LOGINเหยาหมิงมองตามหลังอนุของตัวเองอดขำกับท่าเดินถ่างขาของนางไม่ได้อีกทั้งสงสารที่สตรีบอบบางเช่นนี้กลับถูกโบย
“เจียหาวเจ้าไปกำชับพ่อบ้านต้วน หากยังมีใครไม่ให้เกียรตินางในฐานะอนุของข้าอีก ก็จงรับโทษโบยและขับออกจากจวนไป” แม้ตัวเขาจะไม่พึงใจต่อนางและยังเกลียดแค้นตระกูลหวง ทว่าบ่าวก็ไม่ควรกำเริบเสิบสานกับผู้เป็นนาย
“ขอรับ แล้วจะให้เรียกนางอย่างไรดี ฮูหยินหรือ..”
“เรียกอนุหวงเช่นเดิม ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลนี้” เหยาหมิงใบหน้าเย็นชาเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต
ด้านลี่เหม่ยเมื่อถึงเรือนหลังก็ถึงกลับนอนคว่ำหน้าแผ่กายบนเตียง ก้นของนางยังระบบไม่หายอีกทั้งเดินทั้งวันเช่นนี้ ร่างนี้แทบทนไม่ไหวแล้ว
“ชิงชิง ข้าหิวแล้วรีบทำอาหารเถอะ”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้รีบกระวีกระวาดทำบะหมี่ง่าย ๆ พร้อมผัดผักอีกอย่างวางบนโต๊ะกลางเก่ากลางใหม่กลางโถง
“อาหารพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ชิงชิงพยุงลี่เหม่ยมายังโต๊ะกลางเรือน
“เจ้านั่งลง” ลี่เหม่ยหันมาบอกชิงชิง
“คุณหนู...” สาวใช้ข้างกายนางมีทีท่าลังเล ไม่มีสาวใช้ที่ไหนนั่งโต๊ะอาหารร่วมกับเจ้านาย
“ต่อไปนี้เจ้ากินข้าวเป็นเพื่อนข้า ไม่ต้องแบ่งเจ้านายบ่าวไพร่” แววตาจริงใจของลี่เหม่ยทำชิงชิงน้ำตารื้น
“อื้อ” นางพยักหน้าเต็มแรง
“ดีมาก! นั่งลง”
มื้ออาหารเที่ยงเรียบง่ายจบลง ลี่เหม่ยกลับมานอนคว่ำแผ่กายอีกครั้งคราวนี้นางต้องหาวิธีทำเงินจากเศษผ้าแล้ว แบบอาภรณ์มากมายวิ่งอยู่ในหัวของนาง เศษผ้ามากมายถูกวางอยู่บนพื้นให้โดยมีชิงชิงมองดูพวกมันด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่รู้ว่ามันจะทำเงินให้คุณหนูของตนได้อย่างไร
“หยิบกระดาษกับพู่กันให้ข้าที” ลี่เหม่ยได้แบบอาภรณ์คร่าว ๆ ในหัวแล้ว เพียงไม่นานอาภรณ์แสนประหลาดจนชิงชิงต้องขมวดคิ้วก็ถูกวาดขึ้น
“นี่คือสิ่งใดเจ้าค่ะ?”
“อาภรณ์ที่จะขายดีที่สุดในหมู่หญิงนางโลมอย่างไรเล่า” ลี่เหม่ยยิ้มดีใจพลางมองภาพร่างของตัวเอง ในหัวคิดคำนวณกำไรที่จะได้
ทั้งวันลี่เหม่ยเอาแต่นั่งปักเย็บอาภรณ์จนไม่หลับไม่นอน โดยมีชิงชิงคอยเป็นลูกมือ จนยามเหม่าของอีกวันอาภรณ์สีฉูดฉาดก็เป็นรูปร่างเสียที
“เสร็จแล้ว” ลี่เหม่ยยันกายที่ระบบไปทั้งตัวขึ้น ก้นของนางปวดแสบปวดร้อนจนเกือบทนไม่ไหว
“นี่! จะขายได้หรือเจ้าคะ” ชิงชิงไม่แน่ใจกับความคิดนี้
“เหตุใดจะขายไม่ได้เล่า?” ลี่เหม่ยมองดูอาภรณ์ที่นางทุ่มเทปักเย็บทั้งคืน อาภรณ์บางสีแดงฉานมีคาดอกสีดำ กางเกงซับในสีขาวพลิ้ว หากสตรีสามใส่นางมั่นใจว่าเหล่าบุรุษมิอาจอดใจไหวแน่
“ดูน่าอายเกินจะสวมใส่เจ้าค่ะ” ชิงชิงหน้าแดงระเรื่อ
“ข้าก็มิได้ตัดให้สาวน้อยอย่างเจ้าสวมใส่ หากเป็นเหล่าหญิงนางโลมที่ต้องการเชื้อเชิญเหล่าบุรุษตั้งหากเล่า” ลี่เหม่ยยังจ้องมองอาภรณ์ไม่วางตา
ลี่เหม่ยจัดการข้าวเช้าตนเองอย่างเร่งรีบ ก่อนสวมอาภรณ์สีเรียบออกจากเรือนตรงไปยังเรือนไผ่หลิว
“ท่านแม่ทัพ” ลี่เหม่ยยอบกายเคารพบุรุษที่กำลังฝึกเดิน เพียงวันเดียวบุรุษตรงหน้ากลับเดินเหินได้แข็งแรงขึ้นไม่น้อย
“เจ้ามีอะไร” บุรุษเบื้องหน้ามีท่าทีไม่สนใจ ยังคงเดินไปมาอยู่เช่นเดิม
“ข้าต้องการไปหอนางโลม” คำพูดนี้ทำเหยาหมิงหยุดเดินในทันทีก่อนจะมองสบตานาง
“หอนางโลม? เจ้าจะไปทำไม” เขากล่าวพลางมองนางตั้งแต่หัวจรดเจ้าจนนางเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
“ข้าไม่ได้จะไปขายเรือนร่าง”
“แล้วอย่างไร?” เหยาหมิงขมวดคิ้ว
“ข้าต้องการไปขายอาภรณ์ให้พวกนาง” ลี่เหม่ยกล่าวตามตรง หากปิดบังเกรงว่าเมื่อเขารู้ภายหลังนางอาจจะถูกโบยอีกครั้ง
“ขายอาภรณ์? เจ้าน่ะหรือ อนุแม่ทัพเฉิงขายอาภรณ์ให้นางโลมผู้คนคงหัวเราะเยาะทั้งเมือง” เหยาหมิงมือไพล่หลังสายตาเยือกเย็นมองมายังนาง
“ท่านให้เงินข้าห้าตำลึงต่อเดือน คงไม่คิดว่าจะพอใช้หรอกนะเจ้าคะ เช่นนั้นข้าทำงานสุจริตเหตุใดต้องหัวเราะเยาะ อีกอย่างหากท่านเกรงว่าชื่อเสียงของท่าจะด่างพร้อยข้าปิดปังตัวตนก็ไม่ยากเย็นอะไร” ลี่เหม่ยไม่คิดหลบสายตาอีกฝ่าย
“หึ! ข้าพึ่งรู้ว่าคุณหนูเก้าของเสนาบดีหวงจะปากเก่งไม่เบา” น้ำเสียงเย้ยหยันของบุรุษเบื้องหน้าทำนางไม่พอใจเสียแล้ว
“คนเราเมื่อต้องปากกัดตีนถีบก็ต้องปกป้องตนเองบ้างเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเก้าต้องปากกัดตีนถีบด้วยหรือ” เหยาหมิงเลิกคิ้วถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าเป็นเพียงลูกอนุท้ายเรือนไม่ได้สุขสบายเช่นลูกฮูหยินคนอื่นหรอก” คำพูดไม่ไยดี สีหน้าดื้อรั้นเช่นนี้ทำเหยาหมิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก
“ตกลงท่านแม่ทัพจะอนุญาตได้หรือไม่” เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน ลี่เหม่ยจึงย้ำถามอีกครั้ง
“จะไปก็ไป” กล่าวจบเหยาหมิงก็เดินจากไป
หอร้อยบุปผาย่านโคมแดง เหล่านารีกำลังพักผ่อนจากการรับแขกทั้งคืน ลี่เหม่ยที่บัดนี้มีผ้าบางพลางใบหน้านั่งรอพบหญิงงามอันดับหนึ่งขอหอร้อยบุปผา
“คุณหนูลี่มาพบข้ามีอะไรให้ซีซีรับใช้เจ้าค่ะ” ท่าทางยั่วยวนของนางใช้แม้กระทั่งกับสตรีด้วยกัน
“ข้ามีอาภรณ์มาให้เจ้าสวมใส่” หลี่เหม่ยไม่อ้อมค้อม
“อาภรณ์” ซีซีดูแปลกใจไม่น้อย
“ใช่ อาภรณ์นี้ข้าให้เจ้า แต่เมื่อมีสตรีใดอยากได้เช่นเจ้าเจ้าจะต้องทำการค้าให้ข้า”
“หึ! เหตุใดข้าต้องร่วมมือกับเจ้าด้วย” ซีซีท่าเทางเย่อหยิ่งขึ้นมาทันที
“ไม่เช่นนั้นข้าก็จะเอาอาภรณ์นี้ไปให้สตรีอื่นสวมใส่แทนเจ้า และส่วนแบ่งอีกหนึ่งตำลึงต่อชุดก็จะเป็นของผู้อื่นด้วย” ลี่เหม่ยเปิดชุดให้กับซีซีดู ตามคาดสตรีเบื้องหน้าตาโตเมื่อเห็นอาภรณ์ชุดนั้น อีกทั้งกำไรต่อชุดก็คุ้มค่าไม่น้อย
“ได้! ข้าตกลง” ซีซีรับคว้าชุดนั้นไปกอดไว้ทันที
“เช่นนั้นทุกสามวันข้าจะมาพบเจ้าที่นี่ เตรียมลูกค้าของเจ้าไว้ให้พร้อม” ลี่เหม่ยพอใจที่เจรจากันได้อย่างง่ายดาย
ยามอู่ลี่เหม่ยกลับถึงเรือนหลังก็กระวีกระวาดคัดแยกเศษผ้าเพื่อรอตัดเย็บชุดอีกจำนวนมากที่นางมั่นใจว่าหญิงนางโลมต้องยอมจ่ายแน่
“คุณหนู พรุ่งนี้ต้องกลับจวนตระกูลหวงท่านเตรียมรับมือหรือยังเจ้าคะ” ชิงชิงท่าทางกังวลกล่าวเตือนคุณหนูของตน
“เตรียมรับมือ? จากใครหรือ” ลี่เหม่ยขมวดคิ้วถาม
“ก็จากคุณหนูใหญ่บุตรีฮูหยินเอกอย่างไรเล่า อย่าลืมว่าท่านแต่งเข้ามาแทนนางนะเจ้าค่ะ”
“ข้าถูกบังคับแต่งมา นางควรขอบคุณข้าต่างหาก” ลี่เหม่ยไม่ใส่ใจ ก้มหน้าคัดเศษผ้าต่อ
“นางไม่สั่งโบยคุณหนูก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” ชิงชิงขนลุกขนพองเมื่อต้องกล่าวถึงหวงอิ้งเยว่
“เหตุใดต้องโบย?” ลี่เหม่ยท่าทางแปลกใจจนชิงชิงอดกังวลไม่ได้
“นี่! คุณหนูยังจำสิ่งใดไม่ได้อีกหรือเจ้าคะ คุณหนูใหญ่ไม่มีเหตุใดก็สั่งโบยได้เจ้าค่ะ นางไม่ชอบที่คุณหนูสะสวยกว่านาง”
“อ๋อ! เข้าใจล่ะ อิจฉานี่เอง”
“จะพูดเช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ อีกอย่างนางกำลังจะอภิเษกสมรสกับชิงอ๋อง บุรุษที่คุณหนูแอบมีใจจนคนรู้ทั่วเมือง ยิ่งจะทำให้คุณหนูอิ้งเยว่ไม่พอใจนะเจ้าคะ”
ลี่เหม่ยไตร่ตรองตามที่ชิงชิงกล่าวก็ได้แต่ถอนหายใจ นางเป็นเพียงลูกอนุแต่งเข้าจวนก็กลายเป็นอนุที่สามีเกลียดอีก แล้วจะเอาสิ่งใดไปต่อกรกลับหวงอิ้งเยว่ได้
“เช่นนั้นไม่ต้องกลับจวนสกุลหวง อ้างป่วยไม่สบายใกล้ตาย เช่นนี้ดีหรือไม่” ลี่เหม่ยขอความเห็นของชิงชิง
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ แต่ฮูหยินเล่า...เกรงว่านายท่าน...” ชิงชิงไม่กล้ากล่าวสิ่งใด
“เขาจะทำร้ายท่านแม่หรือ” ลี่เหม่ยนึกถึงแม่ตัวเองที่มักถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายเป็นประจำ
“เจ้าค่ะ” คำยืนยันของสาวใช้ข้างกายทำให้นางไม่ชอบหวงจิ้นหาวบิดาในภพนี้ของตนมากขึ้น
ฮูหยินเฒ่ามองใบหน้ามีชีวิตชีวาของหลานชาย นางเองก็พอเบาใจได้บ้าง บุตรสาวนางเฉิงอี๋นั่วจากไปเร็วทิ้งบาดแผลในใจให้เหยาหมิงมากมาย นับจากวันนั้นหญิงชราอย่างนางก็ไม่เคยเห็นใบหน้ามีชีวิตชีวาเช่นนี้อีก “เหยาหมิง ยายเหนื่อยแล้วพายายกลับจวนที” เสียงหญิงชราเรียกหลานชายที่กำลังนั่งสนทนากับลุงใหญ่ “ลี่เหม่ยอยู่พูดคุยกับเหล่าป้าใหญ่รอไปก่อนแล้วกัน” นางหันมายิ้มให้หลานสะใภ้ ก่อนปล่อยให้หลานชายพากลับเรือนนอน เรือนฮูหยินเฒ่าอยู่ถัดจากเรือนรับรองไม่ไกล เหยาหมิงพาท่านยายของตนนั่งพักในโถงเรือน ก่อนจะหันกายเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติฮูหยินเฉิง “เหยาเอ๋อร์ ไปจวนบิดามาเป็นอย่างไรบ้าง” “เช่นเดิมขอรับ หลานกับเขาไม่เคยพูดคุยกันได้ตั้งแต่ท่านแม่จากไป ครั้งนี้ก็เช่นเดิม” “อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดา หากไม่อาจอยู่ร่วมชายคาอย่างไรเสียความกตัญญูก็ควรมี หลานรู้ใช่หรือไม่” ฮูหยินเฒ่ากับชับหลานชาย “รู้ขอรับ ท่านย่าไม่ต้องกังวลหลานไม่ทำให้ใครต่อว่าตระกูลเฉิงได้แน่” เหยาหมิงตบมือท่านยายเบา ๆ “เช่นนั้นย
“อนุของข้ากล้าเอ่ยชมบุรุษอื่นต่อหน้าสามีเลยหรือ” เหยาหมิงรั้งเอวบางแนบชิดหน้าท้องแกร่ง ใบหน้ายียวนก้มมองสตรีตรงหน้าที่อ้าปากค้างร่างกายแข็งทื่อ ไม่ต่างจากเข่อซิงที่หยุดชะงักเมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายกำลังเย้าหยอกพี่สะใภ้ “ท่านทำอะไรของท่าน” ลี่เหม่ยที่ได้สติ ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันจ้องมองบุรุษฉวยโอกาสตาเขม็ง มือบางบิดเนื้อท่อนแขนอีกฝ่ายจนแดงช้ำ “โอ๊ย!! เจ็บนะ” เหยาหมิงกัดฟันตอบ ใบหน้ายียวนหายไปในทันที “ก็ทำให้เจ็บนี่ ปล่อยข้านะ” ลี่เหม่ยกระทืบเท้าอีกฝ่ายจนเจ็บแปลบ ยอมปล่อยนางแต่โดยดี เข่อซิงเห็นท่าทางสองสามีภรรยาที่บัดนี้คล้ายทะเลาะมากกว่าเย้าหยอกจึงรีบเข้าช่วยสงบศึก “คารวะท่านพี่ พี่สะใภ้” เสียงนุ่มลึกของชายหนุ่มดึงความสนใจของคนทั้งสองได้ทันที “รบกวนน้องสามีแล้ว ท่านแม่ทัพเพียงอยากแนะนำให้เรารู้จักกันน่ะ” ลี่เหม่ยยิ้มกว้างกล่าวเป็นกันเองกับอีกฝ่าย โดยไม่ต้องให้เหยาหมิงตแนะนำ “หึ! เจ้าเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจริงนะ” เหยาหมิงประชดประชัน “ข้าเข้าง่ายกับคนที่ข้าอยากเ
ลี่เหม่ยจ้องมองใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นของแม่ทัพหนุ่ม นางเผลอยิ้มให้กับความหล่อเหลาของอีกบุรุษตรงหน้าโดยมิรู้ตัว คิ้วหน้าตาคมเข้มผิวขาวราวไข่มุก ริมฝีปากอิ่มยามปิดสนิทที่ไม่เอาแต่กล่าวคำตำหนินางช่างน่ามอง “จ้องนานเช่นนี้ มีใจให้ข้าหรือ?” คำพูดไม่น่าฟังหลุดออกจากปากบุรุษตรงหน้า ทำรอยยิ้มหวานเมื่อครู่ของหญิงสาวหุบหายไปในพริบตา “โรคหลงตัวเองนี้ท่านยังไม่หาหมอมาดูอาการอีกหรือ” ลี่เหม่ยสวนกลับอีกฝ่ายในทันที เหยาหมิงที่ยังคงทาแผลให้กับนางหยุดมือทันทีเมื่ออีกฝ่ายชอบประชดประชันตนไม่หยุด “เสร็จแล้ว แผลเท่านี้ไม่ทำให้เจ้าอัปลักษณ์ไปมากกว่านี้ได้หรอก” บุรุษตรงหน้าปล่อยมือนางก่อนหันกายขึ้นรถม้าไป “เจ้าเด็กนี่หนิ ทำคนอื่นเจ็บยังมีหน้ามาว่าอีก” ลี่เหม่ยมือเสะเอวอย่างเหลืออด ก่อนจะจ้องมองแผ่นหลังชายผู้ขึ้นรถม้าไปพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “หากไม่อยากเดินไปจวนตระกูลเฉิงก็ขึ้นรถม้ามา” เสียงเย็นชาจากบุรุษในรถม้าดังตามหลัง ลี่เหม่ยทำได้เพียงกระทืบเท้าทำตามคำสั่งแม่ทัพหนุ่ม นางไม่มีอำนาจใดต่อรองได้ จำต้อ
รถม้าหยุดลงหน้าจวนตระกูลหวัง ใบหน้าหล่อเหลาของเหยาหมิงเย็นชาจนไม่น่ามอง สีหน้าไร้อารมณ์จนผู้คนคาดเดาความคิดของแม่ทัพปราบเหนือได้ยาก “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” ลี่เหม่ยถามสิ่งที่นางต้องทำเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อสามี “อยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องทำอะไร ข้าจะจัดการเอง” น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้นก่อนก้าวลงจากรถม้า โถงใหญ่ของบ้าน บุรุษวัยห้าสิบหน้าละม้ายคล้ายเหยาหมิงนั่งอยู่เก้าอี้เจ้าบ้าน มีหญิงวัยราวสี่สิบสวมอาภรณ์ผ้าไหมราคาแพงทั้งตัวเครื่องผมแสนวิจิตรประดับจนเต็มหัว ใบหน้างามแต่งแต้มจนเกินพอดีนั่งอยู่ด้านข้าง “คารวะนายท่านหวัง ฮูหยินหวง” เหยาหมิงค่อมกายเคารพผู้อาวุโสทว่าคำเรียกช่างห่างเหิน บ่งบอกถึงความไม่เกี่ยวข้อง ใบหน้าของหวังเทียนเล่ยบิดเบี้ยวด้วยไฟโทสะ ไม่ต่างหวงหลงเหรินที่บัดนี้หายใจถี่แรงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจห้าปีที่แต่งเข้ามาลูกเลี้ยงอย่างเหยาหมิงกลับไม่เคยเคารพนางเลย ลี่เหม่ยมองดูสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเบื้องหน้า แม่ทัพไม่เคารพพ่อแม่ของตนก็ไม่กล้ามีใครตำหนิ แต่หากนางเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างต้องถูกตีเนื้อแตกอีกแน่ “คา
เหยาหมิงก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปยังลานประมูล ใบหน้าคมเข้มยังคงจดจ้องใบหน้าซีดเผือดของนางไม่วางตา “ท่านแม่ทัพเฉิงนี่ ไม่ยักรู้ว่าท่านก็ชื่นชอบหญิงคณิกาด้วย” ใต้เท้าจงอยู่ในราชสำนัก จึงจดจำชายหนุ่มได้ดี “ข้าก็เพียงแค่อยากรู้ว่าจริงพรหมจรรย์ของหอร้อยบุปผาจะงดงาม เย้ายวนอารมณ์บุรุษได้เพียงใด” มือหนาลูบไล้สัมผัสใบหน้านางอย่างถือดี โดยไม่สนสายตาโกรธเกรี้ยวของลี่เหม่ย “หวงลี่เหม่ย นะ หวงลี่เหม่ย คลาดกันแค่ครึ่งชั่วยามเจ้าก็มาขายพรหมจรรย์เสียแล้ว” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูนาง “ใช่ที่ไหน ใครจะรู้เดินมาดี ๆ ดันอยู่กลางลานประมูลเสียแล้ว รีบพาข้าออกไปเร็วเถอะเจ้าค่ะ” นางจ้องมองบุรุษตรงตาด้วยแววอ้อนวอน แต่เขากลับเห็นความลำบากของนางเป็นเรื่องตลกเสียได้ “มามาข้าคิดว่าไม่มีผู้ใดประมูลแข่งข้าแล้ว เช่นนั้นข้าคงพานางไปได้สินะ” หางตาเหยาหมิงมองไปยังมามาหน้าเลือดที่ยืนยิ้มดีใจกับราคาแพงลิบที่เขาจะจ่ายให้ “ช้าก่อน! ท่านแม่ทัพเฉิงพึ่งรับอนุงามหยดย้อยเข้าจวน เช่นนั้นสตรีนางนี้ข้าขอแล้วกัน” บุรุษท่าทางเมามายไม่
“เหตุใดต้องยอมให้พวกนั้นรังแกเล่า เหตุใดไม่สู้” เหยาหมิงเผลอถามคำถามโดยไม่รู้ตัว “ไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ไม่มีความกล้ามั้ง” ลี่เหม่ยเอ่ยพลางสบตาบุรุษเบื้องหน้า “แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ข้าไม่ใช่คนสกุลหวงไม่จำเป็นตรงกลัวพวกเขาอีกต่อไป” นางยักคิ้วให้กับเหยาหมิงก่อนจะมองชมความงามของสินค้าสองข้างทาง “หึ! ร่วงจากขื่อครั้งเดียวทำให้เจ้ามีความกล้าขึ้นเยอะนี่” แม่ทัพปราบเหนือเหยียดยิ้มพลางกล่าวพึมพำก่อนเบนสายตาไม่สนใจสตรีเบื้องหน้าอีก รถม้าจอดหน้าจวนแม่ทัพ ลี่เหม่ยที่ทนแสบร้อนจากน้ำล้างชามไม่ไหวลุกพรวดขึ้นรีบออกจากรถม้า โดยไม่รอให้บุรุษอย่างเขาลงจากรถม้าก่อน จนเหยาหมิงต้องมองค้างกับท่าทางแปลกประหลาด ไม่รู้จักธรรมเนียมของนาง “ตระกูลหวงไม่เคยสอนหรือว่าต้องให้บุรุษลงจากรถม้าก่อน” ชายหนุ่มตำหนินางทันทีที่ลงจากรถม้าได้ “อาจจะเคยสอน แต่ข้าสมองน้อยไม่จำเอง” “หากท่านแม่ทัพไม่ว่าอะไร ข้าขอไปอาบน้ำก่อนแสบไปหมดแล้ว” ลี่เหม่ยไม่กล่าวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกาเนื้อตัวจนอาภรณ์เลิกขึ้นสูงมองเห็นข้อเท้าขาวนวล







