LOGIN“เหตุใดต้องยอมให้พวกนั้นรังแกเล่า เหตุใดไม่สู้” เหยาหมิงเผลอถามคำถามโดยไม่รู้ตัว
“ไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ไม่มีความกล้ามั้ง” ลี่เหม่ยเอ่ยพลางสบตาบุรุษเบื้องหน้า
“แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ข้าไม่ใช่คนสกุลหวงไม่จำเป็นตรงกลัวพวกเขาอีกต่อไป” นางยักคิ้วให้กับเหยาหมิงก่อนจะมองชมความงามของสินค้าสองข้างทาง
“หึ! ร่วงจากขื่อครั้งเดียวทำให้เจ้ามีความกล้าขึ้นเยอะนี่” แม่ทัพปราบเหนือเหยียดยิ้มพลางกล่าวพึมพำก่อนเบนสายตาไม่สนใจสตรีเบื้องหน้าอีก
รถม้าจอดหน้าจวนแม่ทัพ ลี่เหม่ยที่ทนแสบร้อนจากน้ำล้างชามไม่ไหวลุกพรวดขึ้นรีบออกจากรถม้า โดยไม่รอให้บุรุษอย่างเขาลงจากรถม้าก่อน จนเหยาหมิงต้องมองค้างกับท่าทางแปลกประหลาด ไม่รู้จักธรรมเนียมของนาง
“ตระกูลหวงไม่เคยสอนหรือว่าต้องให้บุรุษลงจากรถม้าก่อน” ชายหนุ่มตำหนินางทันทีที่ลงจากรถม้าได้
“อาจจะเคยสอน แต่ข้าสมองน้อยไม่จำเอง”
“หากท่านแม่ทัพไม่ว่าอะไร ข้าขอไปอาบน้ำก่อนแสบไปหมดแล้ว” ลี่เหม่ยไม่กล่าวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกาเนื้อตัวจนอาภรณ์เลิกขึ้นสูงมองเห็นข้อเท้าขาวนวล
“นี่! ไม่มีผู้ใดบอกเจ้าหรืออย่างไรว่าไม่ควรอวดเนื้อหนังให้บุรุษมองช่างไร้ยางอายนัก” เหยาหมิงหน้าแดงรีบหันหน้าไปทางอื่น พลางกล่าวตำหนิสตรีตรงหน้า ต่างจากลี่เหม่ยที่ยังงุนงง
“ข้าก็ไม่ได้แก้ผ้านี่” นางขมวดคิ้วมองดูอาภรณ์ของตัวเองก็ยังอยู่ครบ
“คุณหนู! ชายอาภรณ์เลิกขึ้นจนเห็นข้อเท้าแล้วเจ้าค่ะ” ชิงชิงรีบเข้ามาดึงอาภรณ์ลงไปคลุมเท้านางเช่นเดิม
‘แค่นี้ก็ว่าไร้ยางอายแล้วหรอ โบราณคร่ำครึจริง ๆ’ ลี่เหม่ยได้แต่ถอนหายใจและบ่นกับตัวเองเท่านั้น
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านก็หันกลับมาเถอะทำเป็นเด็กน้อยไม่ประสีประสาไปได้” หญิงสาวทนดูท่าทางเอียงอายของบุรุษตัวโตไม่ไหวจนต้องบ่นอุบให้อีกฝ่าย ก่อนเดินหนีไป
“ไม่ประสีประสาเช่นนั้นหรือ? ช่างใจกล้านักนะหวงลี่เหม่ยกล้าตำหนิแม้กระทั่งข้า” เหยาหมิงได้แต่ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันให้กับอนุของตนที่เดินจ้ำอ้าวเข้าจวนไปนานแล้ว
ยามเฉิน ลี่เหม่ยเตรียมออกจากจวนไปยังหอร้อยบุปผาวันนี้นางมีนัดกับนางโลมอันดับหนึ่งอย่างซีซี การค้าครั้งแรกของนางกำลังจะรู้ผลแล้ว ทว่าพึ่งก้าวพ้นเรือนกลับพบองครักษ์ข้างกายเหยาหมิงยืนรออยู่
“เจ้ามีอะไร?”
“อนุหวง ท่านแม่ทัพเรียกพบ”
“แต่ข้ามีนัดแล้ว ไว้เย็นนี้จะไปพบแล้วกัน” นางกล่าวพลางเดินผ่านหน้าเจียหาวไป ทว่ายังไม่ทันก้าวไปไหนกลับถูกกระบี่ของเขาขวางไว้
“เกรงว่าท่านคงต้องผิดนัดเสียแล้ว”
ลี่เหม่ยหันขวับมององครักษ์หนุ่มในทันที ใบหน้าบูดบึ้งอยากกินเลือดกินเนื้อสองนายบ่าวที่ชอบบังคับผู้อื่นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
“นำทาง!” น้ำเสียงไม่พอใจของนางดังขึ้น พร้อมกับเจียหาวที่หันหลังเดินนำทางไปยังเรือนไผ่หลิว
เหยาหมิงนั่งเดินหมากภายในสวนที่เงียบสงบ บรรยากาศยามเช้าชวนให้อารมณ์บุรุษเบิกบานไม่น้อย ทว่าไม่นานเสียงบ่นพึมพำของลี่เหม่ยกลับดังขึ้นทำลายความสงบรอบตัวลงทันที
“ท่านมีอะไร” น้ำเสียงไม่พอใจดังขึ้น พร้อมร่างบางยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า
เหยาหมิงมองเห็นชายอาภรณ์สีแดงชาดปลิวไสวก่อนเงยหน้ามองเจ้าของอาภรณ์ชุดนั้น หญิงสาวใบหน้าขาวนวล ดวงตากลมโตคิ้วโก่งดั่งคันศร จมูกได้รูปรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงชาด อาภรณ์บางแนบเนื้อกลางอกเว้าลึกจนคนมองเผลอกลืนน้ำลายโดยมิรู้ตัว ผ้าไหมสีดำผืนน้อยที่คาดปิดทับส่วนนั้นทำบุรุษจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน
“นี่มันชุดอะไรของเจ้า” เหยาหมิงขมวดคิ้วแน่น
“ทำไม? สวยหรือไม่” ลี่เหม่ยกล่าวพลางหมุนกายให้อีกฝ่ายเชยชม แรงลมที่พัดชายอาภรณ์ปลิวไสวพร้อมผมดำขลับหลุดร่วงปกปิดอกเนียนยิ่งทำให้นางดูยั่วยวนยิ่งขึ้น
“น่าเกลียดยิ่ง” เหยาหมิงหน้าแดงก่ำผินหน้าไปทางอื่น
“ไปเปลี่ยซะ” คำสั่งเด็ดขาดของท่านแม่ทัพดังขึ้น แต่มีหรือสตรีอย่างนางจะเกรงกลัว
“ไม่! ชุดนี้ข้าจะนำไปขายให้หญิงนางโลมในหอร้อยบุปผา หากไม่แต่งให้พวกนางเห็นจะขายได้อย่างไร” ลี่เหม่ยอธิบายเหตุผล
“หึ! ชุดน่าอายพวกนี้ใครจะซื้อกัน”
“ชุดเช่นนี้ล่ะ ที่จะทำให้บุรุษอย่างพวกท่านกล้าจ่ายเงินเพื่อให้ได้สตรีมาเชยชม” ลี่เหม่ยตอบพลางนั่งลงตรงหน้าเขา
“ตกลงเรียกข้ามา ท่านแม่ทัพมีอะไรจะสั่งหรือไม่”
“อีกสองวันเจ้าต้องไปจวนสกุลหวังและจวนตระกูลเฉิงกับข้า”
“อ๋อ เจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ พลางลุกขึ้นเตรียมจากไป
“ช้าก่อน!” เหยาหมิงปรายตามองนาง
“เจ้าควรสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ใช่อาภรณ์จากหอนางโลมเช่นนี้” คำพูดไม่รักษาน้ำใจออกจากปากบุรุษผู้นี้อีกแล้ว ทำให้ลี่เหม่ยต้องนับเลขเพื่อระงับความโกรธ
“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้อน้อยก็อยากจะแต่งกายให้สมเป็นอนุในจวนแม่ทัพ ทว่าสตรีไร้สินเดิมอย่างข้าจะเอาชุดพวกนั้นมาจากไหนเล่า” สีหน้าแสร้งเศร้าสร้อยของลี่เหม่ยยิ่งทำให้เหยาหมิงหงุดหงิด
“เตรียมรถม้า” คำสั่งแสนระอาใจของบุรุษกลับทำนางยิ้มกว้าง
รถม้าย่ำไปตามถนนผ่านร้านรวงนับไม่ถ้วน ยามกลางวันย่านโคมแดงดูเงียบเหงาด้วยเป็นช่วงของเหล่าหญิงคณิกาพักผ่อนเอาแรง ทว่าเวลามืดค่ำเช่นนี้ย่านโคมแดงกับคึกคักต่างจากย่านอื่นที่ร้านรวงปิดเงียบ
“หยุดรถ” เสียงหวานดังขึ้น
“จะทำอะไร?” ใบหน้าบึ้งตึงของเหยาหมิงกลับไม่ทำให้สตรีร่างบางเช่นลี่เหม่ยเกรงกลัว
“ข้าบอกแล้วว่าวันนี้จะมาขายชุดที่หอร้อยบุปผา ผ้าข้าก็ซื้อแล้วเรื่องที่ท่านกำชับข้าก็รู้แล้ว เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะจัดการธุระของข้าบ้าง ท่านกลับไปก่อนได้เลย” ลี่เหม่ยกล่าวพลางลงจากรถม้าโดยไม่สนใบหน้าไม่พอใจของท่านแม่ทัพ
“เอาอย่างไรขอรับ จะกลับเรือนเลยหรือไม่” เจียหาวเอ่ยถามเจ้านายที่นั่งหน้าบูดบึ้งในรถม้า
“รอ” เหยาหมิงกล่าวพลางปิดเปลือกตาลง เขาปวดหัวทุกครั้งที่ต้องสนทนากับสตรีอย่างหวงลี่เหม่ย
ภายในหอร้อยบุปผาคึกคักไม่น้อย ด้วยคืนนี้จะมีการประมูลหญิงพรหมจรรย์ เหล่าบุรุษบ้าตัณหาต่างไม่พลาดงานนี้ ลี่เหม่ยเดินตรงไปยังห้องรับรองของซีซี สตรีนับสิบรออยู่ด้านในทำให้ดีไซเนอร์อย่างนางยิ้มกว้าง
“พวกเจ้าต้องการชุดเช่นเดียวกับแม่นางซีซีใช่หรือไม่” ลี่เหม่ยไม่อ้อมค้อม
“ใช่!”
“ราคามัดจำสองตำลึง อีกสามวันรับชุดจ่ายอีกสามตำลึง”
“เหตุใดแพงนัก เช่นนี้ข้าไม่เอาด้วย” หญิงนางโลมบางนางยอมถอดใจ
“ใครไม่เอาไม่เป็นไร ข้าจะตัดชุดแบบนี้เพียงห้าชุดเท่านั้นแล้วจะไม่มีตัดเพิ่ม ใครอยากได้ก็เดินเข้ามาวางเงินแล้ววัดตัว” ลี่เหม่ยไม่คิดลดราคาแต่กลับทำให้ชุดพวกนั้นมีค่ามากขึ้น ทำเอาเหล่าหญิงคณิกามองหน้ากันเลิกลัก อาภรณ์ยั่วยวนบุรุษเช่นนี้หากสวมใส่ด้วยมารยาของพวกนางคงทำเงินได้ไม่น้อยกว่าสิบตำลึงแน่
“ข้าเอา!” “ข้าเอาด้วย”
กลายเป็นว่าสตรีนับสิบแย่งกันจ่ายเงินเพื่ออาภรณ์เพียงห้าชุด ลี่เหม่ยยิ้มหน้าบานกับเหตุการณ์เบื้องหน้า
“แล้วชุดที่เจ้าสวมอยู่นี่เล่า” ซีซีสังเกตอาภรณ์หวาบหวิวที่นางสวมใส่ตาเป็นมัน
“แม่นางซีซีตาแหลมยิ่ง ชุดนี้ข้าพึ่งตัดใหม่ มีเพียงห้าชุดเท่านั้น ราคาหกตำลึง” ลี่เหม่ยเลิกคิ้วเอ่ยหยั่งเชิง
“ได้! ข้าซื้อ” ซีซีที่ทำเงินจากชุดแรกไม่น้อยกว่ายี่สิบตำลึงจึงไม่คิดเสียดายเพียงน้อย
“ข้าเอาด้วย!” “ข้าด้วย” “ข้าอีกชุดนึง” เหล่าหญิงคณิกาที่จับจองไม่ทันชุดแรก ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้ชุดที่ใหม่กว่า
ลี่เหม่ยยิ้มกว้างเดินออกจากห้องรับรอง เพียงวันเดียวนางสามารถทำเงินได้ถึง ห้าสิบตำลึง หนทางเปิดร้านของนางอยู่ไม่ไกลเสียแล้ว ทว่าด้วยความดีใจกลับทำให้นางไม่ทันมองว่าตอนนี้งานประมูลหญิงพรหมจรรย์ได้เริ่มขึ้นแล้ว และช่างโชคร้ายที่นางกลับยืนอยู่บนลานประมูลพอดิบพอดี
ผ้าขาวบางปิดครึ่งหน้า พร้อมอาภรณ์สีแดงชาดบางเบาแนบเนื้อ ส่วนหน้าอกเว้าลึกมีเพียงผ้าไหมสีดำคาดปิดไว้ ทำบุรุษนับสิบกลืนน้ำลายกับรูปร่างดั่งเทพธิดาของนาง
“มามา สตรีนางนี้ข้าให้สิบตำลึง” ลี่เหม่ยสะดุ้งตกใจเมื่อเสียงหื่นกระหายดังขึ้น จนได้สติว่าตนอยู่กลางลานประมูลเสียแล้ว
“นี่! ข้าไม่ใช่” นางพยายามจะอธิบาย
“เงียบนะ!” มามารีบปิดปากนางพลางกระซิบ ข้าจะให้เจ้ามากกว่าสตรีนางอื่นแน่
“แต่ข้าไม่ใช่..” / “ใต้เท้าจงใจใหญ่ไม่น้อย ท่านอื่นว่าอย่างไรเจ้าคะ” มามาหอร้อยบุปผาไม่ยอมฟังนางอธิบาย กลับรีบเร่งการประมูลให้เร็วขึ้น
“ข้า 15 ตำลึง”
“16 ตำลึง”
“17 ตำลึง”
“20 ตำลึง”
ลี่เหม่ยมองดูการประมูลร่างกายนางที่เต็มไปด้วยบุรุษบ้าตัณหา ภายในใจรู้สึกหวาดกลัวเมื่อไม่มีผู้ใดฟังนางอธิบาย จะหนีออกไปก็ทำไม่ได้เมื่อมามาเฒ่าให้คนงานชายประกบนางไว้
“ห้าสิบตำลึง”
เสียงเยือกเย็นดังขึ้น ทำทั้งลานประมูลเงียบสนิท บุรุษสวมอาภรณ์สีดำตัดกับผิวขาวของเขา คิ้วหนารับกับดวงตาลุ่มลึกกำลังจ้องมองลี่เหม่ยดุจเหยี่ยวเจ้าเวหา ทำสตรีหลายนางอ่อนระทวยโรยแรงลงตรงนั้น
“เหยาหมิง?” ลี่เหม่ยพึมพำเสียงเบา พลางหายใจโล่งขึ้นเมื่อเห็นคนคุ้นเคยยื่นมือเข้าช่วย
ฮูหยินเฒ่ามองใบหน้ามีชีวิตชีวาของหลานชาย นางเองก็พอเบาใจได้บ้าง บุตรสาวนางเฉิงอี๋นั่วจากไปเร็วทิ้งบาดแผลในใจให้เหยาหมิงมากมาย นับจากวันนั้นหญิงชราอย่างนางก็ไม่เคยเห็นใบหน้ามีชีวิตชีวาเช่นนี้อีก “เหยาหมิง ยายเหนื่อยแล้วพายายกลับจวนที” เสียงหญิงชราเรียกหลานชายที่กำลังนั่งสนทนากับลุงใหญ่ “ลี่เหม่ยอยู่พูดคุยกับเหล่าป้าใหญ่รอไปก่อนแล้วกัน” นางหันมายิ้มให้หลานสะใภ้ ก่อนปล่อยให้หลานชายพากลับเรือนนอน เรือนฮูหยินเฒ่าอยู่ถัดจากเรือนรับรองไม่ไกล เหยาหมิงพาท่านยายของตนนั่งพักในโถงเรือน ก่อนจะหันกายเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติฮูหยินเฉิง “เหยาเอ๋อร์ ไปจวนบิดามาเป็นอย่างไรบ้าง” “เช่นเดิมขอรับ หลานกับเขาไม่เคยพูดคุยกันได้ตั้งแต่ท่านแม่จากไป ครั้งนี้ก็เช่นเดิม” “อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดา หากไม่อาจอยู่ร่วมชายคาอย่างไรเสียความกตัญญูก็ควรมี หลานรู้ใช่หรือไม่” ฮูหยินเฒ่ากับชับหลานชาย “รู้ขอรับ ท่านย่าไม่ต้องกังวลหลานไม่ทำให้ใครต่อว่าตระกูลเฉิงได้แน่” เหยาหมิงตบมือท่านยายเบา ๆ “เช่นนั้นย
“อนุของข้ากล้าเอ่ยชมบุรุษอื่นต่อหน้าสามีเลยหรือ” เหยาหมิงรั้งเอวบางแนบชิดหน้าท้องแกร่ง ใบหน้ายียวนก้มมองสตรีตรงหน้าที่อ้าปากค้างร่างกายแข็งทื่อ ไม่ต่างจากเข่อซิงที่หยุดชะงักเมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายกำลังเย้าหยอกพี่สะใภ้ “ท่านทำอะไรของท่าน” ลี่เหม่ยที่ได้สติ ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันจ้องมองบุรุษฉวยโอกาสตาเขม็ง มือบางบิดเนื้อท่อนแขนอีกฝ่ายจนแดงช้ำ “โอ๊ย!! เจ็บนะ” เหยาหมิงกัดฟันตอบ ใบหน้ายียวนหายไปในทันที “ก็ทำให้เจ็บนี่ ปล่อยข้านะ” ลี่เหม่ยกระทืบเท้าอีกฝ่ายจนเจ็บแปลบ ยอมปล่อยนางแต่โดยดี เข่อซิงเห็นท่าทางสองสามีภรรยาที่บัดนี้คล้ายทะเลาะมากกว่าเย้าหยอกจึงรีบเข้าช่วยสงบศึก “คารวะท่านพี่ พี่สะใภ้” เสียงนุ่มลึกของชายหนุ่มดึงความสนใจของคนทั้งสองได้ทันที “รบกวนน้องสามีแล้ว ท่านแม่ทัพเพียงอยากแนะนำให้เรารู้จักกันน่ะ” ลี่เหม่ยยิ้มกว้างกล่าวเป็นกันเองกับอีกฝ่าย โดยไม่ต้องให้เหยาหมิงตแนะนำ “หึ! เจ้าเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจริงนะ” เหยาหมิงประชดประชัน “ข้าเข้าง่ายกับคนที่ข้าอยากเ
ลี่เหม่ยจ้องมองใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นของแม่ทัพหนุ่ม นางเผลอยิ้มให้กับความหล่อเหลาของอีกบุรุษตรงหน้าโดยมิรู้ตัว คิ้วหน้าตาคมเข้มผิวขาวราวไข่มุก ริมฝีปากอิ่มยามปิดสนิทที่ไม่เอาแต่กล่าวคำตำหนินางช่างน่ามอง “จ้องนานเช่นนี้ มีใจให้ข้าหรือ?” คำพูดไม่น่าฟังหลุดออกจากปากบุรุษตรงหน้า ทำรอยยิ้มหวานเมื่อครู่ของหญิงสาวหุบหายไปในพริบตา “โรคหลงตัวเองนี้ท่านยังไม่หาหมอมาดูอาการอีกหรือ” ลี่เหม่ยสวนกลับอีกฝ่ายในทันที เหยาหมิงที่ยังคงทาแผลให้กับนางหยุดมือทันทีเมื่ออีกฝ่ายชอบประชดประชันตนไม่หยุด “เสร็จแล้ว แผลเท่านี้ไม่ทำให้เจ้าอัปลักษณ์ไปมากกว่านี้ได้หรอก” บุรุษตรงหน้าปล่อยมือนางก่อนหันกายขึ้นรถม้าไป “เจ้าเด็กนี่หนิ ทำคนอื่นเจ็บยังมีหน้ามาว่าอีก” ลี่เหม่ยมือเสะเอวอย่างเหลืออด ก่อนจะจ้องมองแผ่นหลังชายผู้ขึ้นรถม้าไปพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “หากไม่อยากเดินไปจวนตระกูลเฉิงก็ขึ้นรถม้ามา” เสียงเย็นชาจากบุรุษในรถม้าดังตามหลัง ลี่เหม่ยทำได้เพียงกระทืบเท้าทำตามคำสั่งแม่ทัพหนุ่ม นางไม่มีอำนาจใดต่อรองได้ จำต้อ
รถม้าหยุดลงหน้าจวนตระกูลหวัง ใบหน้าหล่อเหลาของเหยาหมิงเย็นชาจนไม่น่ามอง สีหน้าไร้อารมณ์จนผู้คนคาดเดาความคิดของแม่ทัพปราบเหนือได้ยาก “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” ลี่เหม่ยถามสิ่งที่นางต้องทำเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อสามี “อยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องทำอะไร ข้าจะจัดการเอง” น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้นก่อนก้าวลงจากรถม้า โถงใหญ่ของบ้าน บุรุษวัยห้าสิบหน้าละม้ายคล้ายเหยาหมิงนั่งอยู่เก้าอี้เจ้าบ้าน มีหญิงวัยราวสี่สิบสวมอาภรณ์ผ้าไหมราคาแพงทั้งตัวเครื่องผมแสนวิจิตรประดับจนเต็มหัว ใบหน้างามแต่งแต้มจนเกินพอดีนั่งอยู่ด้านข้าง “คารวะนายท่านหวัง ฮูหยินหวง” เหยาหมิงค่อมกายเคารพผู้อาวุโสทว่าคำเรียกช่างห่างเหิน บ่งบอกถึงความไม่เกี่ยวข้อง ใบหน้าของหวังเทียนเล่ยบิดเบี้ยวด้วยไฟโทสะ ไม่ต่างหวงหลงเหรินที่บัดนี้หายใจถี่แรงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจห้าปีที่แต่งเข้ามาลูกเลี้ยงอย่างเหยาหมิงกลับไม่เคยเคารพนางเลย ลี่เหม่ยมองดูสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเบื้องหน้า แม่ทัพไม่เคารพพ่อแม่ของตนก็ไม่กล้ามีใครตำหนิ แต่หากนางเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างต้องถูกตีเนื้อแตกอีกแน่ “คา
เหยาหมิงก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปยังลานประมูล ใบหน้าคมเข้มยังคงจดจ้องใบหน้าซีดเผือดของนางไม่วางตา “ท่านแม่ทัพเฉิงนี่ ไม่ยักรู้ว่าท่านก็ชื่นชอบหญิงคณิกาด้วย” ใต้เท้าจงอยู่ในราชสำนัก จึงจดจำชายหนุ่มได้ดี “ข้าก็เพียงแค่อยากรู้ว่าจริงพรหมจรรย์ของหอร้อยบุปผาจะงดงาม เย้ายวนอารมณ์บุรุษได้เพียงใด” มือหนาลูบไล้สัมผัสใบหน้านางอย่างถือดี โดยไม่สนสายตาโกรธเกรี้ยวของลี่เหม่ย “หวงลี่เหม่ย นะ หวงลี่เหม่ย คลาดกันแค่ครึ่งชั่วยามเจ้าก็มาขายพรหมจรรย์เสียแล้ว” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูนาง “ใช่ที่ไหน ใครจะรู้เดินมาดี ๆ ดันอยู่กลางลานประมูลเสียแล้ว รีบพาข้าออกไปเร็วเถอะเจ้าค่ะ” นางจ้องมองบุรุษตรงตาด้วยแววอ้อนวอน แต่เขากลับเห็นความลำบากของนางเป็นเรื่องตลกเสียได้ “มามาข้าคิดว่าไม่มีผู้ใดประมูลแข่งข้าแล้ว เช่นนั้นข้าคงพานางไปได้สินะ” หางตาเหยาหมิงมองไปยังมามาหน้าเลือดที่ยืนยิ้มดีใจกับราคาแพงลิบที่เขาจะจ่ายให้ “ช้าก่อน! ท่านแม่ทัพเฉิงพึ่งรับอนุงามหยดย้อยเข้าจวน เช่นนั้นสตรีนางนี้ข้าขอแล้วกัน” บุรุษท่าทางเมามายไม่
“เหตุใดต้องยอมให้พวกนั้นรังแกเล่า เหตุใดไม่สู้” เหยาหมิงเผลอถามคำถามโดยไม่รู้ตัว “ไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ไม่มีความกล้ามั้ง” ลี่เหม่ยเอ่ยพลางสบตาบุรุษเบื้องหน้า “แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ข้าไม่ใช่คนสกุลหวงไม่จำเป็นตรงกลัวพวกเขาอีกต่อไป” นางยักคิ้วให้กับเหยาหมิงก่อนจะมองชมความงามของสินค้าสองข้างทาง “หึ! ร่วงจากขื่อครั้งเดียวทำให้เจ้ามีความกล้าขึ้นเยอะนี่” แม่ทัพปราบเหนือเหยียดยิ้มพลางกล่าวพึมพำก่อนเบนสายตาไม่สนใจสตรีเบื้องหน้าอีก รถม้าจอดหน้าจวนแม่ทัพ ลี่เหม่ยที่ทนแสบร้อนจากน้ำล้างชามไม่ไหวลุกพรวดขึ้นรีบออกจากรถม้า โดยไม่รอให้บุรุษอย่างเขาลงจากรถม้าก่อน จนเหยาหมิงต้องมองค้างกับท่าทางแปลกประหลาด ไม่รู้จักธรรมเนียมของนาง “ตระกูลหวงไม่เคยสอนหรือว่าต้องให้บุรุษลงจากรถม้าก่อน” ชายหนุ่มตำหนินางทันทีที่ลงจากรถม้าได้ “อาจจะเคยสอน แต่ข้าสมองน้อยไม่จำเอง” “หากท่านแม่ทัพไม่ว่าอะไร ข้าขอไปอาบน้ำก่อนแสบไปหมดแล้ว” ลี่เหม่ยไม่กล่าวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกาเนื้อตัวจนอาภรณ์เลิกขึ้นสูงมองเห็นข้อเท้าขาวนวล







