั่วครู่ ก่อนจะสั่งสอนไป๋หรูอิงเสร็จและเดินออกมา เมื่อเห็นว่าซูเหยียนหลิงยังนั่งพับเพียบอยู่ตรงนี้เขาก็ตวาดลั่น
“มานั่งทำไมตรงนี้ ยังไม่รีบเข้าห้องไปสำนึกอีก”
คำว่าสำนึก! ทำให้ซูเหยียนหลิงสับสน เธอต้องสำนึกเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมคุณพ่อต้องทำท่าทางโกรธเธอขนาดนั้น เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
“คุณพ่อคะ” ซูเหยียนหลิงบีบน้ำตาออกมา แต่ทว่าร่างใหญ่กลับก้าวฉับ ๆ ออกไปแล้วเคาะประตูห้องของซูจิ้ง หนาน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“หนานหนาน...เปิดประตูให้พ่อหน่อยลูก เรื่องนี้พ่อมีคำอธิบายแน่ ๆ”
ซูจิ้งหนานได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ แต่เธอมีสิ่งที่เรียกว่ามิติที่เพิ่งปรากฏเมื่อเธอหยิบหนังสือของซูจิ้งหนานคนเก่าใส่กระเป๋า...มันไม่ใช่หนังสือเรียน แต่เป็นหนังสือ เก่า ๆ เล่มหนึ่งไม่แน่ว่าคืออะไร แต่เมื่อเปิดออกมาแสงสว่างกลับเจิดจ้าเหลือเกิน
ห้วงมิติเหรอ?
เธอถามตัวเอง แต่แล้วเสียงด้านนอกก็ยังไม่หยุด ทำให้รบกวนสมาธิของเธอเหลือเกิน จึงทำได้แค่ยัดลงประเป๋า
“พ่อคะ...ครั้งนี้หนูทำใจไม่ได้จริง ๆ ค่ะ หากไม่พบคุณยายหนูจะไม่ออกไปเด็ดขาด”
เธอพูดไปแล้วก็เก็บของไปด้วย เมื่อจะหยิบใส่กระเป๋า หนังสือปกแข็งก็เปิดออก พร้อมกับดูดสิ่งของเหล่านั้นเข้าไป ทำให้เธอตกตะลึง
“นะ...นี่...นี่มันคืออะไรกัน”
เธอไม่มีเวลาคิดมากจึงจัดการหยิบ ๆ ของทุกอย่างยัดลงกระเป๋า แต่เมื่อยัดลงไปกลับดูดเข้าไปในหนังสือจนหมด เธอก็เปิดหนังสือ ล้วงมือเข้าไปก็พบว่าหยิบออกมาได้เหมือนกัน
นี่...หรือเปล่าตัวช่วยของเธอในโลกใบนี้...น่าสนุกจริง ๆ เลย!

เวลาก้าวผ่านสู่ปีที่สี่ที่ได้แต่งงานกัน กิจการโรงทอตระกูลหลิวรุดหน้าไปมาก ทั้งยังเป็นโรงทอที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง มีเครื่องจักรที่ทำงานใหญ่โตรวมทั้งทอผ้าอย่างมีคุณภาพ จิ้งหนานยังซื้อพื้นที่ในการปลูกฝ้ายแบบพิเศษที่คิดค้นพันธุ์โดยเธอเอง และยังรับซื้อฝ้ายจากทั่วประเทศอีกด้วย ทำให้หมู่บ้านชนบทแถบชานเมืองที่อยู่ติดโรงทอที่ขยายใหญ่เริ่มมีความเจริญเข้ามามากขึ้น ถนนหนทางสร้างใหญ่โตรองรับอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้น แต่ทว่าในหมู่บ้านของจิ้งหนานยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติงดงาม เพราะเป็นที่ดินตระกูลหลิวเกือบทั้งหมด ดังนั้นยังเงียบสงบและคนในหมู่บ้านยังมีวิถีชีวิตเรียบง่ายอยู่ ร้านค้ายังมีระบบสหกรณ์และการซื้อขายใช้คูปองอยู่ ซึ่งข้าว น้ำตาล น้ำมัน ยังมีใช้เงินคู่กับคูปอง แต่ทว่าตระกูลหลิวไม่ได้ขาดแคลนคูปองเท่ากับชาวบ้าน ดังนั้นเพื่อรองรอบความเจริญที่เธอได้เปรียบคือรู้ก่อนจึงคิดกับสามีในการจัดตั้งโรงงานน้ำมันโดยที่เริ่มแรกรัฐควบคุมก่อน เพราะอีกไม่กี่ปีจากนี้ก็จะเข้าสู่การค้าเสรี เมื่อนั้นก็จะมีพร้อมทุกอย่าง โรงทอตระกูลหลิวที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นยังต้องปันส่วนจ่ายภาษีให้รัฐบาล และได้รับสิทธิพิเศษหลาย
ระยะเวลาผ่านไปจนกระทั่งจิ้งหนานคลอดลูกชายตัวขาวอวบออกมาสร้างความชื่นมื่นให้กับครอบครัว คุณปู่หานรับขวัญเหลนคนแรกด้วยที่ดินทำเลทองในเมืองเซี่ยงไฮ และท่าเรือนเฟตใหม่ของตระกูล คุณปู่อวิ๋นก็ไม่ได้น้อยหน้า ต่อให้ไม่ใช่เหลนสายตรง แต่เพราะรักหลานอย่างหนานหนานมาก ดังนั้นการค้าแห่งใหม่จึงถูกใส่ชื่อของเหลนตัวน้อยเอาไว้ส่วนคุณปู่คนอื่น ๆ ก็ไม่น้อยหน้า ทั้งเงินและทองล้วนวางรายรอบตัวของลูกชายตัวขาวอวบเหมือนก้อนซาลาเปาของจิ้งหนาน ทำให้คนเป็นแม่ยิ้มดีใจที่ลูกชายของเธอเกิดมาสุขสบายและมีคนสนับสนุนอย่างดี“คุณปู่ตั้งชื่อเหลนให้หน่อยได้ไหมคะ” จิ้งหนานอยากให้คุณปู่อวิ๋นช่วยตั้งชื่อให้ เพราะตอนมาเกิดใหม่เธอก็ได้คุณปู่อวิ๋นยืนข้างเธอจนเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายคล้อยตาม“ไม่ได้...ปู่ก็ต้องตั้งด้วย”เธอคิดเอาไว้แล้วว่าปู่หานต้องไม่เห็นด้วย ก็เหลนสายตรงนี่เนอะ แต่เธอเตรียมหาทางเอาไว้แล้ว“เอาไว้เหลนคนต่อไปดีไหมคะ”คำว่าเหลนคนต่อไปทำให้หานอวี้เฉิงยิ้มหน้าบาน คนที่อยากมีลูกหลาย ๆ คนอย่างเขาชอบคำนี้ที่สุด ครั้งหน้าเขาต้องพยายามให้มากกว่านี้“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ตาเฒ่าอวิ๋น จะตั้งชื่อหลานว่าอะไรล่ะ” ปู่หานถาม“อวี้หรง แ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างในห้องนอนที่ไม่ได้รั้งม่านให้สนิท จิ้งหนานขยับตัวเล็กน้อยควานหาความอบอุ่นรอบตัวก่อนจะผลิยิ้มเมื่อสัมผัสที่โหยหากอดกระชับจากร่างหนาที่แนบชิดกันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา มือเรียวเล็กได้รูปลูบไล้แผ่นอกหนาแผ่วเบาพลางซุกหน้าเข้าหาอกอุ่นที่พักพิงใจของเธอ ดวงตาเล็กพริ้มตาหลับอย่างมีความสุขเพราะเมื่อคืนสามีเอาอกเอาใจทั้งปรนเปรอบำเรอรักให้เธออย่างสุขสม สมกับการที่เข้าอกเข้าใจกันดีแล้ว ปลายจมูกโด่งของสามีซุกเข้าหากลุ่มผมพลางสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพูเข้าเต็มปอดพลันให้ดวงตาหวานซ่อนความเจ้าเล่ห์ในฉบับจิ้งจอกน้อยขยับเปิดเปลือกตาขึ้น ‘เขาคือสามีของเธอ’ คนที่หล่อเหลาขนาดนี้เป็นของเธอนะ ด้วยเพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่ลงตัวให้เธอได้เกิดใหม่มาเป็นคู่ของเขา ทั้งการสืบทอดตระกูลหลิว ทั้งเขาที่เลือกจะตามอกตามใจเธอจนเธอรู้ว่าโชคดีที่สุดแล้วที่ได้เขามาเป็นสามี “สามี...เคยคิดมากไหมคะว่าฉันไม่ได้มีการศึกษาที่สูงเหมือน ๆ เหล่าคุณหนูคนอื่น” จิ้งหนานถามขณะนิ้วยังวนเวียนอยู่แถวหน้าอกของสามี เรื่องนี้จะว่าไปเธอก็ไม่อยากเสียเวลาเรียนอะไรที่ซ้ำเดิม
หานอวี้เฉิงใช้ชีวิตอยู่ที่ชานเมืองเป็นส่วนใหญ่ โดยหนึ่งสัปดาห์จะมาทานข้าวที่ในตัวเมืองเซี่ยงไฮหนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสจะมารวมตัวกัน ซึ่งบ้านที่เสนอตัวจัดการงานนี้ก็ยังไม่พ้นบ้านตระกูลหลี่ ซึ่งเป็นครอบครัวที่รับหนานหนานเป็นลูกสาวบุญธรรม ตอนที่หานอวี้เฉิงไปทำภารกิจบางอย่างที่ท่าเรือค่อนข้างเสี่ยงอันตราย และแน่นอนว่ามีการบาดเจ็บขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ทว่าเขาปกปิดเอาไว้ไม่ให้ภรรยาที่น่ารักของเขาได้รับรู้กลัวจะเป็นห่วง ส่วนพี่ใหญ่ที่วิ่งมารับกระสุนแทนเขาต้องเก็บตัวอยู่สักพักกว่าจะออกมาพบหน้าผู้คนได้อีก แต่ถึงให้ปกปิดอย่างไรก็ดูเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ช่างสังเกตก็รู้อยู่ดี แล้วเขาก็โดนสั่งให้ดูแลตัวเองให้ดี เพราะว่าหากให้เลิกทำงานนี้คงยาก เขาที่รับปากอย่างดีว่าจะดูแลตัวเองให้ดีเพื่อจะอยู่เป็นสามีเธอไปจนกว่าเราจะแก่ไปด้วยกัน ความรักอันแสนหวานชื่นของพวกเราก็เป็นไปด้วยดีเสมอมาจนกระทั่งผมที่ได้ยินเสียงนินทาเรื่องของภรรยาอีกแล้ว แน่นอนผมควรชินได้แล้วหากไม่ใช่ว่าคืนหนึ่งผมตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วได้ยินเสียงหนึ่ง ‘พี่เหวินอวี้’ เสียงครา
วันนั้นจิ้งหนานไม่ได้บอกใครถึงการกระทำร้ายกาจของตนเอง และไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะฟ้องใคร แต่เธอรู้เพียงว่าได้สั่งสอนให้กับคนที่สมควรสั่งสอน เธอมันเป็นประเภทตาต่อตาฟันต่อฟัน และตลอดห้าวันที่มาอยู่ที่ในเมือง เธอวุ่นวายเรื่องเสื้อผ้าในฤดูหนาวที่กำลังจะออก มียอดสั่งล่วงหน้าเอาไว้จนต้องอยู่จัดการด้วยตนเองให้เสร็จ ดังนั้นก็คิดว่าจะรอสามีอยู่ที่นี่เลย จะได้ไม่เสียเวลาเจอหน้ากัน แต่วันนี้พี่เหวินอวี้เดินเข้ามาด้วยเครื่องแบบเต็มยศพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเธอ “สวัสดีค่ะพี่ชาย...วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้คะ หรือว่านัดสาวคนไหนเอาไว้บอกได้ไหม” จิ้งหนานมักจะหยอกล้อนายพลสุดหล่อเป็นที่หมายปองของเหล่าสาว ๆ เสมอ “คุณพ่อคุณแม่ และคุณปู่บอกให้ไปนอนที่บ้านครับ ให้พี่มาตาม” หลี่เหวินอวี้รู้ว่าเธอมาที่ในเมือง แต่น้องสาวบุญธรรมคนเก่งกลับเลือกจะพักบ้านตระกูลหลิวอีกหลังทำเอาเหล่าอาวุโสน้อยใจกันเป็นแถว ๆ “คิวค้างคืนยาวมากเลยค่ะ ต้องต่อแถวนะคะ” เธอว่าพลางหัวเราะคิก ๆ อย่างน่าเอ็นดูจนหลี่เหวินอวี้ยกมือขึ้นยีหัวเล่น “เป็นยังไงล่ะ คิดถึงอวี้เฉิงล่ะสิ” จิ้งหนานหุบยิ
หลังจากสามีบอกว่าต้องไปจัดการงานบางอย่างที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย สีหน้าของเธอก็ไม่ค่อยดี แต่ทว่าอวี้เฉิงก็รับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดีและจะกลับมาหาเธอให้เร็วที่สุด แต่เธอก็เอาแต่กอดเขาเอาไว้แน่น ๆ อย่างเป็นห่วงพลางคิดว่าในห้องมิติของเธอมีอะไรบ้าง จึงหยิบมันขึ้นมาเปิดต่อหน้าสามีเสียเลย เธอเองก็ไม่อยากปิดบังเขา เพราะอยู่ด้วยกันทุกวัน ต้องมีสักวันที่ความลับแตก“พี่อวี้เฉิง...รอสักครู่นะคะ ฉันหยิบของให้พี่ก่อน”จิ้งหนานรู้ว่ามิติของเธอเมื่อนึกของที่ต้องการมันก็จะออกมาให้ เธอจึงเรียกเสื้อเกราะออกมา อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยป้องกันอันตรายให้เขาก็ยังดีแต่ทว่าอวี้เฉิงมองเธออย่างตกตะลึง เขารู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนเดิมตามที่หลี่เหวินอวี้บอก แต่ไม่นึกว่าจะมีอะไรประหลาดแบบนี้ด้วย“เสื้อนี้จะกันกระสุนได้ พี่ใส่เอาไว้นะคะ ใส่เอาไว้ด้านในเสื้อ ตัวนี้เอาไปเผื่อพี่เหิง เผื่อต้องใช้เหมือนกัน” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ยิ่งเห็นเขามองด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามเธอจึงตัดตอน“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้อาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่เอาไว้พี่กลับมาแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เชื่อฉันนะคะ พี่ต้องใส่ พี่เหิงก็ด้วย”อวี้เฉิงยิ้มให้เธอและ








