แต่เป็นกลิ่นของสิ่งใดกัน? คล้ายกำยานจันทน์หอม ทว่ามีความเย็นเยียบเจือปนบางเบา ราวกับไอหมอกในยามรุ่งสาง
"อึก!"
มัวแต่เหม่อจนไม่ทันระวัง เท้าบางก้าวพลาดไปเบื้องหน้า และก่อนที่ร่างของนางจะร่วงลงสู่พื้น
"หมับ!"
ฝ่ามือใหญ่ของใครบางคนได้คว้าแขนของนางไว้แน่ สัมผัสอบอุ่นประคองร่างนางไว้อย่างมั่นคง และกลิ่นหอมประหลาดที่นางเพิ่งสูดเข้าจมูกเมื่อครู่ ก็ลอยอวลอยู่ตรงนี้จากตัวบุรุษผู้นี้
"ขอบคุณท่านมาก"
มู่หรงเซียวเงยหน้าขึ้น เสียงของนางแม้จะมั่นคงดี แต่หัวใจกลับเต้นแรงผิดจังหวะ
ภาพที่ปรากฏในสายตาคือบุรุษผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม ดวงตาสีทองลึกล้ำราวกับพญาเหยี่ยว จ้องมองลงมาด้วยแววตายากจะหยั่งถึง
ราวกับสายลมอันเยียบเย็นปะทะเข้ากับผิวกาย ดวงตาคู่นั้นแม้จะสว่างไสว ทว่าแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและอำนาจอันน่าหวาดหวั่น
สายตาที่จับจ้องราวกับ... นางเคยทำสิ่งใดให้เขาโกรธเคืองมาก่อน
"เอ่อ... คุณชาย ปล่อยข้าได้แล้วขอรับ"
บุรุษนิรนามยังคงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือนางไปในที่สุด
"อาเซียว มีอันใดหรือ ทำไมสีหน้าของเจ้าดูไม่ดีเลย?"
เสียงของมู่หรงเยวี่ยนดังขึ้น พร้อมกับร่างของพระเชษฐาที่ก้าวมาหานาง
"ข้า..."
มู่หรงเซียวรีบหันกลับไปมองรอบตัว แต่บุรุษผู้นั้นหายไปแล้ว!
"ไม่มีอะไร เสด็จพี่... เอ่อ พี่ใหญ่ เรารีบกลับกันดีกว่า"
นางกระพริบตา ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวตามพระเชษฐากลับวังหลวงไป
ทว่า ดวงตาสีทองคู่หนึ่ง ยังคงจับจ้องแผ่นหลังของนางจากเงามืด สายตาที่ทอดมองราวกับว่ามีบางอย่างถูกจุดประกายในห้วงลึกของจิตใจ
สายตาที่เต็มไปด้วย "ความรัก" แต่กลับแฝงไว้ด้วย "โทสะ"
"เสด็จพี่ ข้ากลับมาแล้ว ไม่ทราบว่าโรงน้ำชาของข้าทำให้พึงพอพระทัยหรือไม่?"
เสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับร่างของบุรุษสูงโปร่งผู้หนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ เขาสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อนตัดลายเงิน รูปโฉมหล่อเหลาแฝงแววเสน่ห์แบบคนเจ้าสำราญ ท่วงท่าสบายๆ ไม่รีบร้อน ทว่าดวงตากลับฉายแววเฝ้าระวัง
“หวังหย่ง” มองพระเชษฐาของตนด้วยความเป็นห่วง แม้จะเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย แต่เขาก็อดถามไถ่ไม่ได้
"ข้าสบายดี"
สุรเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น หวังเฟิ่งเงยพระพักตร์ขึ้นจากถ้วยชา ดวงเนตรสีทองลึกล้ำจับจ้องบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า
"หวังหย่ง ไม่ได้พบกันหลายปี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หรือเสเพลจนลืมไปแล้วว่าเจ้ายังมีงานรออยู่?"
"เสด็จพี่อย่าบังคับข้าเลย"
หวังหย่งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทรุดกายนั่งลง
"ข้าชอบชีวิตที่สงบแบบนี้มากกว่า อย่างน้อยความเสเพลของข้า ก็ทำให้ท่านได้พบนางมิใช่หรือ?"
"..!"
ปลายนิ้วที่กำลังแตะขอบถ้วยชาของหวังเฟิ่งหยุดนิ่งทันที คำว่า "นาง" เพียงคำเดียว... กลับทำให้ทุกความรู้สึกเดิมพลันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะได้พานพบกับนางอีกครั้ง แต่นางกลับมิได้จำอะไรได้เลย มิเป็นไร หากนางจำอะไรไม่ได้ เขาจะเป็นคนรื้อฟื้นความทรงจำของนางด้วยตัวเอง
และที่สำคัญ...เขาจะทำให้นางตอบคำถาม ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น นางทำลงไปด้วยเหตุผลใดกันแน่
วันดีๆ ในฤดูใบไม้ร่วงช่างงดงามเป็นพิเศษ เมื่อดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้า เจิดจ้าประหนึ่งกำลังประทานพรให้กับองค์หญิงผู้เป็นเจ้าของงาน
ในที่สุดก็ถึงวันทำพิธีปักปิ่นขององค์หญิงมู่หรงเซียว พระธิดาเพียงองค์เดียวที่ประสูติจากฮองเฮาหวงจินเหลียนที่ฮ่องเต้ของแคว้นเจียงหนานแสนจะรักยิ่ง และด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จึงทรงโปรดปรานมู่หรงเซียวเป็นที่สุด
องค์หญิงน้อยเติบโตมาท่ามกลางความรักและความทะนุถนอม นิสัยซุกซน ขี้อ้อน ทำให้ไม่ว่าใครก็ยากจะปฏิเสธนางได้ ไหนจะมี พระเชษฐาผู้หวงแหนนางเกินใคร ช่างเป็นสตรีที่โชคดีนักในแคว้นเจียงหนาน
พิธีปักปิ่นครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นที่อุดมสมบูรณ์
ทั่วทั้งตำหนักหลวงถูกประดับประดาด้วยผ้าไหมชั้นดี ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของแคว้น สตรีสูงศักดิ์ล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์งามวิจิตร ลวดลายปักทองอ่อนละมุนสะท้อนแสงคบไฟระยิบระยับ
ราชทูตและองค์ชายจากแคว้นต่างๆ ทยอยเดินทางมาถึง แต่กระทั่งถึงบัดนี้เหลือเพียงแค่แคว้นต้าชิงที่ยังมิได้ส่งผู้แทนเข้ามา
ในบรรดาแคว้นพันธมิตร แค้วนต้าชิงถือเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งอาณาเขตกว้างใหญ่ ทั้งกองกำลังที่เปรียบดั่งป้อมปราการเหล็ก นักรบของต้าชิงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ยากที่แคว้นใดจะกล้าต่อกร ยากที่แคว้นใดจะไม่หวาดเกรง
"ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าชิงเสด็จ!"
เสียงขันทีประกาศก้องกลางท้องพระโรง ร่างของเขาสั่นเล็กน้อย หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มแผ่นหลัง
ไม่เคยมีผู้ใดคาดคิดว่าผู้สูงศักดิ์ที่สุดในต้าชิงจะเสด็จมาร่วม พิธีปักปิ่นขององค์หญิงแห่งแคว้นเล็กๆ เช่นนี้!
“โปรดอย่าหยุด...หวังเฟิ่ง” “ได้ ข้าให้ตามคำที่เจ้าขอ” หวังเฟิ่งประคองสะโพกของหญิงสาวขึ้นมา แล้วแทรกตัวเข้าไปจนสุดทาง ทั้งสองร้องครางออกมาพร้อมกันทันที “เซียวเอ๋อร์...ข้า” “ทำตามที่ใจท่านปรารถนาเถิด หวังเฟิ่ง” ชายหนุ่มโยนความอดกลั้นทั้งหมดทิ้งไป แล้วสะบัดเอวเข้าไปทันที แรกเริ่มเขาเพียงต้องการให้นางปรับตัวได้ แต่ยิ่งสอดใส่มากขึ้นเท่าใด ความเสียวซ่านก็ยิ่งทวีขึ้นทุกขณะ ชายหนุ่มมองร่างอวบอิ่มที่นอนอยู่เบื้องล่าง ตอนนี้ทรวงอกคู่งามกำลังสั่นไหวตามจังหวะรักที่เขากำลังกระแทกเข้าไปไม่หยุด มู่หรงเซียวปรือตามองเขา ขณะที่สองมือกำลังจิกหมอนจนแน่น สองแก้มของนางแดงก่ำราวกับผลผิงกั่ว “เซียวเอ๋อร์...เจ้าช่างดียิ่ง” หวังเฟิ่งกัดริมฝีปากขณะที่กระแทกเอวเข้าไปถี่ๆ เขาเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจ ขณะที่แก่นกายแกร่งสัมผัสกับกลีบดอกไม้งามของภรรยา มู่หรงเซียวทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาบนหมอน แล้วปล่อยให้ร่างกายและจิตใจถูกหวังเฟิ่งชักนำไปตามที่เขาต้องการ ขณะที่ความร้อนตรงจุดเชื่อมประสานยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ นางใช้สองขาเกี่ยวเอวของเขาไว้
ขบวนเสด็จของมู่หรงเซียวเดินทางเข้าสู่ต้าชิงอย่างสมพระเกียรติ นางมิใช่เพียงองค์หญิงแห่งเจียงหนานอีกต่อไป แต่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นหงส์เคียงข้างมังกรพิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทั่วทั้งเมืองหลวงต้าชิงเต็มไปด้วยสีแดงแห่งความมงคล ประชาชนต่างพากันเฉลิมฉลองทว่าภายในใจของผู้เป็นเจ้าของบัลลังก์มังกรนั้นกลับสงบนิ่ง ไม่ใช่เพราะไร้ความรู้สึก หากแต่เป็นเพราะรอคอยวันนี้มานานจนมิอาจกล่าวเป็นคำพูดได้ยามราตรี หวังเฟิ่งและมู่หรงเซียวทอดพระเนตรไปยังท้องฟ้ากว้าง ราวกับต้องการให้แสงจันทร์เป็นพยานแห่งโชคชะตา ครั้งหนึ่งเคยพลาดพลั้ง คำสัญญาที่เคยล่มสลาย บัดนี้ทุกสิ่งกำลังจะถูกชดเชยให้สมบูรณ์“ข้าเคยคิดว่าข้าจะไม่มีวันได้รับโอกาสแก้ไขอดีต”หวังเฟิ่งเอื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว พลางกุมมือนางไว้แน่น“แต่แล้วโชคชะตาก็พาเจ้ากลับมา”มู่หรงเซียวยิ้มบาง ทว่าดวงตากลับสะท้อนความรู้สึกที่ลึกซึ้ง“ข้าเองก็เคยคิดว่า ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านอีก”หวังเฟิ่งชะงักไปชั่วขณะ มือที่กุมมือนางไว้ยังคงมั่นคง แต่ดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความลังเล“แล้วตอนนี้เล่า?”มู่หรงเซียวมองสบดวงตาสีทองนั้นอย่างแน่วแน่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่น“ข
ณ ประตูเมืองต้าชิง ขบวนราชทูตจากแคว้นเจียงหนานยืนเรียงรายอยู่เบื้องหลังของมู่หรงเซียว รถม้าและกองทหารพร้อมเดินทางกลับแคว้น แต่ถึงแม้ทุกอย่างจะพร้อม นางกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเบื้องหน้าของนางคือหวังเฟิ่ง ฮ่องเต้ผู้ทรงอำนาจของแคว้นต้าชิง ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องมู่หรงเซียวแน่วแน่ ราวกับต้องการจดจำนางให้ลึกลงไปในหัวใจ"เจ้าต้องกลับไปจริงๆ หรือ?""ข้ามีหน้าที่ของข้าที่ต้องทำ เสด็จพ่อและเสด็จแม่รอข้าอยู่"หวังเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า ด้วยตัวเขานั้นยังมีภารกิจที่จะต้องเร่งฟื้นฟูบ้านเมือง ทำให้เขาจำต้องยมปล่อยมือนางไปชั่วคราว"ข้าเข้าใจ... เจ้าควรกลับไป""หน้าที่ของข้าสิ้นสุดลงแล้ว... แต่หากวันหนึ่งท่านต้องการให้ข้ากลับมา"หวังเฟิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะคลี่ยิ้มบาง"ข้าจะไปหาเจ้า แต่เจ้าต้องรอข้า""ข้ารอท่านได้... แต่ท่านต้องไม่มาช้าจนข้าแต่งออกเรือนไปเสียก่อน"ดวงตาของหวังเฟิ่งทอแสงอันตรายขึ้นทันที"เจ้ากล้าหรือ?"มู่หรงเซียวยกยิ้มบาง"หากท่านช้าไปจริงๆ ข้าก็อาจต้องพิจารณา""อย่าหวังเลย"หวังเฟิ่งก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาฉายแววมุ่งมั่นและจริงจัง"ข้าจะไม่ยอมให้
ไทเฮามองภาพตรงหน้า นางกัดฟันแน่น"น่าขยะแขยง! ความรักของพวกเจ้าเป็นเรื่องงี่เง่า ความเชื่อใจเป็นเพียงคำโกหก เจ้าไม่สมควรได้รับความสุข! เจ้าต้องเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเคยเจ็บปวด!"ภายในตำหนักเย็นที่ถูกปกคลุมด้วยความหนาวเหน็บ แสงจากตะเกียงริบหรี่สะท้อนเงาของหญิงผู้เคยครอบครองอำนาจสูงสุดของแผ่นดินไทเฮา... บัดนี้มิใช่ "มารดาแห่งแผ่นดิน" อีกต่อไปหลังจากที่ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย นางถูกปลดจากฐานะไทเฮา ถูกกักบริเวณให้ใช้ชีวิตที่เหลือไปกับความอ้างว้าง ไม่มีอำนาจ ไม่มีผู้คนให้ความเคารพ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้นางยึดเหนี่ยวเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นหน้าตำหนัก บานประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงสง่าของบุรุษที่เคยเรียกนางว่า ‘มารดา’"เสด็จแม่...""หึ... ตอนนี้เจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าเสด็จแม่อยู่อีกหรือ?"ไทเฮาหัวเราะเย้ยหยัน แม้น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความขมขื่น"ข้าเป็นเพียงสตรีเฒ่าที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ รอวันหมดลมหายใจ ไยต้องแสร้งทำเป็นเมตตาข้า?"หวังเฟิ่งมองนางอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆข้ามิได้มาเพื่อแสร้งเมตตา แต่ข้ามาเพื่อให้ท่านยอมรับผิดและข้าจะให้โอกาสสุดท้าย หากท่านสำนึกผิด ข้ายังอาจให้ท่านได้อยู่อ
"ว่าอย่างไรนะ!?"มู่หรงเซียวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ"ข้าขโมยเขามาจากสนมคนหนึ่ง สนมที่อดีตฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด""...""แต่เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าไม่ได้ขโมยเขามาเพราะรัก ข้าแค่ต้องการอำนาจ แต่เด็กคนนั้นโตขึ้นมาและปฏิเสธที่จะมอบอำนาจให้แก่ข้า"มู่หรงเซียวยังคงนิ่งเงียบ นางเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว"ข้าสนับสนุนเขาขึ้นเป็นไท่จื่อ ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ข้าอบรมเขา ให้เขาทำตามที่ข้าต้องการ แต่เขากลับทรยศข้า! เขาปฏิเสธตระกูลหลิวและอีกหลายตระกูลที่อยู่ฝั่งของข้า ไม่มอบอำนาจให้ญาติฝ่ายข้า แม้กระทั่งหลังจากขึ้นครองราชย์ เขาก็ไม่ยอมให้ข้าแตะต้องอำนาจของเขาแม้แต่น้อย"ความเคียดแค้นฉายชัดในแววตาของไทเฮา"และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงต้องการทำให้เขาเจ็บปวดที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้มากที่สุด...ก็คือเจ้า เซียวหยางมี่"แต่ก่อนที่ไทเฮาจะได้เอ่ยเอื้อนประโยคต่อไป เสียงฝีเท้าหนักแน่นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าตำหนัก"เสด็จแม่!"ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นร่างสูงสง่าของหวังเฟิ่งที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์คู่ใจ พระเนตรสีทองของเขาเต็มไปด้วยโทสะ นัยน์ตาแดงก่ำ ราวกับถูกโหมด้วยเพลิงไฟจากภายในเขาได้ย
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดกินเวลานานกว่าครึ่งคืน ศัตรูที่บุกเข้ามาถูกสังหารและขับไล่ออกไปจนหมด ศึกกบฏจบลง ชาวบ้านต้าชิงรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสงบ องค์หญิงมู่หรงเซียวกลับหายตัวไป ร่างของนางถูกลักพาตัวไปในยามวิกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เมื่อมู่หรงเซียวได้สติ นางพบว่าตัวเองถูกกักขังอยู่ในตำหนักลับที่ไม่คุ้นเคยแสงไฟในห้องสลัว กลิ่นกำยานหอมกรุ่นลอยฟุ้งปะปนไปกับกลิ่นสมุนไพรจางๆ อากาศภายในตำหนักชวนให้อึดอัด ราวกับมีเงาของสิ่งชั่วร้ายแฝงตัวอยู่เบื้องหน้าของนางคือสตรีวัยกลางคนผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ อาภรณ์ของนางปักลวดลายมังกรหงส์อย่างวิจิตร“ไทเฮา!”มู่หรงเซียวเม้มปากแน่น แม้นางจะถูกจับมาโดยไม่รู้ตัว แต่นางยังคงรักษาความสงบนิ่งของตนเองเอาไว้สตรีผู้นั้นมองนางนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา"เจ้าช่างเหมือนนางเหลือเกิน"แม้มู่หรงเซียวจะไม่ได้เอ่ยคำใด แต่ภายในใจของนางรู้ดีว่า ไทเฮาหมายถึงผู้ใด"อย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือเซียวหยางมี่ ที่มาเกิดใหม่ด้วยอาคมของหวังเฟิ่ง!"เสียงของไทเฮาดังขึ้นเรื่องๆ น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนนั้นแฝงไปด