Share

บทที่ 5

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
บัดนี้ ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสามคนที่เข้าสำนักกระบี่เสวียนเทียนต่างก็ถูกจัดสรรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รวมจี้ฝูเหยาแล้ว มีเพียงสี่คนที่มีอาจารย์ อีกหกสิบเก้าคนที่เหลือถูกแบ่งไปตามยอดเขาต่าง ๆ เริ่มจากเป็นศิษย์ชั้นนอก

“ศิษย์ทั้งหลายจงตามข้าไปที่ตำหนักเจี้ยนอิง เพื่อคารวะวิญญาณของปรมาจารย์กระบี่ทุกท่าน!”

เจ้าสำนักอวิ๋นไห่ลุกขึ้นเป็นคนแรก โบกแขนเสื้อพาทุกคนไปยังยอดเขาหลักด้านหลัง อันเป็นที่ตั้งของตำหนักเจี้ยนอิงที่อยู่ไม่ไกลจากห้องโถงใหญ่หารือ

ตำหนักแห่งนี้จะเปิดทุกห้าปี จะเปิดในยามที่มีศิษย์ใหม่เข้ามาในสำนัก เพื่อแจ้งให้บรรดาบรรพชนทราบถึงศิษย์รุ่นหลัง

แต่ไม่ใช่ศิษย์ใหม่ทุกคนที่จะมีโอกาสเข้าไปในตำหนัก คนส่วนใหญ่จะได้แค่ยืนอยู่นอกประตู มีเพียงศิษย์ที่มีอาจารย์เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปในตำหนัก หากโชคดีก็จะได้พรจากบรรพชนระหว่างที่ทำการสักการะ

เมื่อห้าปีก่อน เนื่องจากปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนเข้าฌาน สถานะศิษย์อาจารย์ยังไม่ชัดเจน อวี้หลานชิงจึงต้องยืนอยู่นอกตำหนักร่วมกับคนอื่น ๆ

ในวันนี้เมื่อชาติก่อน นางได้กลายเป็นศิษย์คนโตของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน ตามหลักแล้วมีสิทธิ์เข้าไปในตำหนัก

ทว่า ตอนนั้นปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนกลับพูดว่า ยอดเขาแต่ละแห่งสามารถส่งศิษย์เข้าไปได้แค่คนเดียว ตัวนางมาอยู่สำนักกระบี่เสวียนเทียนได้ห้าปีแล้ว ไม่ถือว่าเป็นศิษย์ใหม่ ควรมอบโอกาสนี้ให้ศิษย์น้องหญิงจี้ฝูเหยา

นางเข้าสำนักกระบี่เสวียนเทียนเมื่อตอนอายุสิบขวบ ตอนนั้นยังไม่ถึงวัยปักปิ่น กำลังไร้เดียงสา เชื่อคำพูดของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน ยอมยืนอยู่นอกตำหนักเจี้ยนอิงตามที่เขาบอก

เฝ้ามองจี้ฝูเหยาเข้าไปในตำหนักเจี้ยนอิง จากนั้นได้อันเชิญป้ายวิญญาณของปรมาจารย์กระบี่ชางหวนและประทานพร

แม้จะไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุใดแสงแห่งพรจึงดูอ่อนแรงและหยุดกลางคัน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบสองร้อยกว่าปีที่ป้ายวิญญาณของปรมาจารย์กระบี่ชางหวนมีปฏิกิริยา

ทั่วทั้งสำนักต่างตกตะลึง

ผู้อาวุโสที่ตอนแรกวิจารณ์ว่าความสามารถของจี้ฝูเหยาต่ำต้อย เมื่อเห็นว่าจี้ฝูเหยาสามารถเรียกแสงแห่งพร พวกเขาก็ไม่สงสัยอะไรอีกต่อไป

พากันชมว่าปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนมีสายตาเฉียบแหลม บอกว่าจี้ฝูเหยาได้รับการอวยพรจากปรมาจารย์กระบี่ชางหวน ถึงแม้คุณสมบัติจะค่อนข้างต่ำไปบ้าง กระนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด

“ศิษย์ อวิ๋นไห่ พร้อมด้วยศิษย์ใหม่ประจำปีนี้ ขอคำนับผู้อาวุโสทุกท่าน!”

เสียงของเจ้าสำนักอวิ๋นไห่ดังก้องกังวาน ดึงอวี้หลานชิงให้ออกจากห้วงความทรงจำ

เห็นตราอาคมสายหนึ่งลอยออกจากมือเขา จากนั้นกระทบลงที่ประตูตำหนัก

ประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดมานานค่อย ๆ เปิดออก เจ้าสำนักอวิ๋นไห่กำชับทั้งสี่คนที่คำนับอาจารย์วันนี้ “เข้าไปได้”

“ช้าก่อน!”

“เจ้าสำนัก”

มีเสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกันและมาจากทิศเดียวกัน

อวี้หลานชิงหันไปทางด้านข้างด้วยความประหลาดใจ สบสายตากับเสิ่นหวยจั๋วและถูกอีกฝ่ายส่งสายตาตอบกลับมาว่า “เดี๋ยวอาจารย์จัดการให้เอง”

“ลูกศิษย์ข้าเพิ่งคำนับอาจารย์วันนี้เช่นกัน ในเมื่อมีอาจารย์ เช่นนั้นก็สมควรได้เข้าไปในตำหนักด้วย”

“อวี้หลานชิงไม่ใช่ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในปีนี้…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งขมวดคิ้ว

“แล้วอย่างไร?”

เสิ่นหวยจั๋วตัดบท “ป้ายวิญญาณของท่านอาจารย์ข้าวางอยู่ด้านใน ศิษย์ของข้าก็นับเป็นศิษย์หลานสายตรงของเขา ตามหลักแล้วสมควรได้เข้าไปคำนับเขาสิ!”

เมื่อยกชื่อของ “ปรมาจารย์กระบี่ชางหวน” ออกมาอ้าง ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านอีก

เสิ่นหวยจั๋วแตกต่างจากพวกเขา เขาเป็นคนที่ไม่กลัวเสียหน้า หากมัวโต้เถียงกับเขาก็มีแต่จะอับอายต่อหน้าศิษย์ใหม่

เดิมทีจะมีคนเข้าไปในตำหนักกี่คนก็ได้อยู่แล้ว

เจ้าสำนักอวิ๋นไห่ไม่ถือสาที่จะเพิ่มจำนวนคนที่มีโอกาสได้รับพร นอกจากนี้ เสิ่นหวยจั๋วก็จะได้เลิกเอาเรื่องนี้มาโต้เถียงกับคนอื่นด้วย รีบกวักมือเรียกอวี้หลานชิงที่ยืนอยู่ข้างเสิ่นหวยจั๋ว

“ผู้อาวุโสเสิ่นพูดได้มีเหตุผล ถ้าเช่นนั้น นังหนูหลานชิง เจ้าก็เข้ามาเถิด”

“เจ้าค่ะ” อวี้หลานชิงขานรับเสียงดังฟังชัด

ภายในใจเหมือนจะร้องไห้ เหมือนกับแมวที่เดินอยู่ท่ามกลางสายฝน แต่แล้วจู่ ๆ กลับมีหลังคาช่วยกำบัง

จังหวะที่เดินผ่านข้างกายเสิ่นหวยจั๋ว นางชะงักฝีเท้าเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณท่านอาจารย์”

เมื่อชาติก่อน นางถูกอาจารย์ในตอนนั้นยึดโอกาสที่จะเข้าไปในตำหนักเจี้ยนอิง

แต่ในชาตินี้ที่เดิม ท่านอาจารย์คนใหม่กลับไม่ทำให้นางต้องแย่งชิงด้วยซ้ำ มอบโอกาสที่นางเคยเสียไปกลับคืนมาให้นางอีกครั้ง

ท่านอาจารย์คนใหม่คืออาจารย์ที่ดีที่สุดในใต้หล้า หาจากที่ใดไม่ได้อีกแล้ว!

ขณะที่อีกสี่คนก้าวเข้ามายังตำหนักเจี้ยนอิงอันโอ่อ่า ภายในใจอวี้หลานชิงกลับหวนนึกถึงความอบอุ่นที่ได้จากอาจารย์

ชั่วพริบตาที่ก้าวพ้นธรณีประตู กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้โกงกางก็ลอยปะทะจมูก ป้ายวิญญาณหยกขาวที่จารึกชื่อจัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนแท่นสูง

ป้ายหยกแต่ละแผ่นเป็นตัวแทนของปรมาจารย์กระบี่แห่งสำนักกระบี่เสวียนเทียน ที่บัดนี้ล่วงลับไปแล้ว

ป้ายเหล่านี้แผ่รัศมีอันน่าเกรงขามออกมา ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกมันแล้ว ราวกับยืนอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน รู้สึกกดดันอย่างยิ่ง

เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ศิษย์ทั้งห้าคนที่ก้าวเข้ามายังตำหนักก็มีเหงื่อออกเต็มหลัง

อวี้หลานชิงเองก็เช่นกัน

จิตสัมผัสของนางแข็งแกร่งกว่า “ศิษย์ใหม่” ขนานแท้อีกสี่คนด้านข้าง ย่อมสัมผัสอะไรได้มากกว่า

ป้ายวิญญาณที่ตั้งอยู่ในตำหนักเจี้ยนอิงเหล่านี้ เปรียบเสมือนกระบี่ที่ออกจากฝัก แผ่กระจายเจตจำนงกระบี่ไปทั่วทั้งตำหนักเจี้ยนอิง นี่เองที่เป็นที่มาของความรู้สึกกดดัน

เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจด้านนอกถูกเจตจำนงกระบี่ขวางกั้น ภายในตำหนักเจี้ยนอิงเงียบสงัด

ทั้งห้าคนคุกเข่าลงบนเบาะตามคำบอกกล่าวของเจ้าสำนักอวิ๋นไห่

อวี้หลานชิงเข้ามาเป็นคนสุดท้าย นางเห็นว่าเบาะตรงกลางยังว่างอยู่จึงคุกเข่าลงที่นั่น ฝั่งซ้ายเป็นศิษย์สองคนที่ผู้อาวุโสจวีหยางแห่งยอดเขาวั่งเฉิน รับเป็นศิษย์หลานแทนลูกศิษย์ของตัวเองอีกที ส่วนฝั่งขวาคือจี้ฝูเหยากับศิษย์อีกคนที่มีอาจารย์เช่นกัน

เมื่อคำนับศีรษะลง เจตจำนงกระบี่ที่กดทับร่างกายก็ราวกับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

อวี้หลานชิงคุกเข่าหลังตรง สองคนที่อยู่ด้านซ้ายส่ายโงนเงนไปมาเพราะรับแรงกดดันจากป้ายวิญญาณไม่ไหว

ส่วนทางด้านขวา จี้ฝูเหยากำวัตถุในมือไว้แน่น ยังคงคุกเข่าได้อย่างสง่างาม

หลังจากคำนับศีรษะสองครั้งแรก ภายในตำหนักดำเนินไปด้วยความเงียบเชียบ

ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าครั้งนี้ก็คงเหมือนทุกครั้ง ไม่น่าจะมีการประทานพรจากบรรพชน

ทันใดนั้น ป้ายวิญญาณตรงกลางด้านหน้าพลังเปล่งแสงจาง ๆ ออกมา

เจ้าสำนักอวิ๋นไห่ที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าตำหนัก สังเกตเห็นเป็นคนแรก

ตอนแรกเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่แล้วเมื่อเห็นว่าแสงนี้มาจากป้ายวิญญาณแผ่นใด เขากลับต้องเบิกตาโพลงโดยพลัน “ป้ายวิญญาณของปรมาจารย์กระบี่ชางหวนมีปฏิกิริยา!”

อวี้หลานชิงยังคงอยู่ในท่าคุกเข่าคำนับศีรษะเหมือนเดิม

นางชำเลืองมองไปทางขวามือเมื่อได้ยินเสียง ตอนนี้จี้ฝูเหยากำลังเงยหน้ามองไปด้านบน แววตามีแต่ความตื่นเต้นและมั่นใจอย่างแรงกล้า

แล้วก็เป็นไปดังคาด ป้ายวิญญาณของปรมาจารย์กระบี่ชางหวนยังคงมอบแสงแห่งพรให้นางเหมือนเมื่อชาติก่อน

ข้างหูได้ยินเสียงคนพูดแสดงความยินดีกับปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนที่ได้รับศิษย์ดี นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งถึงขั้นพูดว่า ความสามารถที่ด้อยไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อได้รับพรจากปรมาจารย์กระบี่ชางหวนและได้รับการชี้แนะจากอาจารย์แบบฉางยวน เช่นนั้นจี้ฝูเหยาจะต้องมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่แน่นอน ไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่มีจุดเริ่มต้นสูงกว่า

ถ้อยคำนี้เหมือนชมว่าจี้ฝูเหยาโชคดี และปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนเป็นอาจารย์ที่ดี แต่โดยนัยแล้วกลับเป็นการดูถูกอวี้หลานชิงกับอาจารย์คนใหม่ของนาง

หากดูถูกนางเพียงผู้เดียวก็คงไม่เป็นไร แต่นางยอมให้ท่านอาจารย์คนใหม่ถูกดูแคลนไม่ได้

เมื่อนำฉางยวนกับอาจารย์คนใหม่มาเทียบกัน

น้ำหน้าแบบฉางยวนน่ะหรือที่คู่ควร?

ความชิงชังและไม่ยอมรับเอ่อล้นเข้ามาในใจ ชั่วพริบตานี้ พลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจตจำนงกระบี่ใด ๆ ในตำหนักก็ได้ปะทุออกจากร่างของอวี้หลานชิง

และในเวลาเดียวกัน ป้ายวิญญาณที่วางเรียงรายเบื้องหน้าในตำหนักก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาพร้อมกัน

แสงเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันและส่องลงมายังศีรษะของอวี้หลานชิง

แสงอ่อน ๆ ที่ส่องไปยังจี้ฝูเหยาเป็นอันหมองลงทันทีเมื่อเทียบกับแสงที่สว่างราวกับเป็นเวลากลางวันนี้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 100

    บรรดาสำนักที่เมื่อครู่นี้ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ เวลานี้ได้ยึดครองตำแหน่งที่ดีที่สุดบนอัฒจันทร์แล้ว ส่วนสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กที่เหลือก็แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างที่สำนักใหญ่เหลือไว้ อวี้หลานชิงนั่งอยู่บนที่นั่งของศิษย์สายตรงชั้นใน นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ทอดสายตามองไปยังเบื้องล่างที่มีศีรษะผู้คนอยู่อย่างเนืองแน่นผู้ฝึกตนในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนมีเกือบหนึ่งแสนคนเลยทีเดียวเมื่อรอให้ทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว แสงที่เปล่งออกมาจากเสาค้ำฟ้าโดยรอบก็รวมตัวเข้าด้วยกันชายชราผมขาวโพลนดุจหิมะคนหนึ่ง ถือไม้เท้าหัวมังกร ดูสง่างามดั่งเซียนมากกว่าอวี้ชิงจื่อจากสำนักอวี้ซวีก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศทุกก้าวที่เดิน ร่างก็เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นราวกับว่าเดินมาจากท่ามกลางความว่างเปล่า ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ตรงใจกลางสนามเมื่อเขาปรากฏตัว เจ้าสำนักต่าง ๆ ที่อยู่บนที่นั่งสูงสุดของอัฒจันทร์โดยรอบก็พากันลุกขึ้น ประสานมือคารวะชายชราผู้นั้นแล้วร้องเรียกว่า “ผู้อาวุโสเช่อ” “ผู้อาวุโสเช่อผู้นี้เป็นใครกัน?” จิตวิญญาณของอวี้หลานชิงอยู่แค่ระดับหลอมแก่นปราณเท่านั้น ไม่อาจมองทะลุระดับพลังยุทธ์ของชายชราได้ คนท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 99

    เวลานี้เอง ฉากที่อยู่ด้านนอกเสาค้ำฟ้าแทบจะเป็นภาพจำลองของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด เมืองที่รองรับผู้คนได้หลายแสนคนแห่งนี้ ทุกคนในเมืองล้วนเฝ้าติดตามสถานการณ์ของทางเสาค้ำฟ้าตรงใจกลางเมือง ศิษย์สำนักใหญ่ที่นำโดยอาจารย์จากสำนัก ต่างก็ยืนอยู่บนอาวุธวิเศษเหาะเหินขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงแวววาวของสำนักต่าง ๆ ส่วนลูกศิษย์ของสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กก็ยืนอยู่บนพื้นดิน รออยู่รอบ ๆ เสาค้ำฟ้าอย่างเงียบเชียบถัดออกไปด้านนอก ยังมีผู้ฝึกตนอิสระนับไม่ถ้วนที่ไม่มีสิทธิ์เข้างานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนกำลังชะเง้อคอมองสถานการณ์ในนี้ แววตาแฝงไปด้วยความชื่นชมและความหลงใหลใฝ่ฝันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก่อนที่หมอกจาง ๆ ที่ปกคลุมเสาค้ำฟ้าจะสลายหายไป สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังบรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศอัดฉีดพลังวิญญาณเข้าไปในเสาค้ำฟ้า ผู้ที่ยืนตระหง่านกลางอากาศปลดปล่อยพลังอันมหาศาลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ส่วนมากก้าวเข้าสู่ระดับทารกวิญญาณช่วงปลายแล้ว ยังมีบางส่วนที่ครอบครองพลังของระดับเทพจุติด้วยผู้ทรงพลังที่มีคว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 98

    บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้จี้ฝูเหยายังเยาว์วัย ยังไม่เข้าใจการเก็บงำอารมณ์โดยสมบูรณ์ หรืออาจเป็นเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาสองชาติ ทำให้อวี้หลานชิงเข้าใจนางดีเกินไป เมื่อจิตสัมผัสรู้สึกได้ถึงสายตาของจี้ฝูเหยาที่มองตามหลังอีกฝ่ายไป อวี้หลานชิงก็คาดเดาการกระทำต่อไปของนางได้แล้ว นางทำเช่นนี้เป็นประจำใช้ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา คำนึงถึงผู้อื่นมาดึงดูดทุกคนที่มีประโยชน์ต่อนาง ชาติที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะกระบี่ที่ทะลวงหัวใจในตอนสุดท้าย อวี้หลานชิงก็คงถูกรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกไปแล้ว ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อวี้หลานชิงไม่อยากใช้คำพูดที่ร้ายกาจมาบรรยายจี้ฝูเหยา แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่แสดงออกมาเลย สายตาของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนน่าเป็นห่วงยิ่งนักความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจ อวี้หลานชิงก็อดไม่ได้ที่จะ “ถุย” อีกครั้ง ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน ศิษย์อาจารย์คู่นั้นชอบพอกันและกัน มีความรักต้องห้าม เรียกได้ว่าเหมือนเต่ามองถั่วเขียว รับสืบทอดสายตาที่ย่ำแย่มา“ไปกันเถิด” อวี้หลานชิงหันหน้ากลับมามอง เจ้าของแผงลอยที่ยังกำถุงเก็บของไว้แน่นเพราะกล

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 97

    อวี้หลานชิงไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง และไม่อยากอธิบายอะไร เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดจะสังหารสัตว์วิญญาณตัวนี้เลย ในเมื่อจี้ฝูเหยายินดีเข้ามายุ่งเรื่องผู้อื่น ก็ปล่อยให้นางดูแลต่อไปก็พอ “ศิษย์หลานกล่าวมีเหตุผล เช่นนั้นหน้าที่สำคัญอย่างตามหาเจ้าของสัตว์วิญญาณตัวนี้ก็ยกให้ศิษย์หลานจัดการแล้วกัน” “แต่ว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้มีนิสัยซุกซน ศิษย์หลานต้องคอยจับตาดูหน่อย อย่าให้มันทำร้ายผู้คนอีกเป็นอันขาด” อวี้หลานชิงพูดจบก็เก็บกระบี่ยาว เจ้าของแผงลอยที่อาศัยช่วงเวลาชุลมุนเก็บกล่องบรรจุหญ้าเย็นกระจ่างกลับคืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง ก็ฉวยโอกาสที่จี้ฝูเหยาพูดเมื่อครู่นี้เก็บข้าวของบนแผงลอยจนเสร็จเรียบร้อยนานแล้วอวี้หลานชิงส่งสายตา เขาก็เดินตามหลังนางออกจากฝูงชนทันทีจิ้งจอกแดงเพลิงที่ก่อความวุ่นวายไปครึ่งถนนตัวนั้น เมื่อครู่กำลังทำตากลมสุกใสนิ่งอยู่กับที่ มองอวี้หลานชิงกับจี้ฝูเหยาเหมือนชมละครสนุก ๆ ก็ไม่ปานปากยังคงเคี้ยว “หนวดหัวไชเท้า” ที่มันโยนทิ้งไว้บนพื้นลวก ๆ ก่อนหน้านี้อย่างไม่เร่งรีบเมื่อเห็นอวี้หลานชิงและเจ้าของแผงลอยนำสมุนไพรวิญญาณที่มันหมายตาจากไป มันก็อดร้อนใจไม่ได้มันคายหนวดหัว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 96

    วิญญาณร้ายยังไม่สลายไปสักที ในสมองของอวี้หลานชิงผุดขึ้นมาแปดคำทันที จี้ฝูเหยาที่อยู่ตรงหน้าถือกระบี่ใบหลิวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปลายกระบี่เรียวเล็ก ตรงด้ามกระบี่เคลือบทอง บนนั้นยังฝังอำพันที่ส่องประกายแวววาวสามก้อนตอนที่กระบี่ทั้งสองปะทะกันเมื่อครู่นี้ อวี้หลานชิงรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณธาตุไฟที่บริสุทธิ์สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่เล่มนั้น เป็นลมปราณสายนี้เองที่ต้านทานปราณกระบี่ของนาง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกระบี่เล่มใหม่ที่ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนมอบให้จี้ฝูเหยา แม้จะเทียบไม่ได้กับกระบี่ที่หล่อหลอมปราณกระบี่ของปรมาจารย์กระบี่เยวี่ยหวาเล่มนั้นในชาติก่อน ซึ่งเข้ากับวิชาที่จี้ฝูเหยาฝึกฝนแต่ก็เป็นกระบี่ดีที่หาได้ยากเล่มหนึ่งจริง ๆ อย่างน้อยในแง่ของระดับก็ถือว่าหายากมากนี่ไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่เป็นอาวุธวิญญาณ แตกต่างกันเพียงคำเดียว แต่ราคาและความล้ำค่าระหว่างทั้งสองนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อาวุธวิญญาณทั่วไปมีราคาแค่หินวิญญาณไม่กี่ร้อยก้อน แพงอีกแค่ไหนก็แค่พันกว่า แต่อาวุธวิญญาณเป็นสิ่งที่มีราคาแต่ไม่มีในตลาดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนระดับหลอมปราณเลย ตลอดชีวิตของผู้ฝึกตนระดับห

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 95

    เจ้าของแผลลอยกล่าวจบก็แอบเชยตามองปฏิกิริยาของอวี้หลานชิง จากนั้นก็เห็นนางทำสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยสักคำเดียวในใจอด “กระตุก” ขึ้นมาไม่ได้ผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้คงไม่ให้เขาคืนหินวิญญาณหรอกนะ?ศิษย์ของสำนักใหญ่ ปกติแล้วจะไม่ยอมเสียหน้ากระมัง?แต่ว่าไม่มีเรื่องอะไรที่แน่นอน เขาตัดสินใจแล้วว่าหากผู้ฝึกตนหญิงตรงหน้าให้เขาคืนหินวิญญาณละก็ เขาจะเก็บแผงหนีไปทันที จากนั้นก็เปลี่ยนที่แล้วค่อยตั้งแผงใหม่ เจ้าของแผงลอยถึงค่อยเอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวังว่า “สหายน้อย?” สิ่งที่อวี้หลานชิงคิดไม่ใช่เรื่องขอหินวิญญาณคืน “เมื่อครู่ท่านบอกว่าสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ระงับพิษเพลิงชื่อว่าอะไรนะ?”“หญ้าเย็นกระจ่าง สมุนไพรวิญญาณชั้นสูง หนึ่งต้นสามารถระงับพิษเพลิงได้สามเดือน” ความคิดที่จะหนีไปของเจ้าของแผงลอยถูกโยนทิ้งไว้ที่ด้านหลังสมองทันที ก่อนจะถามด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นว่า “สหายน้อยถามถึงสมุนไพรนี้ แสดงว่า?”“ข้ามีอยู่ต้นหนึ่ง” อวี้หลานชิงก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกันว่ามีสมุนไพรวิญญาณเช่นนี้อยู่ในแหวนเก็บของของตนเป็นของที่ผู้อาวุโสจวีหยางจากสำนักมอบให้ในพิธีกราบอาจารย์ก่อนหน้านี้ สมุนไพรวิญญาณที่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status