" ขอบคุณพวกเธอมากนะ ถ้าไม่มีพวกเธอฉันคงแย่ " หลี่เล่อเยียนกล่าวอย่างซึ้งใจ คนเราจะดูความมีน้ำใจหรือไม่ก็ดูกันตอนนี้แหละ
" ไปขอบคุณเลขาเตียวเถอะ รายนั้นอุ้มเธอกลับมาบ้านทั้งยังยืนเฝ้าหน้าบ้านทั้งคืน เช้าก็มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อเอายาต้มหม้อนี้มาให้ " หมี่เมี่ยนพูดอย่างฝืนๆ มันจุกในอก ในใจเธอแอบคิดว่าถ้าหากเป็นเธอเองที่เป็นลมล้มป่วย จะได้รับการดูแลจากเขาเช่นนี้หรือไม่
" อย่างนั้นหรือ เอาไว้เจอหน้าค่อยขอบคุณแล้วกัน " หลี่เล่อเยียนพยักหน้ารับรู้
" เธอรู้ไหมว่าขนาดฟ่านเหมยเหมยที่ขี้เกียจตัวเป็นขนยังมีน้ำใจช่วยยกน้ำมาล้างเนื้อล้างตัวให้เธอเลยนะเล่อเยียน " หม่ายวี่ไท่พูดขำๆ เปลี่ยนบรรยากาศที่ขมุกขมัวนี้
" หืม เหมยเหมยเนี่ยนะไม่อยากจะเชื่อ " เล่อเยียนตาโตกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
" ใช่น่ะสิ หล่อนดูตกใจมาก ปากก็ถามไถ่ว่าเธอฟื้นขึ้นมาหรือยังขาก็วิ่งตักน้ำไม่หยุด " หม่ายวี่ไท่เล่าอย่างขำๆ
" ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบคุณทุกคนมากนะฉันนี่แย่จริง ๆ เลย ร่างกายฉันอ่อนแอตั้งแต่เด็ก " หลี่เล่อเยียนพูดขึ้นอย่างซึ้งใจ เพราะคิดว่าทุกคนคงจะเหนื่อยกันมาก เมื่อวานตัวเธอนั้นเลอะดินโคลน แต่พอตื่นขึ้นมาเนื้อตัวกลับสะอาดไม่มีดินโคลนสักนิดเดียว
" พอแล้วเธอขอบคุณพวกเราหลายรอบแล้ว กินข้าวกินยาแล้วก็นอนพักเถอะ " หมี่เมียนขำกับท่าทางของเล่อเยียน หลี่เล่อเยียนที่มีท่าทางหยิ่งยโสคนนั้น ตอนนี้ไม่เหลือคราบนั้นอีกแล้ว มองดูแล้วสบายตาสบายใจกว่ามาก
หลังจากที่ทั้งสองออกจากห้องไปเล่อเยียนก็นอนไม่หลับ จะให้เธอข่มตาหลับได้อย่างไรกัน มีเรื่องค้างในหัวเต็มไปหมด เขาจะกลับไปรึยังนะ ถ้าหากว่าเจอเขาเธอจะทำอย่างไรควรเข้าไปทักทายหรือทำเป็นไม่รู้จักไปเลย
' ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ช่างมันไปก่อนเถอะ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเจอหน้าจริง ๆ ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้จักไปเลยละกันสิ้นเรื่อง ' หลี่เล่อเยียนหาทางออกให้กับปัญหาตัวเองอย่างสิ้นคิดที่สุด ทำไงได้ล่ะเธอไม่พร้อมจริง ๆ นี่นา
เดิมทีคิดว่ามาอยู่ในยุคนี้ก็ไม่ได้แย่ แต่ทำไมชีวิตเธอถึงยุ่งเหยิงวุ่นวายขนาดนี้ มีเรื่องวุ่นไม่เว้นวัน ชีวิตเหมือนโรลเลอร์โคลสเตอร์เลย เธออยากจะรู้จริง ๆ ว่าเล่อเยียนคนเก่าไปไหน หรือหล่อนไปยังร่างของเธอยังยุคสมัยใหม่
เมื่อขบคิดกับชีวิตของตัวเองได้สักพัก เล่อเยียนที่ร่างกายอ่อนเพลียก็ได้หลับไปอีกรอบเพราะฤทธิ์ยา จากนั้นเธอได้ฝันจะเรียกความฝันก็ไม่เชิง น่าจะเป็นภาพในอดีตมากกว่า
'นางผู้หญิงแพศยา สารเลว ชีวิตแกต้องไม่ตายดีแน่ ' หญิงมีอายุคนหนึ่งยืนด่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่
' หล่อนจะร้องไห้ทำไม สมใจหล่อนแล้วล่ะสินะ ฉันขอบอกไว้เลยว่าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ ผู้หญิงไร้ยางอาย ออกจากบ้านนี้ไปซะ’ หญิงคนนั้นยังคงด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยมีหญิงสาวอายุราว ๆ 19 -20 ปีคนหนึ่งร้องไห้อยู่ข้างๆ
' คุณแม่คะ จะทำอย่างไรดีละคะ หือ.......คุณแม่ต้องช่วยลูกนะคะ ' เธอมีใบหน้าที่งดงาม ดูแล้วชวนมองอย่างสบายตา นัยน์ตาหวานซึ้งคู่นั้นชุ่มฉ่ำและบวมช้ำไปด้วยน้ำตา เธอร้องไห้ราวจะขาดใจ
' ส่งมันไปที่ค่ายแห่งนั้นซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้ามันอีก ' ผู้หญิงที่ด่าทออยู่นั้นพอมองหน้าดี ๆ หล่อนก็คือหรูชิงแม่เลี้ยงของ เล่อเยียนนั่นเอง
หญิงสาวที่ก้มหน้าร้องไห้ เมื่อได้ยินว่าจะถูกส่งตัวไปยังค่ายปัญญาชนก็ตกใจ ตาเบิกกว้างขึ้น และเมื่อมองดูชัดๆ นั่นก็คือหลี่เล่อเยียนนั่นเอง
' คุณพ่อคะ หนูไม่ไปนะคะ พ่อ..' เธอหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้ชายที่เธอเรียกว่าพ่อ แต่ทว่าไร้เสียงเอื้อนเอ่ยใด ๆ ออกมาจากปากคนเป็นพ่อสักคำ
หลี่เล่อเยียนรู้สึกตัวก็เป็นช่วงเวลาบ่ายไปแล้ว เธอเข้าใจเลยว่าทำไมความทรงจำถึงขาดหายไป ไม่ใช่เธอป่วยแต่เธอเลือกแล้วว่าจะลืมคนเหล่านั้น เพียงแค่ฝันถึงเธอก็รู้สึกเจ็บปวดที่ใจ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
" เล่อเยียนมีคนมาหา "
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก