"ฉันไม่รู้ว่าจะต้องมานั่งตอบคำถามของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ วันนี้ฉันอารมณ์ดีไม่อยากทะเลาะ เธอรีบเข้านอนเถอะ" เล่อเยียนไม่อยากเสวนากับหล่อนแล้ว รีบเข้านอนฝันหวานรับทรัพย์ดีกว่า แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
หล่อนจะขายอย่างไรดีนะ ต้นทุนของขนมต่อชิ้นนั้นไม่แพงเลย อีกอย่างวัตถุดิบเธอมีมากพอแน่นอน ถ้าทำกล่องใส่ดีๆ จะเพิ่มมูลค่าของขนมได้ แต่จะไปหาจากไหนล่ะ สงสัยคงต้องหยุดงานเพื่อเข้าตัวเมืองซะแล้วสิ
เช้าถัดมาเวลาประมาณ 04.30 น. เล่อเยียนตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา วันนี้เธอขี้เกียจทำอาหารจึงเอาซาลาเปาออกมาจากในมิติมาอุ่น 5 ลูก ทำเผื่อเว่ยอี้หยางเป็นน้ำใจสำหรับยอดสั่งสั่งซื้อในครั้งนี้ละนะ
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว เล่อเยียนกินซาลาเปาส่วนของตัวเอง 2 ลูก จากนั้นก็รีบเดินไปบ้านเว่ยในทันที ส่วนคนที่บอกว่าจะจับตาดูเล่อเยียนขั้นสูงสุดนั้น ยังคงนอนหลับพร้อมฝันหวานถึงเว่ยอี้หยางอยู่บนเตียง
" พี่ " เมื่อไปถึงเล่อเยียนแปลกใจไม่คิดว่าเขาจะมายืนรอเธอเร็วขนาดนี้
" หนาวหรือเปล่า " ถึงแม้ช่วงนี้จะเป็นหน้าฝนแต่เช้าๆ ก็ยังคงมีน้ำค้างอยู่ จึงทำให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย
" ไม่หรอกค่ะ พี่ออกมารอฉันนานหรือยังคะ " หลี่เล่อเยียนไม่ชอบยุคสมัยนี้ก็ตรงที่ติดต่อสื่อสารกันลำบากนี่แหล่ะ
" พึ่งออกมาน่ะ มาตรงนี้เถอะ" เว่ยอี้หยางรีบเดินนำหลี่เล่อเยียนมาหลบมุมตรงข้างๆ รั้วบ้าน ที่มีต้นกุ้ยฮวาอยู่หน้าบ้านพอจะใช้บดบังเวลาคนผ่านไปมาได้บ้าง
" พี่ขอโทษด้วยนะ ที่รับยอดสั่งซื้อขนมโดยที่ไม่ได้ถามเธอก่อน ถ้าเธอไม่สะดวกพี่ปฏิเสธพวกเขาได้นะ " อี้หยางเข้าประเด็นทันทีเพราะเขารู้สึกไม่สบายใจที่ทำอะไรโดยที่ไม่ถามเจ้าตัวก่อน
" ไม่หรอกค่ะ ดีเสียอีกฉันจะได้มีรายได้บ้าง ว่าแต่มีคนสนใจเยอะหรือเปล่าคะ " เธอจะว่าเขาลงได้อย่างไรเล่า ถ้าไม่มีคนสั่งนี่สิเขาโดนแน่ ๆ
" ก็ราว ๆ 200 กล่องน่ะ " อี้หยางกลั้นหายใจฟังว่าเล่อเยียนจะต่อว่าเขาอย่างไร กับจำนวนสั่งจองขนมที่มากถึงเพียงนี้ แต่หลี่เล่อเยียนยืนอ้าปากค้างไปแล้ว เธอคงจะไม่โมโหเขาจนพูดไม่ออกหรอกใช่หรือไม่ มันก็แปลกดีนะที่เขารู้สึกกลัวหรือเกรงใจเธอมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นจะต้องสนใจอะไรเธอขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำไป
" เอ่อ ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ คือฉันดีใจไปหน่อย ..ขอบคุณมากนะ " หลี่เล่อเยียนหลังจากที่ตั้งสติได้ก็ รีบขอบคุณกับยอดสั่งจองนี้ทันที
" ไม่เป็นไร พี่กังวลแทบแย่ว่าเธอจะไม่รับทำเพราะมันค่อนข้างเยอะ อีกอย่างพวกเขาต้องการภายในอาทิตย์หน้าเพราะเป็นช่วงสิ้นเดือน หลายๆ คนจะต้องกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว " เว่ยอี้หยางยิ้มเอ็นดูกับท่าทางของเล่อเยียน
" ฉันจะไปว่าพี่ได้อย่างไรละคะ แล้วพี่ได้บอกราคาพวกเขาไปหรือยังคะ " อี้หยางทำได้เพียงส่ายหน้า เขาจะบอกราคาได้อย่างไรกันล่ะ เพราะเขาไม่รู้ว่าต้นทุนขนมนั้นราคาเท่าไหร่
" ขนมที่พี่ซื้อมารอบที่แล้วมันราคาเท่าไหร่หรือคะ " เล่อเยียนไม่รู้ราคาขนมมากเท่าไหร่ คงต้องอิงราคาจากขนมพวกนั้น หากขายแพงมากคนอาจจะยกเลิกได้
" 2 หยวน ขนมขึ้นชื่อราคาจึงค่อนข้างแพง แต่พี่ว่าสู้ขนมที่เธอทำให้พี่ไม่ได้เลย " อี้หยางตอบไปอย่างไม่คิดอะไร แต่คนฟังนี่สิ มันไม่ดีต่อใจเธอเลยอย่าพูดแบบนี้กับผู้หญิงนะ พ่อหนุ่มหยางหยาง
" ถ้าอย่างนั้นขายราคาเท่ากับเขาก็ได้ค่ะ เพราะถึงอย่างไรเราก็รับจองมาแล้ว " ถึงแม้ว่าเธอจะมีวัตถุดิบ แต่ถ้าเทียบกับสมัยนี้นั้นข้าวของต่าง ๆ นั้นหาซื้อยากซ้ำยังมีราคาแพงคงขายต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
"พี่ว่าเธอขายสัก 3 หยวนเถอะ มันมีตั้ง 8 ชิ้น ตกชิ้นละไม่กี่เหมาเอง ราคานี้ไม่แพงเท่าไหร่หรอก" เว่ยอี้หยางคิดว่าเธอจะขายสัก 4-5 หยวนต่อกล่องเสียด้วยซ้ำไป 2 หยวน ราคานี้ถือว่าถูกเกินไปไม่คุ้มกับค่าเหนื่อยหรอก ไหนจะน้ำตาลที่เธอใส่เพิ่มความหวาน คงจะมีปริมาณที่เยอะน่าดู
" ไม่แพงไปหรือคะ ถ้าอย่างนั้นเอาตามที่พี่ว่าก็ได้ค่ะ วันเสาร์ก่อนสิ้นเดือน 1 วัน ฉันจะเอาไปส่งให้นะคะ พี่ช่วยเขียนที่อยู่ให้ฉันหน่อยได้หรือไม่คะ " เอาตามที่อี้หยางว่าแหละ ราคาของในโรงงานเขาน่าจะรู้ดีมากกว่าเธอ
นี่มันโชคหล่นทับเธอชัดๆเลย สวรรค์ช่างเมตตาเธอเหลือเกิน ขนมโก๋ 200 ก้อนแลกมากับเงิน 600 หยวน สมัยนี้เงิน 600 หยวนมีค่าเท่าไหร่กันแค่คิดเธอก็มีความสุขแล้ว
" เกือบลืมไปเลยนี่ซาลาเปาค่ะ ฉันทำมาเผื่อพี่ด้วย เช้าๆ กินกับโจ๊กก็อร่อยดีนะคะ ถ้าอย่างนั้นฉันไม่รบกวนพี่แล้ว ต้องไปเตรียมตัวลงพื้นที่ทำงานแล้วล่ะค่ะ " หลี่เล่อเยียนยื่นซาลาเปาให้ชายหนุ่ม อี้หยางรีบเดินเข้าบ้านเพื่อเตรียมตัวไปทำงานทันที เพราะชาวบ้านเริ่มตื่นออกมาเดินตามถนนกันบ้างแล้ว
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก