LOGINลี่เหม่ยกังวลไม่น้อยการกลับตระกูลหวงแน่นอนว่าต้องเกิดขึ้น ทว่ากลับไปอย่างไรถึงจะไม่ให้ถูกรังแกนี่สิคือสิ่งที่นางต้องการ
“เช่นนั้นให้ท่านแม่ทัพกลับพร้อมข้าเท่านี้ก็ไม่ถูกลงโทษแล้ว” นางยิ้มให้กับความฉลาดของตน
“หากท่านแม่ทัพกลับด้วยแน่นอนว่าไม่มีใครกล้ารังแกคุณหนูแน่เจ้าค่ะ แต่ท่านแม่ทัพจะกลับไปด้วยหรือ เขาเกลียดตระกูลหวงเสียยิ่งกว่าอะไร” ชิงชิงเตือนสตินาง
“ไม่ลองไม่รู้ เรื่องแบบนี้อยู่ที่ข้อแลกเปลี่ยน” ลี่เหม่ยยักคิ้วก่อนหันกายออกจากเรือนหลังมุ่งไปเรือนไผ่หลิว
ด้านเหยาหมิงตอนนี้กำลังกังวลไม่ต่างกัน แม้ตนเองจะไม่สนใจชายผู้ให้กำเนิด ละทิ้งตระกูลหวังแต่เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นหวังเทียนเล่ยไม่ยอมนำชื่อเขาออกจากตระกูล เช่นนั้นการเป็นบิดากับบุตรก็ยังคงอยู่ บุตรชายแต่งงานแต่ไม่ให้บิดาร่วมงานแม้เป็นอนุก็ขัดประเพณี แถมรับอนุก่อนจะตบแต่งฮูหยินเรื่องเช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้น บิดาที่เขาไม่ต้องการกลับเล่นใหญ่ถวายฎีกาขอความเป็นธรรมกับฮ่องเต้ ทำให้ตนถูกตำหนิลงมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ท่านแม่ทัพท่านผู้เฒ่าเฉิงเองก็อยากให้ท่านกับอนุสกุลหวงกลับไปเยี่ยมที่จวนสกุลเฉิงขอรับ” เจียหาวลอบสังเกตสีหน้าดำมืดของเจ้านายพลางกล่าวอย่างระวัง
“ชายสกุลหวังนั่นก็อยากให้ข้าพาอนุไปเคารพไม่ต่างกัน ดูท่าจะหลีกเลี่ยงยาก คงต้องไปสักครั้งไม่เช่นนั้นฮ่องเต้คงต้องมาเอง” เหยาหมิงนั่งหลับตานวดขมับที่ปวดหนึบ
“ท่านแม่ทัพข้าลี่เหม่ยขอพบสักครู่ได้หรือไม่” เสียงใสดังมาจากนอกเรือน ทำเหยาหมิงลืมตาอีกครั้ง
“เข้ามา” เสียงอนุญาตทุ้มต่ำทำนางกล้าก้าวขาเข้าเรือน
ห้องตำราที่เต็มไปด้วยตำราหลายชั้น บางส่วนวางกองเป็นภูเขาขนาดย่อม อีกทั้งอาวุธประจำกายมากมายถูกจัดวางทั่วห้อง ลี่เหม่ยมองสำรวจไปรอบ ๆ ไม่มีจุดใดเลยที่นางจะรู้สึกชอบในห้องนี้ ทั้งดูคร่ำครึและป่าเถื่อนทำนางขนลุกขนพองไม่อยากหายใจในห้องนี้นาน
“เจ้าสำรวจพอหรือยัง บิดาเจ้าให้มาสอดส่องความเคลื่อนไหวของข้าหรือไง” คำพูดแต่ละคำที่ออกจากปากบุรุษบนรถเข็นนี้ทำนางยากจะเอาผ้ามัดปากเขาไว้ซะ ช่างบาดหูและไม่น่าฟังทั้งมองผู้อื่นแต่แง่ร้าย
“ปากหรือนั่น!”
“นี่! เจ้าจงใจตำหนิข้าหรือ” ประโยคแรกก็ทำเหยาหมิงอารมณ์ขุ่นมัวเสียแล้ว
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าน้อยมีหรือจะอาจหาญเช่นนั้น” ลี่เหม่ยแสร้งยิ้มพลางยอบกายเคารพอย่างประชดประชัน จนทำอีกฝ่ายคิ้วขมวดเป็นปมหันหน้าไปทางอื่น
“ข้าเพียงมายื่นขอเสนอกับท่าน ในวันที่กลับจวนสกุลหวังและสกุลเฉิงข้าจะไม่ก่อเรื่อง หากท่านยอมกลับจวนสกุลหวงกับข้าในวันพรุ่งนี้” ลี่เหม่ยยักคิ้วต่อรอง
“นี่! เจ้าแอบฟังหรือ” เหยาหมิงมั่นใจหากไม่แอบฟังเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นนางจะรู้ได้อย่างไร
“ข้าตั้งใจมาหาท่าน แต่ท่านกับเจียหาวคุยกันเสียงดังเองจะโทษข้าได้อย่างไร”
“หึ! คนสกุลหวงทำผิดแล้วโยนให้คนอื่นเช่นนี้ทุกคนสินะ” สายตาเหยาหมิงมองนางด้วยความเย้ยหยัน ทว่าลี่เหม่ยกลับคร้านที่จะสนใจนางทำเป็นมองไม่เห็น
“ตกลงจะรับข้อเสนอหรือไม่ หากท่านช่วยข้าไม่ให้ถูกคนสกุลหวงรังแกข้าก็จะไม่สร้างเรื่องให้ท่าน”
“รังแกหรือ? ใครกันจะรังแกเจ้า พวกนั้นหวังให้เจ้าแต่งกับข้าจนเนื้อเต้นมีแต่จะยกยอเจ้าเสียมากกว่า” เหยาหมิงรังเกรียจแม้กระทั่งจะมองนางด้วยซ้ำ
“เอาเถอะ หากท่านไม่ปฏิเสธข้าถือว่าท่านตกลง เช่นนั้นยามเฉิงข้าจะรอท่านที่หน้าจวน” ลี่เหม่ยกล่าวจบก็กลับเรือนหลัง
ชิงชิงเดินกลับไปกลับมาภายในเรือน นางเป็นกังวลแทนคุณหนูไม่น้อยหากกลับไปตระกูลหวงโดยไร้การปกป้อง ต้องถูกฝั่งนั้นรังแกสารพัดไม่ต่างจากแต่ก่อนแน่
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านแม่ทัพตกลงหรือไม่” สาวใช้รีบเข้าไปรินชาให้กับลี่เหม่ยเมื่อเห็นว่านางมีท่าทีเหนื่อยหอบ
“คิดว่าเขาตกลงนะ” นางมีท่าทีกังวล ไม่ดูมั่นอกมั่นใจเช่นแสดงออกต่อนะเหยาหมิงแม้แต่น้อย
“แล้วเรื่องของขวัญเล่าเจ้าคะ?”
ลี่เหม่ยแทบกลืนน้ำชาไม่ลงกับคำถามนี้ ทางลืมไปเสียสนิทว่าการกลับบ้านหลังออกเรือนควรมีของเยี่ยมกลับไปด้วย แต่นางไม่ได้ถูกตบแต่งมาเป็นฮูหยินของเรือนหรือเป็นอนุคนโปรด สินเดิมก็ไม่มีจะเอาที่ไหนไปให้เล่า
“ไม่มีหรอก อย่างไรเสียคนตระกูลหวงก็ไม่ชอบข้าอยู่แล้วเพิ่มเรื่องนี้ไปคงไม่ถูกรังแกมากขึ้นเท่าใดนัก” นางตอบอย่างจนปัญญา
ยามเฉิน...
ลี่เหม่ยในอาภรณ์สีขาวเรียบเข้ากับใบหน้าหวาน เครื่องประดับเรียบง่ายน้อยชิ้นที่สะสมมาทั้งชีวิตถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่ให้เข้าชุด นั่นกลับทำให้หญิงสาวดูอ่อนหวานน่าปกป้องยิ่งขึ้น ทว่าบัดนี้กลับมีสีหน้าเป็นกังวลเมื่อสามีในนามของนางไม่ยอมปรากฏกายออกมาเสียที
“อนุหวงท่านแม่ทัพยังรักษากับหมองหลวงยังไม่เสร็จ เกรงท่านจะรอนานเลยให้ล่วงหน้าไปก่อน อีชั่วยามท่านแม่ทัพจะตามไปขอรับ” พ่อบ้านต้วนที่โดนกำชับเรื่องการปฏิบัติตนเสียใหม่นอบน้อมกับนางมากขึ้น
“เช่นนั้นก็ได้” เมื่อไม่สามารถเร่งเหยาหมิงได้นางจำต้องล่วงหน้าไปก่อน แลภาวนาให้บุรุษปากร้ายผู้นั้นรักษาคำพูด
รถม้าหยุดลงหน้าจวนสกุลหวงที่บัดนี้กลับปิดสนิท ลี่เหม่ยสังหรณ์ใจว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ปกติแน่
“เปิดประตู ข้าคุณหนูเก้าหวงลี่เหม่ย”
สิ้นเสียงของนางประตูถูกเปิดออก พร้อมน้ำล้างชามหลายถังถูกสาดออกมาโดนนางเข้าอย่างจังไม่พลาดเป้าเพียงน้อย สภาพของลี่เหม่ยตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากลูกหมาที่ตกลงไปในน้ำแต่เป็นน้ำรล้างจานที่ทำนางแสบไปทั้งตัว
“ว๊ายยยย! น้องเก้า พี่ใหญ่ขอโทษเมื่อครู่มีหนูสกปรกมันวิ่งผ่านหน้าจวนข้าเลยให้สาวใช้ช่วยกันเอาน้ำมาสาด” หวงอิ้งเยว่ยิ้มหน้าระรื่นไม่สำนึกผิดเพียงน้อย
“คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าค่ะ” ชิงชิงน้ำตาคลอเบ้ารีบเช็ดหน้าให้กับลี่เหม่ยที่ยืนนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ทั้งที่ตัวเองก็เปียกปอนไม่ต่างกัน
“นี่ใช่ไหม คุณหนูใหญ่ตระกูลหวง” ลี่เหม่ยกัดฟันพูดที่ได้ยินกันเพียงสองคน นางโมโหจนตัวสั่นพึ่งมาถึงดอกแรกก็โดนเสียแล้ว
“เจ้าค่ะ” ชิงชิงพยักหน้าเบา ๆ
ลี่เหม่ยกันชิงชิงออกห่าง ใบหน้าบูดบึ้งเมื่อครู่กลับดูท่าทางหวาดกลัวจนอิ้งเยว่ประหลาดใจ
“กรี๊ดดดด หนูหรือเจ้าคะ น้องกลัวหนู กรี๊ดดดด มันอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ ท่านพี่ช่วยน้องด้วย” ลี่เหม่ยตกใจกลัวสิ่งที่ไม่มีจริงจนอีกฝ่ายหลงเชื่อมองดูตามมือที่นางชี้ไปทั่ว โดยที่ลืมระวังตัวจนลี่เหม่ยมีโอกาสนำร่างกายที่เปียกโชกด้วยน้ำสกปรกกระโดดกอดอิ้งเยว่จนล้มคว่ำ
“กรี๊ดดดด! เจ้าทำอะไรปล่อยข้านะ” อิ้งเยว่ตกใจร้องลั่น พลางดันตัวลี่เหม่ยที่ปีนป่ายบนตัวนางออก
“น้องกลัวเจ้าค่ะ ว๊ายยย! หนูมันไต่บนตัวน้องแล้ว” ลี่เหม่ยร้องลั่น พลางใช้มือตบตีไปมั่วจนทั่วใบหน้าของคุณหนูใหญ่สกุลหวง
“หยุดนะ! พวกเจ้าทำอะไรมาลากนางออกไปสิ” อิ้งเยว่ก่นด่าสาวใช้ที่มัวแต่ยืนอึ้ง
กว่าสาวใช้จะแยกคุณหนูทั้งสองออกจากกันได้ สภาพของอิ้งเยว่ก็ไม่ต่างจากลี่เหม่ยนัก ผมเผ้ายุ่งเหยิงแถมขาดติดมือลี่เหม่ยมาเป็นกระจุก อาภรณ์เปียกชุ่ม ผิวแดงทั่วร่างด้วยความแสบร้อนอย่างเห็นได้ชัด ลี่เหม่ยยิ้มอย่าพอใจก่อนแสร้งทำหน้าตกใจอีกครั้ง
“พี่หญิงน้องไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ ท่านเป็นอะไรหรือไม่” นางทำทีจะเดินเข้าไปดูอาการของสตรีตรงหน้า
“หยุด!” เสียงแหลมดังขึ้นทำลี่เหม่ยหยุดอยู่กับที่
“เจ้าไม่ต้องเข้ามา พาข้ากลับเรือน” อิ้งเยว่เดินกระทืบเท้าด้วยความโมโหกลับเข้าเรือนไป
“คุณหนูช่างใจกล้านัก แต่เช่นนี้ฮูหยินเอกไม่ยอมรามือแน่เจ้าค่ะ” ชิงชิงที่ยืนอึ้งอยู่นานได้สติ รีบเข้ามาสำรวจร่างกายของคุณหนูของตน
“อย่างไรก็โดนอยู่ดี เอาคืนบ้างจะเป็นไร” ลี่เหม่ยกล่าวพลางปัดเศษดินออกจากอาภรณ์สีขาวที่บัดนี้ดูไม่ได้แล้ว
ฮูหยินเฒ่ามองใบหน้ามีชีวิตชีวาของหลานชาย นางเองก็พอเบาใจได้บ้าง บุตรสาวนางเฉิงอี๋นั่วจากไปเร็วทิ้งบาดแผลในใจให้เหยาหมิงมากมาย นับจากวันนั้นหญิงชราอย่างนางก็ไม่เคยเห็นใบหน้ามีชีวิตชีวาเช่นนี้อีก “เหยาหมิง ยายเหนื่อยแล้วพายายกลับจวนที” เสียงหญิงชราเรียกหลานชายที่กำลังนั่งสนทนากับลุงใหญ่ “ลี่เหม่ยอยู่พูดคุยกับเหล่าป้าใหญ่รอไปก่อนแล้วกัน” นางหันมายิ้มให้หลานสะใภ้ ก่อนปล่อยให้หลานชายพากลับเรือนนอน เรือนฮูหยินเฒ่าอยู่ถัดจากเรือนรับรองไม่ไกล เหยาหมิงพาท่านยายของตนนั่งพักในโถงเรือน ก่อนจะหันกายเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติฮูหยินเฉิง “เหยาเอ๋อร์ ไปจวนบิดามาเป็นอย่างไรบ้าง” “เช่นเดิมขอรับ หลานกับเขาไม่เคยพูดคุยกันได้ตั้งแต่ท่านแม่จากไป ครั้งนี้ก็เช่นเดิม” “อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดา หากไม่อาจอยู่ร่วมชายคาอย่างไรเสียความกตัญญูก็ควรมี หลานรู้ใช่หรือไม่” ฮูหยินเฒ่ากับชับหลานชาย “รู้ขอรับ ท่านย่าไม่ต้องกังวลหลานไม่ทำให้ใครต่อว่าตระกูลเฉิงได้แน่” เหยาหมิงตบมือท่านยายเบา ๆ “เช่นนั้นย
“อนุของข้ากล้าเอ่ยชมบุรุษอื่นต่อหน้าสามีเลยหรือ” เหยาหมิงรั้งเอวบางแนบชิดหน้าท้องแกร่ง ใบหน้ายียวนก้มมองสตรีตรงหน้าที่อ้าปากค้างร่างกายแข็งทื่อ ไม่ต่างจากเข่อซิงที่หยุดชะงักเมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายกำลังเย้าหยอกพี่สะใภ้ “ท่านทำอะไรของท่าน” ลี่เหม่ยที่ได้สติ ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันจ้องมองบุรุษฉวยโอกาสตาเขม็ง มือบางบิดเนื้อท่อนแขนอีกฝ่ายจนแดงช้ำ “โอ๊ย!! เจ็บนะ” เหยาหมิงกัดฟันตอบ ใบหน้ายียวนหายไปในทันที “ก็ทำให้เจ็บนี่ ปล่อยข้านะ” ลี่เหม่ยกระทืบเท้าอีกฝ่ายจนเจ็บแปลบ ยอมปล่อยนางแต่โดยดี เข่อซิงเห็นท่าทางสองสามีภรรยาที่บัดนี้คล้ายทะเลาะมากกว่าเย้าหยอกจึงรีบเข้าช่วยสงบศึก “คารวะท่านพี่ พี่สะใภ้” เสียงนุ่มลึกของชายหนุ่มดึงความสนใจของคนทั้งสองได้ทันที “รบกวนน้องสามีแล้ว ท่านแม่ทัพเพียงอยากแนะนำให้เรารู้จักกันน่ะ” ลี่เหม่ยยิ้มกว้างกล่าวเป็นกันเองกับอีกฝ่าย โดยไม่ต้องให้เหยาหมิงตแนะนำ “หึ! เจ้าเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจริงนะ” เหยาหมิงประชดประชัน “ข้าเข้าง่ายกับคนที่ข้าอยากเ
ลี่เหม่ยจ้องมองใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นของแม่ทัพหนุ่ม นางเผลอยิ้มให้กับความหล่อเหลาของอีกบุรุษตรงหน้าโดยมิรู้ตัว คิ้วหน้าตาคมเข้มผิวขาวราวไข่มุก ริมฝีปากอิ่มยามปิดสนิทที่ไม่เอาแต่กล่าวคำตำหนินางช่างน่ามอง “จ้องนานเช่นนี้ มีใจให้ข้าหรือ?” คำพูดไม่น่าฟังหลุดออกจากปากบุรุษตรงหน้า ทำรอยยิ้มหวานเมื่อครู่ของหญิงสาวหุบหายไปในพริบตา “โรคหลงตัวเองนี้ท่านยังไม่หาหมอมาดูอาการอีกหรือ” ลี่เหม่ยสวนกลับอีกฝ่ายในทันที เหยาหมิงที่ยังคงทาแผลให้กับนางหยุดมือทันทีเมื่ออีกฝ่ายชอบประชดประชันตนไม่หยุด “เสร็จแล้ว แผลเท่านี้ไม่ทำให้เจ้าอัปลักษณ์ไปมากกว่านี้ได้หรอก” บุรุษตรงหน้าปล่อยมือนางก่อนหันกายขึ้นรถม้าไป “เจ้าเด็กนี่หนิ ทำคนอื่นเจ็บยังมีหน้ามาว่าอีก” ลี่เหม่ยมือเสะเอวอย่างเหลืออด ก่อนจะจ้องมองแผ่นหลังชายผู้ขึ้นรถม้าไปพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “หากไม่อยากเดินไปจวนตระกูลเฉิงก็ขึ้นรถม้ามา” เสียงเย็นชาจากบุรุษในรถม้าดังตามหลัง ลี่เหม่ยทำได้เพียงกระทืบเท้าทำตามคำสั่งแม่ทัพหนุ่ม นางไม่มีอำนาจใดต่อรองได้ จำต้อ
รถม้าหยุดลงหน้าจวนตระกูลหวัง ใบหน้าหล่อเหลาของเหยาหมิงเย็นชาจนไม่น่ามอง สีหน้าไร้อารมณ์จนผู้คนคาดเดาความคิดของแม่ทัพปราบเหนือได้ยาก “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” ลี่เหม่ยถามสิ่งที่นางต้องทำเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อสามี “อยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องทำอะไร ข้าจะจัดการเอง” น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้นก่อนก้าวลงจากรถม้า โถงใหญ่ของบ้าน บุรุษวัยห้าสิบหน้าละม้ายคล้ายเหยาหมิงนั่งอยู่เก้าอี้เจ้าบ้าน มีหญิงวัยราวสี่สิบสวมอาภรณ์ผ้าไหมราคาแพงทั้งตัวเครื่องผมแสนวิจิตรประดับจนเต็มหัว ใบหน้างามแต่งแต้มจนเกินพอดีนั่งอยู่ด้านข้าง “คารวะนายท่านหวัง ฮูหยินหวง” เหยาหมิงค่อมกายเคารพผู้อาวุโสทว่าคำเรียกช่างห่างเหิน บ่งบอกถึงความไม่เกี่ยวข้อง ใบหน้าของหวังเทียนเล่ยบิดเบี้ยวด้วยไฟโทสะ ไม่ต่างหวงหลงเหรินที่บัดนี้หายใจถี่แรงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจห้าปีที่แต่งเข้ามาลูกเลี้ยงอย่างเหยาหมิงกลับไม่เคยเคารพนางเลย ลี่เหม่ยมองดูสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเบื้องหน้า แม่ทัพไม่เคารพพ่อแม่ของตนก็ไม่กล้ามีใครตำหนิ แต่หากนางเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างต้องถูกตีเนื้อแตกอีกแน่ “คา
เหยาหมิงก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปยังลานประมูล ใบหน้าคมเข้มยังคงจดจ้องใบหน้าซีดเผือดของนางไม่วางตา “ท่านแม่ทัพเฉิงนี่ ไม่ยักรู้ว่าท่านก็ชื่นชอบหญิงคณิกาด้วย” ใต้เท้าจงอยู่ในราชสำนัก จึงจดจำชายหนุ่มได้ดี “ข้าก็เพียงแค่อยากรู้ว่าจริงพรหมจรรย์ของหอร้อยบุปผาจะงดงาม เย้ายวนอารมณ์บุรุษได้เพียงใด” มือหนาลูบไล้สัมผัสใบหน้านางอย่างถือดี โดยไม่สนสายตาโกรธเกรี้ยวของลี่เหม่ย “หวงลี่เหม่ย นะ หวงลี่เหม่ย คลาดกันแค่ครึ่งชั่วยามเจ้าก็มาขายพรหมจรรย์เสียแล้ว” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูนาง “ใช่ที่ไหน ใครจะรู้เดินมาดี ๆ ดันอยู่กลางลานประมูลเสียแล้ว รีบพาข้าออกไปเร็วเถอะเจ้าค่ะ” นางจ้องมองบุรุษตรงตาด้วยแววอ้อนวอน แต่เขากลับเห็นความลำบากของนางเป็นเรื่องตลกเสียได้ “มามาข้าคิดว่าไม่มีผู้ใดประมูลแข่งข้าแล้ว เช่นนั้นข้าคงพานางไปได้สินะ” หางตาเหยาหมิงมองไปยังมามาหน้าเลือดที่ยืนยิ้มดีใจกับราคาแพงลิบที่เขาจะจ่ายให้ “ช้าก่อน! ท่านแม่ทัพเฉิงพึ่งรับอนุงามหยดย้อยเข้าจวน เช่นนั้นสตรีนางนี้ข้าขอแล้วกัน” บุรุษท่าทางเมามายไม่
“เหตุใดต้องยอมให้พวกนั้นรังแกเล่า เหตุใดไม่สู้” เหยาหมิงเผลอถามคำถามโดยไม่รู้ตัว “ไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ไม่มีความกล้ามั้ง” ลี่เหม่ยเอ่ยพลางสบตาบุรุษเบื้องหน้า “แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ข้าไม่ใช่คนสกุลหวงไม่จำเป็นตรงกลัวพวกเขาอีกต่อไป” นางยักคิ้วให้กับเหยาหมิงก่อนจะมองชมความงามของสินค้าสองข้างทาง “หึ! ร่วงจากขื่อครั้งเดียวทำให้เจ้ามีความกล้าขึ้นเยอะนี่” แม่ทัพปราบเหนือเหยียดยิ้มพลางกล่าวพึมพำก่อนเบนสายตาไม่สนใจสตรีเบื้องหน้าอีก รถม้าจอดหน้าจวนแม่ทัพ ลี่เหม่ยที่ทนแสบร้อนจากน้ำล้างชามไม่ไหวลุกพรวดขึ้นรีบออกจากรถม้า โดยไม่รอให้บุรุษอย่างเขาลงจากรถม้าก่อน จนเหยาหมิงต้องมองค้างกับท่าทางแปลกประหลาด ไม่รู้จักธรรมเนียมของนาง “ตระกูลหวงไม่เคยสอนหรือว่าต้องให้บุรุษลงจากรถม้าก่อน” ชายหนุ่มตำหนินางทันทีที่ลงจากรถม้าได้ “อาจจะเคยสอน แต่ข้าสมองน้อยไม่จำเอง” “หากท่านแม่ทัพไม่ว่าอะไร ข้าขอไปอาบน้ำก่อนแสบไปหมดแล้ว” ลี่เหม่ยไม่กล่าวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกาเนื้อตัวจนอาภรณ์เลิกขึ้นสูงมองเห็นข้อเท้าขาวนวล







