Share

เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง
เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง
Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน

บทที่ 1

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
สำนักกระบี่เสวียนเทียน บนแท่นประลองครั้งใหญ่ของสำนัก

อวี้หลานชิงสวมชุดสีเขียว คิ้วกระบี่ยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมใด ๆ เรียบนิ่งไร้ความรู้สึก

นางออกกระบวนท่าอย่างพริ้วไหว ใช้เคล็ดวิชากระบี่อีกครั้ง

ผลักให้ผู้ฝึกตนหญิงหน้าตาน่ารักในชุดสีเหลืองไข่ห่านที่อยู่ตรงข้าม ต้องถอยร่นจากกลางแท่นประลองไปที่ขอบ

วันนี้นางไม่ออมมืออีกต่อไปแล้ว ทุกกระบวนท่าล้วนเฉียบคมและเด็ดขาด ทำให้ผู้ฝึกตนหญิงไม่มีโอกาสจะโต้กลับและกำลังจะร่วงจากแท่นในอีกไม่ช้า

ผลแพ้ชนะปรากฏชัดเจน

แต่ในตอนนี้เอง ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งผ่านอากาศมาจากที่นั่งชมของเหล่าผู้อาวุโส

ตัดผ่านอาคมที่ปกคลุมอยู่เหนือแท่นประลองและตรงเข้าสู่อกของอวี้หลานชิง

แทงทะลุหัวใจ!

เสียงฮือฮาดังกึกก้องไปทั่วสำนัก

อวี้หลานชิงก้มมองอกอย่างไม่เชื่อสายตา

กระบี่เล่มนี้ นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี

มันคือกระบี่วิญญาณประจำตัวของท่านอาจารย์ฉางยวน กระบี่หลิงเทียน!

และที่ฝั่งตรงข้าม ผู้ฝึกตนหญิงหน้าตาน่ารักผู้เรียกกระบี่เล่มนี้มาก็คือศิษย์ลำดับที่สองของท่านอาจารย์ ศิษย์น้องหญิงของนาง จี้ฝูเหยา

กระบี่วิญญาณประจำกาย มีเพียงเจ้าของกระบี่กับผู้ที่ผูกพันทางจิตและร่วมเป็นร่วมตายกันเท่านั้นที่จะควบคุมได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ นอกเหนือจากเจ้าของกระบี่แล้ว มีเพียงคู่บำเพ็ญของเจ้าของกระบี่เท่านั้นที่จะทำให้กระบี่วิญญาณเชื่อฟัง

ท่านอาจารย์กับศิษย์น้องหญิง?

อวี้หลานชิงมองโลหิตที่ไหลออกจากอกไม่หยุด รู้สึกไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ

ท่านอาจารย์กับศิษย์น้องหญิงได้ทำพันธสัญญาชีวิตและกลายเป็นคู่บำเพ็ญกันแล้ว

ชายอาภรณ์สีดำปัดผ่าน

เงาร่างหนึ่งร่อนลงสู่แท่นประลองอย่างสง่างาม ทว่ากลับไม่แม้แต่จะชายตามองผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่หันไปโอบฝ่ายที่ตื่นตกใจอยู่ข้างแท่นประลองอย่างอ่อนโยน

“ท่านอาจารย์ ฝูเหยาไม่ได้ตั้งใจ ฝูเหยาไม่ได้คิดว่าจะทำร้ายศิษย์พี่หญิง…”

“ศิษย์พี่หญิงเอาแต่ต้อนข้าไม่หยุด ข้าคิดเพียงว่าห้ามตกจากแท่นประลอง ห้ามให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง ไม่คิดเลยว่าในยามคับขันจะเผลอไปเรียกกระบี่หลิงเทียนของท่านอาจารย์ให้มาสู้เพื่อข้าแทน และพลั้งทำร้ายศิษย์พี่หญิง”

“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเจ้า กระบี่หลิงเทียนมีหน้าที่ต้องปกป้องเจ้าอยู่แล้ว ศิษย์พี่หญิงเจ้าลงมือหนักเกินไปเอง”

“ท่านอาจารย์อย่าโทษศิษย์พี่หญิงเลยเจ้าค่ะ นางเพียงอยากเอาชนะมากเกินไป ท่านก็รู้ว่านางเป็นพวกชอบเอาชนะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร…”

ม่านพลังเหนือศีรษะได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อบุรุษตรงข้ามก้าวขึ้นมาบนแท่นประลอง บดบังสายตาจากรอบข้าง

คนสองคนที่ยืนกอดกัน ไม่มีแม้สักคนที่คิดจะช่วยศิษย์และศิษย์พี่หญิงที่ถูกกระบี่แทง

ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย อวี้หลานชิงเจ็บจนชา ภายในใจรู้สึกเหลวไหลและน่าขัน

ที่เหลวไหลคือพวกเขา ส่วนที่น่าขันคือตัวนางเอง

แท้จริงแล้วทุกอย่างในวันนี้มีเค้าลางมานานแล้ว!

ย้อนกลับไปตอนที่นางเข้าสำนักได้ห้าปี นางคอยดูแลยอดเขาหลิงเซียวอย่างขยันขันแข็งมาห้าปี กว่าท่านอาจารย์จะออกฌานและได้ทำพิธีคำนับอาจารย์อย่างเป็นทางการ

แต่แล้วในวันเดียวกันนั้น ท่านอาจารย์กลับไปถูกใจศิษย์น้องหญิงที่เข้าร่วมการทดสอบของสำนัก รับเข้าเป็นศิษย์แบบกรณีพิเศษ ทำให้พิธีคำนับอาจารย์ซึ่งควรเป็นของนางต้องแบ่งให้อีกคนด้วยครึ่งหนึ่ง

ต่อมานางพากเพียรฝึกฝน แต่ท่านอาจารย์กลับให้คำชี้แนะเพียงน้อยนิด ไม่เคยชื่นชมที่นางทุ่มเทแรงกายแรงกายจัดการกับปัญหาที่ศิษย์บนยอดเขาเซียวหลิงพบเจอ กระนั้นทุกครั้งที่กลับมาจากนอกสำนัก กลับมีของขวัญให้ศิษย์น้องหญิงเสมอ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์นำสมบัติกลับมาสิบกว่าอย่าง ในนั้นมีพู่ห้อยกระบี่ฝังอักขระป้องกันที่นางชอบมาก แต่ท่านอาจารย์กลับบอกว่าของทั้งหมดเป็นของศิษย์น้องหญิง ไม่มีของนาง

ศิษย์น้องหญิงปลอบนางว่า ระดับพลังยุทธ์ของนางสูงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งปัจจัยภายนอก ที่ท่านอาจารย์มอบสมบัติต่าง ๆ ให้นางก็เพราะพลังยุทธ์นางต่ำและปกป้องตัวเองไม่ได้ อวี้หลานซิงเชื่อคำพูดนั้น

ต่อมานางฝึกแก่นกระบี่ครั้งแรกได้สำเร็จ นางรีบไปหาอาจารย์เพื่อบอกข่าวดี แต่แล้วกลับพบภาพที่ท่านอาจารย์กำลังสอนศิษย์น้องหญิงขี่กระบี่ สีหน้าแววตาเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

ศิษย์น้องหญิงตกใจรีบกระโดดลงจากกระบี่จนเกือบข้อเท้าพลิก

จากนั้นชี้มาที่นางว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่หญิงมองอยู่นะเจ้าคะ”

แต่ดวงตาท่านอาจารย์พลันแข็งกร้าวและประคองศิษย์น้องหญิงพูดว่า

“ไม่ต้องไปสนใจนาง นางสู้เจ้าไม่ได้”

นั่นเป็นครั้งแรกที่อวี้หลานชิงได้สัมผัสกับความผิดหวังโดยแท้จริง

เดิมทีนางคิดว่าท่านอาจารย์ห่างเหินเย็นชากับนางก็เพื่อฝึกฝนจิตใจกับความมุ่งมั่นของนาง และนางก็ใช้ความพยายามของตัวเองจนกลายเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน

แต่คำที่ว่า “นางสู้เจ้าไม่ได้” ของเขามันช่างบาดลึกหัวใจเหลือเกิน

ราวกับว่าในสายตาท่านอาจารย์แล้ว ความทุ่มเทพยายามทั้งหมดของนางไม่ได้มีค่าอะไรเลย!

นางไม่ยอม

ด้วยเหตุนี้ ในการประลองครั้งใหญ่ นางจึงตั้งใจจะไม่ออมมือตามคำขอของศิษย์น้องเล็กอีกเช่นทุกครั้ง

ตั้งใจสู้สุดกำลัง

นางต้องการพิสูจน์ให้ท่านอาจารย์เห็นว่า นางไม่ได้ด้อยกว่าศิษย์น้องหญิง ไม่ด้อยกว่าผู้ใดทั้งนั้น!

ทว่าดูจากตอนนี้ …

ความคิดนี้ช่างเหลวไหลสิ้นดี น่าขันสิ้นดี

โลหิตไหลออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ วิสัยทัศน์ค่อย ๆ เลือนราง

อวี้หลานชิงราวกับรับรู้ได้ว่าชีวิตตัวเองกำลังดับสลาย

ในตอนนี้เอง คนสองคนซึ่งอยู่ตรงข้ามเสมือนเพิ่งนึกถึงนางได้ในที่สุด

นางได้ยินศิษย์น้องหญิงถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ ยังมีทางช่วยศิษย์พี่หญิงหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่มี”

เพียงคำสั้น ๆ ก็กลายเป็นการตัดสินประหารอวี้หลานชิงแล้ว

“เดิมทีแก่นกระบี่และรากวิญญาณของนางก็ควรถูกย้ายมาที่เจ้าอยู่แล้ว บัดนี้แค่ย้ายล่วงหน้าก็เท่านั้น”

“เมื่อเจ้ากลายเป็นเจ้าสำนักกระบี่เสวียนเทียน แก่นกระบี่และรากวิญญาณของนางจะได้ไม่สูญเปล่า นางตายได้เหมาะสมแล้ว!”

ชั่วพริบตาก่อนที่สติจะดับวูบ เสียงของท่านอาจารย์ได้ลอยเข้าสู่โสตประสาท

อวี้หลานชิงเข้าใจทุกอย่างในที่สุด

เหตุใดท่านอาจารย์จึงรับนางเป็นศิษย์ทั้งที่ไม่เคยสนใจและไม่มีความเป็นศิษย์อาจารย์กับนาง

ที่แท้ นางก็เป็นเพียง “สิ่งของ” ที่ท่านอาจารย์เตรียมไว้ให้คนรัก

ก็เหมือนกับที่เขาคอยหาของขวัญต่าง ๆ จากทั่วแดนบำเพ็ญเพียรมาให้ศิษย์น้องตลอดหลายปีมานี้

ไม่นึกเลยว่าท่านอาจารย์ที่นางเคยเห็นเป็นเป้าหมายของการฝึกวิชาจะเป็นคนไร้ยางอายเพียงนี้

ต่อให้นางต้องตายก็จะไม่ให้พวกเขาสมหวังเด็ดขาด!

อวี้หลานชิงรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายมาใช้พลังแก่นปราณ มีเสียงดัง “ปัง” เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นโอบร่างนางในทันใด

เปลวไฟนี้ไม่อาจดับได้ด้วยน้ำหรือลม

ครั้นเปลวไฟดับลง บนแท่นประลองก็เหลือเพียงความว่างเปล่า

ร่างของอวี้หลานชิงถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน

……

ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันออก แสงสีทองปกคลุมทั่วฟ้า

วันนี้คือวันเปิดสำนักรับศิษย์ที่มีห้าปีครั้งของสำนักกระบี่เสวียนเทียน

แสงอาทิตย์สาดลงบนบันไดหมื่นขั้นหน้าตำหนักยอดเขาเวิ่นเต้า ทำให้บรรดาคนที่กำลังเดินขึ้นเขารู้สึกวิงเวียนและเซไปมา

นี่เป็นด่านสุดท้ายของการทดสอบคัดเลือกศิษย์

เจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสกำลังรออยู่ในตำหนักที่ปลายบันได แต่ศิษย์ชุดใหม่รอบนี้มีคุณสมบัติธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นเท่ารุ่นก่อน

ขณะที่กำลังรู้สึกเบื่อหน่าย มีเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความยินดีดังขึ้น

“ยินดีด้วย!”

“ยินดีด้วย!”

“ท่านปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนออกฌานแล้ว!”

ตำหนักที่เงียบเหงาพลันคึกคักขึ้นมาทันที

เจ้าสำนักอวิ๋นไห่ลุกพรวดขึ้น “ฉางยวนออกฌานแล้วหรือ?”

“ศิษย์เห็นเองกับตา! ท่านปรมาจารย์กระบี่ไม่เพียงออกฌานโดยราบรื่น แต่อาการบาดเจ็บยังหายดี ระดับพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกขั้น!”

“ท่านปรมาจารย์กระบี่บอกว่า หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วจะมาพบท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสที่นี่”

เจ้าสำนักอวิ๋นไห่ยกยิ้ม เก็บอาการไว้ไม่อยู่

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม!”

“ตอนนี้อวี้หลานชิงอยู่ที่ใด?”

“รีบเรียกนางมาที่ตำหนัก นางยังไม่ได้คำนับฉางยวนอย่างเป็นทางการ”

เดิมทีแล้วหัวใจหลักของวันนี้คือพวกลูกศิษย์ใหม่ที่กำลังรับการทดสอบที่ขั้นบันได

ตามด้วยข่าวเรื่องการออกฌานของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนแพร่กระจายออกไป

สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่หญิงสาวหน้าตาเรียบนิ่งในชุดสีขาวปักปิ่นสีเงินที่อยู่หน้าตำหนัก!

นี่คือศิษย์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นที่สุดจากในกลุ่มศิษย์ที่เข้าสำนักเมื่อห้าปีก่อน อวี้หลานชิง

มีรากวิญญาณทองคำบริสุทธิ์ พรสวรรค์ของรากวิญญาณสูงถึงเก้าส่วนเก้า!

มีพรสวรรค์แบบเดียวกับปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งตงโจวเมื่อครั้งอดีต

ที่หายากกว่านั้นคือ นางผ่านการทดสอบบันไดหมื่นขั้นของยอดเขาเวิ่นเต้าเป็นคนแรก บ่งบอกว่าไม่เพียงมีพรสวรรค์ แต่จิตใจยังแข็งแกร่งไม่แพ้กัน

ตอนนั้นผู้อาวุโสหลายคนพากันแย่งนางเป็นศิษย์จนโต้เถียงกันในตำหนัก สุดท้ายต้องให้เจ้าสำนักอวิ๋นไห่ตัดสินใจรับนางเป็นศิษย์ของยอดเขาหลิงเซียวแทนปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน

ครานี้บรรดาผู้อาวุโสไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ อีก เพราะปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนคือผู้เป็นหนึ่งแห่งวิถีกระบี่แห่งตงโจว โดยเฉพาะหลังจากที่ปรมาจารย์กระบี่จาก ทั่วทั้งดินแดนตงโจวก็มีเพียงเขาคนเดียวที่ได้สมญานามว่า “ปรมาจารย์กระบี่”

น่าเสียดายที่เมื่อห้าสิบปีก่อน เขากับปรมาจารย์กระบี่เยวี่ยหวาได้ไปต่อต้านเผ่ามารที่หุบเขามารจนได้รับบาดเจ็บ อาการบาดเจ็บทวีความรุนแรงมากขึ้นตามกาลเวลา เมื่อสิบปีก่อนจำเป็นต้องประกาศว่าจะเข้าฌานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

สองปีมานี้ อวี้หลานชิงเริ่มโดดเด่นในสำนัก

ศิษย์บางคนเคยเย้ยหยันในใจ ท่านปรมาจารย์กระบี่เข้าฌานไม่ยอมออกมา แม้อวี้หลานชิงจะได้ชื่อว่าเป็น “ศิษย์ของปรมาจารย์กระบี่” แต่แท้จริงแล้วนางไม่เคยได้รับการชี้แนะจากเขาแม้แต่น้อย

แต่ตอนนี้ ความเย้ยหยันนั้นกลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉา

“อวี้หลานชิงนี่โชคดีชะมัด!”

“หลังจากเข้าพิธีคำนับอาจารย์วันนี้ นางก็จะเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของท่านปรมาจารย์กระบี่ ต่อไปจะได้สืบทอดเคล็ดวิชาจากเขา อนาคตสดใสไร้ขีดจำกัด!”

“ดูนั่นสิ คนที่เพิ่งเหาะเข้าไปยังตำหนักก็คือท่านปรมาจารย์กระบี่…”

“ประเดี๋ยวก็คงเรียกอวี้หลานชิงเข้าไปแล้ว”

ศิษย์ด้านนอกตำหนักพูดคุยกระซิบกระซาบ

แล้วก็เป็นไปดังคาด มีเสียงเรียกชื่อ “อวี้หลานชิง” ดังมาจากด้านใน

หญิงสาวที่ถูกเรียกชื่อสะดุ้งเฮือกหนึ่งและยืนนิ่งอยู่กับที่

“ศิษย์น้องหลางชิน?” ศิษย์ที่เดินนำทางร้องเรียกเบา ๆ

อวี้หลานชิงราวกับไม่ได้ยิน

เปลวเพลิงที่เคยลุกโชนเบื้องหน้าได้หายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยตำหนักคุ้นตาสูงใหญ่แสนคุ้นตา

ความคิดชัดเจนขึ้นทีละน้อย

ครั้นอวี้หลานชิงตั้งสติได้ ดวงตาพลันเป็นประกาย

นี่นางย้อนเวลากลับมางั้นหรือ!

กลับมายังวันที่คำนับปรมาจารย์กระบี่เป็นอาจารย์!

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 62

    สายตาของผู้คนล้วนติดตามผีเสื้อที่กลายร่างจากแสงวิญญาณ ไปหยุดอยู่ที่อวี้หลานชิงลั่วอู๋ซางพลันนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่ตนจะลงมือเป็นครั้งที่สอง ศิษย์หญิงผู้นี้เองที่แอบ “ปลดปล่อย” ศิษย์สำนักกระบี่หลายคนซึ่งถูกแรงกดดันกดทับไว้ต่อหน้าต่อตาเขาก็จริงอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงชมพูที่อาจเกี่ยวพันกับการตายของศิษย์ตน เอะอะก็ตาแดง แสร้งทำเป็นน่าสงสาร นางยังชวนให้พึงใจยิ่งกว่า“เอาเถิด ข้าจะเห็นแก่สำนักกระบี่เสวียนเทียน คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายถอยออกไปได้”มือที่ลั่วอู๋ซางยกขึ้นยังคงชี้ไปที่จี้ฝูเหยา น้ำเสียงเย็นชาไร้ปรานี “ข้าจะไต่สวนเพียงนางผู้เดียว”ร่างของจี้ฝูเหยาสั่นเทาเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ อย่างไร้ที่พึ่งศิษย์ร่วมสำนักที่นางมองไปหา ต่างพากันหลบสายตาแม้แต่เจินเหรินระดับแก่นปราณหลายคนที่ก่อนหน้านี้ยังคอยปกป้องนาง เวลานี้กลับพากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาพูดแทนนางอีกจี้ฝูเหยากำฝ่ามือแน่น ตัดใจเด็ดขาดหันไปทางเสิ่นหวยจั๋ว “ผู้อาวุโสเสิ่น อาจารย์ปู่…ท่านอาจารย์ของศิษย์ยังมาไม่ถึง ท่านจะทอดทิ้งศิษย์มิได้!”เสิ่นหวยจั๋วชิงชังที่สุดในชีวิตก็คือการมีผู้ใดมาข่มขู่ตนเองสายตาท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 61

    ต่อหน้าธารกำนัล เขานั่งลงบนเก้าอี้เมฆาตัวหนึ่งในนั้นอย่างไม่ลังเลจากนั้นก็ผลักเก้าอี้อีกตัวไปข้างหน้า โอบล้อมด้วยสายลมบริสุทธิ์ ส่งตรงไปยังด้านหลังของลั่วอู๋ซางศิษย์จากสี่สำนักที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็มองจนตะลึงงันผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่เสวียนเทียนท่านนี้ กำลังคิดจะทำสิ่งใดกัน?นี่มันยามใดแล้ว ยังจะมีกะจิตกะใจนั่งลงสนทนากันอีก!เหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียน ยิ่งร้อนใจหนัก พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าผู้อาวุโสเสิ่นคิดจะงัดกลอุบายอันใดออกมาเกรงว่าการกระทำของผู้อาวุโสเสิ่นอาจยิ่งยั่วโทสะลั่วอู๋ซาง ทำให้ทุกคนต้องพลอยรับเคราะห์หนักหนาสาหัสกว่าเดิมท่ามกลางแววตาสงสัยของผู้คนมากมาย เสิ่นหวยจั๋วเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวกับลั่วอู๋ซางว่า “สหายโปรดนั่ง เรื่องราวในวันนี้ ข้าพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว ข้ามิได้โน้มน้าวให้ท่านคลายโทสะ เพียงแต่อยากพูดคุยด้วยเหตุผลกับท่านเท่านั้น”เขาไม่เคยคิดจะประมือกับลั่วอู๋ซางเลยสักครั้ง เสิ่นหวยจั๋วผู้นี้ เป็นคนที่ยึดถือเหตุผลเสมอมาเป็นครั้งแรกที่ลั่วอู๋ซางต้องเผชิญกับคนที่เล่นนอกกติกาเช่นนี้อย่างไรเสียสองสำนักก็ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีงามอยู่ อีกทั้ง

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 60

    “ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนห่วงใยความปลอดภัยของศิษย์น้องหญิงจี้จริงดังคาด เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน ก็รีบมาด้วยตัวเองแล้ว”ส่วนลั่วอู๋ซางแห่งสำนักอู๋จี๋เตี้ยน มาเร็วก็จริง แต่ก็เป็นเพียงร่างแยกเท่านั้นแต่ดูจากแสงสีขาววาบเดียวเมื่อครู่นั้น เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำลายแรงกดดันของลั่วอู๋ซางได้ พลังนั้นชัดเจนว่าย่อมมีได้เมื่อร่างจริงมาถึงเท่านั้นต่างเป็นระดับเทพจุติเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงร่างแยก ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งปรากฏกายมาด้วยร่างจริง...ใครแพ้ใครชนะ มองปราดเดียวก็รู้แล้วเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนต่างถอนหายใจโล่งอกในที่สุดเหล่าเจินเหรินที่เมื่อครู่ยังรู้สึกไม่พอใจที่จี้ฝูเหยายั่วโมโหลั่วอู๋ซาง บัดนี้ต่างก็สงบความขุ่นเคืองใจลงแล้วอย่างไรเสีย จี้ฝูเหยาก็เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กระบี่ ไม่เห็นหรือว่าแค่นางเกิดปัญหาเล็กน้อย ปรมาจารย์กระบี่ก็รีบรุดมาด้วยตัวเอง?เพียงเท่านี้ ก็มากพอให้นางมีทุนที่จะเอาแต่ใจแล้วเช่นเดียวกับทุกคน จี้ฝูเหยาก็กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามทิศทางที่แสงสีขาวพุ่งมา บนหมู่เมฆที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่จี้ฝูเหยากำยันต์หยกไว้ในฝ่ามื

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 59

    ทั้งสองคนนี้อวี้หลานชิงไม่รู้จักเลย พียงเลือกคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเท่านั้นขณะที่นางยื่นมือช่วยเหลือศิษย์ร่วมสำนักใกล้ตัวต้านแรงกดดัน ทางด้านนั้น ลั่วอู๋ซางก็ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกจี้ฝูเหยาทั้งสี่แล้วมองปราดเดียวก็รู้ว่า จี้ฝูเหยาต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจได้ในบรรดาทั้งสี่คนและไม่สนใจว่าคนอื่นจะกล่าวว่าเขารังแกคนอ่อนแอกว่า สายตาจ้องเขม็งไปที่จี้ฝูเหยา มองจากที่สูงลงมาอย่างดูถูก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “พูดมา หลังจากเจ้าพบเฉินถงแล้วไปที่ไหน แยกจากกันเมื่อใด หลังจากนั้นเจ้าพบเขาอีกหรือไม่?”ใบหน้าจี้ฝูเหยาซีดเผือดภายใต้สายตาอำมหิตของยอดฝีมือระดับเทพจุติ นางตัวสั่นระริก จนไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมาแต่หาใช่เพราะแรงกดดันไม่ นางมีของวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบไว้ติดตัว จึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันของลั่วอู๋ซางที่ปกคลุมเหนือหัวของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนเพียงแต่นางมีระดับพลังยุทธ์เพียงขั้นหลอมปราณช่วงกลางเท่านั้น การถูกยอดฝีมือระดับเทพจุติจ้องด้วยสายตาอำมหิต ความกดดันเช่นนี้เพียงพอจะทำลายแนวป้องกันในจิตใจของนางได้นางหลับตาลงเบา ๆ กำยันต์หยกที่ท่านอาจารย์มอบให้ตนเอง สัมผัสถึงความอบอุ่นจา

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 58

    ภายในเตาหลอมใหญ่พลันปรากฏเงาร่างขึ้นมา แรกเห็นยังคงเลือนราง แต่เพียงพริบตาก็แน่ชัดเป็นรูปเป็นร่างอาภรณ์ดำ ผมสีเพลิง ปกเสื้อหลวมโครก เสื้อคลุมยับย่น ดูไม่งามตา แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเห็นเขาก้าวย่างอันองอาจ ก้าวข้ามออกมาจากเตาหลอมผมยาวสีเพลิงนั้น ถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจด้วยผ้าคาดผมสีขาว ในจังหวะที่เขาขยับกาย ผ้าคาดผมที่หลวมโครกนั้นก็ขาดสะบั้น ผมยาวสีเพลิงปลิวสยายออก พลิ้วไหวโดยไร้ลม ราวกับเพลิงโทสะที่ลุกโชนในดวงตาของเขา เพียงสบมองก็ทำให้ผู้คนพลันเกิดความหวาดหวั่นจากก้นบึ้งหัวใจนี่แหละความน่าเกรงขามของยอดฝีมือระดับเทพจุติแม้เป็นเพียงร่างแยกสายเดียว ก็สามารถทำให้คนนับร้อยตรึงอยู่กับที่พร้อมกัน อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“ผู้ใดบังอาจลงมือทำร้ายศิษย์ของข้า?” ลั่วอู๋ซางมองไปรอบทิศด้วยแววตาอันดุดันสายตาทอดไปที่ใด ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าสบตาหลิงสวินเฟิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ท่านอาจารย์ ท่านมาถึงเร็วเกินไป ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่พบสาเหตุที่ศิษย์น้องหายตัวไปขอรับ”“แล้วเหตุใดไม่รีบตรวจสอบต่อไปเล่า!”ลั่วอู๋ซางตวาดก้อง พูดจบแล้วก็ยกมือขึ้น พลังจิตวิญญาณสายหนึ่งพุ่งห่อหุ้มเ

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 57

    ก่อนที่ผู้อาวุโสจะมาถึง เจินเหรินหลายท่านของสำนักอู๋จี๋เตี้ยนยังคงสอบถามสำนักต่าง ๆ ว่ามีใครเคยพบศิษย์สองคนนั้นอีกบ้าง“สำนักอู๋จี๋เตี้ยนก็เหลือเกิน ตอนมาก็ให้คนรอ ตอนกลับก็ยังต้องรออีก ทำตัวใหญ่โตเสียจริง!”“แล้วคนเมื่อครู่นั้นก็ด้วย ท่าทีอย่างไรกัน กล้าพูดกับศิษย์น้องหญิงจี้แบบนี้ได้อย่างไร”ผู้คนที่อยู่รอบตัวจี้ฝูเหยา พากันเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนางสายตาของอวี้หลานชิงก็จับอยู่ที่จี้ฝูเหยาเช่นกันนางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในแดนลับ ตอนที่ขัดขวางจี้ฝูเหยาไม่ให้ใช้ค่ายกลเข็มทิศสอดส่องเข้าไปยังแดนลับใหญ่ ข้างกายจี้ฝูเหยามีผู้ติดตามอยู่หลายคนนอกจากลูกศิษย์ชั้นนอกสามคนของยอดเขาหลิงเซียวที่ยังยืนเคียงข้างจี้ฝูเหยาแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนตัวสูงคนหนึ่งตัวเตี้ยคนหนึ่ง ทั้งสองแต่งกายหรูหรา สีหน้าหยิ่งยโส สองคนนั้นน่าจะเป็นเฉินถงและหนานกงที่สำนักอู๋จี๋เตี้ยนกำลังตามหาในตอนนั้นแดนลับเพิ่งเปิดได้ไม่ถึงห้าวัน ระดับพลังยุทธ์ของจี้ฝูเหยายังคงหยุดอยู่ที่ขั้นดึงลมปราณเข้าร่างสัญชาตญาณบอกนางว่า จี้ฝูเหยาดูไม่ชอบมาพากลแต่ ณ เวลานั้นนางไม่อาจบอกได้ว่า ไม่ชอบมาพากลตรงไหนกันแน่“อาจารย์อาอวี้”เมื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status