วันนี้หลี่เล่อเยียนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เธอยิ้มหัวเราะระหว่างทำงานจนคนรอบข้างรู้สึกหวั่นๆ กับท่าทางของเธอ
'จะร่าเริงอะไรกัน ร้อนจะตายชัก'
ส่วนอี้หยางนั้น เมื่อได้ซาลาเปาของเล่อเยียนก็ทำให้เขาอิ่มไปทั้งวัน จนแม่เฒ่าเว่ยอดเป็นห่วงลูกชายไม่ได้ด้วยกลัวว่าเขานั้นจะไม่สบายจนกินอะไรไม่ลง
ช่วงพักเที่ยงเล่อเยียนเดินไปลางานกับคณะกรรมการเธอกลัวว่าจะทำขนมไม่ทัน ต้องไปหากล่องใส่ขนม อีกทั้งต้องหาซื้อแม่พิมพ์สำหรับใส่ขนมเพราะเธอมีแค่ 2 อันเท่านั้น หากจะทำทีละ 2 อันเกรงว่าอาจจะต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าจะเสร็จถึงแม้ว่าเธอจะมีมิติสำหรับเก็บขนมก็ตามทีเถอะ
หลังจากที่ลางานเสร็จแล้วเธอก็ออกเดินทางทั้งที่แดดยังแรงอยู่ ช่วงเที่ยงแดดนั้นร้อนที่สุดแล้ว แต่คงไม่สู้ใจของเธอที่ตอนนี้ร้อนยิ่งกว่า สงสัยคงต้องหาจักรยานไว้ใช้สักคัน เธอเดินแบบนี้ไม่ไหวแน่ แต่ต้องใช้คูปองมหาศาลแค่ไหนกันนะ
โชคดีที่ระหว่างทางมีเกวียนของคนในหมู่บ้านกำลังจะเข้าเมืองพอดี เธอจึงได้ขอติดไปด้วยและไม่ลืมถามเวลากลับจากนั้นก็ให้ค่าจ้างไป 1 หยวน แต่คุณลุงใจดีท่านนั้นไม่รับ เล่อเยียนจึงแอบหยิบซาลาเปาในมิติให้ไป 2 ลูก
เมื่อถึงในเมืองหลี่เล่อเยียนเดินไปดูของที่ร้านสหกรณ์ เธอซื้อน้ำผึ้งป่ามา 2 ไห ราคาทั้งหมด 8 หยวน ช่วยไม่ได้ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว มีน้ำผึ้งกินมันดีต่อสุขภาพมาก อีกอย่างน้ำผึ้งในยุคนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นของปลอมเพราะของแท้แน่นอน เธอซื้อกระดาษไขสำหรับวางรองขนมอีก 6 ม้วน นำไปตัดแบ่งคิดว่าน่าจะพอ กระดาษไขม้วนละ 5 เหมา ทั้งหมดเป็นเงิน 3 หยวน แต่พวกกล่องใส่ขนมหรือแม้กระทั่งแม่พิมพ์ทำขนม เธอไม่มีคูปองจึงต้องไปเดินหาซื้อที่ตลาดมืด
เมื่อลับตาคนเล่อเยียนนำของใส่เข้าไปเก็บไว้ในมิติก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังตลาดมืด เพราะนั่งเกวียนมาจึงใช้เวลาไม่มากในการเดินทาง ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายโมงยังพอมีเวลา
เล่อเยียนถือโอกาสขายพวกน้ำมันและซอสปรุงรส ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันทำกำไรได้มหาศาล เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ของมันนั้นแปลกตา แม้ว่าเธอจะลอกเอาสติกเกอร์ออกแล้วก็ตาม
น้ำมันถั่วเหลืองชั้นดีเธอขายไปทั้งหมด 2 โหล โดยขายขวดละ 12 หยวน เห็นราคาที่ขายก็ปวดใจแต่ยุคนี้ถือว่าราคาโหดมากพอแล้ว อีกทั้งยังขายซอสปรุงรสได้ทั้งหมด 3 โหล เธอขายไปในราคาขวดละ 10 หยวน แม่บ้านที่เคยซื้อเนื้อกับเธอครั้งก่อนจำหน้าได้พวกเขาไม่มีข้อกังขาสำหรับคุณภาพ และไม่ต่อราคาเลยสักเหมาเดียว
ของในมิติมีปริมาณที่เหลือเยอะเกินแปดส่วน ถ่ายเทของออกบ้างเป็นบางครั้งคงไม่เป็นไร จากนั้นจึงเดินตามหากล่องใส่ขนมเมื่อเจอขนาดที่ถูกใจ ถึงแม้ว่าจะไม่สวยมาก แต่พอรับได้เธอได้มาในราคาใบละ 3 เหมา ซึ่งถือว่าแพงมากเพราะหากซื้อข้างนอกราคาแค่เพียง 1 เหมาเท่านั้น แต่หลี่เล่อเยียนมีหรือจะยอมถูกเอาเปรียบ เธอต่อราคาจนนาทีสุดท้ายเหลือใบละ 2 เหมา ซื้อไปทั้งหมด 300 ใบ เหลือดีกว่าขาด อีกทั้งยังซื้อแม่พิมพ์มาเพิ่มอีก 10 อันเป็นเงิน 10 หยวน
สรุปแล้ววันนี้เธอขายของในมิติได้เงินมาทั้งหมด 648 หยวน ซื้อของไปทั้งหมด 76 หยวนกำไรวันนี้คือ 572 หยวนถือว่าเยอะมากเลยทีเดียว ทำงานที่ค่ายนั้นกี่ปีกันถึงจะได้เงินจำนวนนี้มา แค่คิดก็มีความสุขมากแล้ว
เมื่อได้ของครบตามที่ต้องการ เล่อเยียนจึงมายืนรอตรงจุดนัดพบ ไม่ลืมที่จะหยิบของออกมา ตอนนี้เวลา 15.30 น. ไปถึงหมู่บ้าน น่าจะถึงก่อนที่คนงานกำลังใกล้จะเลิกงาน เธอไม่อยากต้องแบกของทั้งหมดกลับเข้าบ้านหรอกนะ
ลุงเซี่ยเจ้าของเกวียนช่วยเธอยกของก็อดแปลกใจไม่ได้ปัญญาชนคนนี้เธอใช้เงินยังกับกระดาษแบบนี้ได้อย่างไร ดูจากของที่เธอซื้อมาช่างสิ้นเปลืองเสียจริง แต่ช่างเถอะไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย
กลับมาถึงหมู่บ้านเล่อเยียนวานให้ลุงเซี่ยขับเกวียนไปส่งที่หน้าบ้าน ทั้งยังยัดเงินใส่มือลุงไป 1 หยวน แล้วก็หิ้วของเข้าบ้านทันที ถึงอย่างไรลุงแกก็มีน้ำใจไม่น้อย เพราะถ้าหากเธอเดินมาคงไม่มีคนเชื่อแน่ว่าเธอซื้อของมามากมายขนาดนี้ถือกลับอย่างไรไหว
" เล่อเยียน ทำไมช่วงบ่ายฉันไม่เห็นเธอเลยล่ะ " หมี่เมี่ยนหน้างอเพราะหาเล่อเยียนไม่เจอ เธอคิดว่าหล่อนเป็นลมที่กลางทุ่งนาไปเสียแล้ว
" พอดีฉันมีธุระที่ในเมืองน่ะ เลยขอลาครึ่งวัน อีกอย่างพวกเธอเข้ามาใกล้ๆ สิ " ประโยคหลังเล่อเยียนพูดเสียงกระซิบ หม่ายวี่ไท่และเหอหมี่เมี่ยนรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ
" ฉันทำขนมตัวอย่างให้ลูกชายของคุณป้าเว่ยไปชิม เมื่อวานเขากลับมาบ้าน แล้วก็มาบอกเรื่องยอดสั่งจองขนม " เล่อเยียนเล่าไปพร้อมกับหยุดดูท่าทีของเพื่อนทั้งสองคน
" แล้วอย่างไรต่อหรือฉันไม่เข้าใจ " หม่ายวี่ไท่ขมวดคิ้วหนักขึ้นด้วยความสงสัย
" พอพนักงานที่โรงงานชิมเลยอยากจะสั่งกันบ้าง แต่ปัญหาคือยอดสั่งค่อนข้างเยอะพอสมควร ตอนนี้มีมากถึง 200 กล่องแล้ว " หมี่เมี่ยนตาโตเท่าไข่ห่าน โรงงานมีคนงานกี่คนกันทำไมยอดถึงมากเพียงนี้
" ฉันทำคนเดียวไม่ไหว อีกอย่างเรื่องนี้ฉันอยากให้มีคนรู้เรื่องน้อยที่สุด " ทั้งสองคนเข้าใจความหมายในทันที
" พวกเราจะช่วยเธอเอง แต่จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เหมยเหมยและฮุ่ยหลินรู้เรื่องนี้ ฉันคิดไม่ออก " หมี่เมี่ยนคิดไม่ตกกับสองคนนั้น
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก