“เราไปกันเถอะครับ” อาคุมุกล่าว เรย์และเหล่าทหารจึงเอามือลงและหันกลับมา
“เรียบร้อยแล้วสินะ งั้นเราก็เริ่มเดินทางได้” ว่าแล้วก็หันกลับไปหาทหารในหน่วยของเขา
“อาสา 3 คน มาขับรถม้า!!”
“รับทราบครับ!” ทหารหนุ่ม 3 นายได้เดินออกมาจากแถว และขึ้นไปนั่งข้างหน้าเตรียมควบคุมรถม้า อาคุมุและคนอื่น ๆ ก็เดินขึ้นไปบริเวณตัวรถในทันที
“ไปได้!”
รถม้าเคลื่อนแล้ว ซึ่งเส้นทางที่ใช้นั้นจะเป็นเส้นทางไหนก็ไม่อาจทราบได้ เนื่องจากตอนนี้อาคุมุไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย เขารู้แค่จากการดูแผนที่โดยใช้เวลาเพียงไม่นานว่าเมืองใหญ่นั้นอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเมืองใหญ่นั้นคงจะเป็นเมืองหลวงอย่างแน่นอน
“ว่าแต่นายเป็นใครกันแน่เนี่ยเจ้าหนู?” เรย์เอ่ยปากถามกับอาคุมุ นี่คงจะเป็นสิ่งที่ทั้งเรย์และทหารอยากจะรู้มากที่สุด
“ก็.. ผมเป็นคนที่มีพลังเวทครับ” นั่นคือประโยคแรกที่อาคุมุตอบกลับแล้วหยุดไป หลังจากนั้นจึงพูดต่อ
“พลังเวทของผมเป็นประเภทที่หายากมากซึ่งก็คือพลังมังกรสายฟ้า” อาคุมุยังไม่ทันได้พูดต่อ เรย์ก็พูดขึ้นมาในทันที
“สรุปว่านายมาจากตระกูลคาอิดะจริง ๆ ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
ทันทีที่อาคุมุตอบกลับไป แต่ละคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่คิดเลยว่าบุคคลจากตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่และมีอิทธิพล จะมาอยู่ ณ ตรงนี้ต่อหน้าพวกเขา ทั้งที่พวกเขาทุกคนคือทหาร และยังให้การช่วยเหลือเหล่าทหารอีก
“ทำไมต้องตกใจถึงขนาดนั้นด้วยล่ะครับเนี่ย ตอนที่ผมสู้กับ 3 คนนั้นก็น่าจะได้ยินหมดแล้วไม่ใช่หรือไงครับ?”
“ก็ตอนนั้นเราไม่เชื่อน่ะสิ อยากฟังโดยตรงแบบนี้ถึงจะน่าเชื่อถือมากกว่า แล้วก็.. ไม่เคยมีใครคิดจะช่วยพวกเราแบบนี้มาก่อนเลย”
สำหรับนักเวทแล้วนั้น ทหารไม่ต่างจากเบี้ยล่างเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นตัวตายตัวแทน มีทหารก็เปรียบเสมือนมีโล่กำบังป้องกันตนเอง จะมีทหารสักกี่ร้อยกี่พันนายก็ไม่สามารถที่จะต่อกรกับนักเวทได้
หลังจากที่มีการปกครองของจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียว นักเวทในจักรวรรดิก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ยกระดับนักเวทด้วยกันเองอยู่เหนือทุกสิ่งอย่างภายใต้การปกครองที่ไม่มีความยุติธรรม ภายใต้ตำแหน่งของจักรพรรดิ ว่าคนเหล่านั้นคือนักเวทที่ยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ
“ที่ผมอยากช่วย เพราะว่าในจักรวรรดินี้ผมก็มีเป้าหมายใหญ่อยู่เหมือนกันน่ะครับ” อาคุมุตอบกล้บ
“เป้าหมายใหญ่ในจักรวรรดิ?” เรย์ที่ได้ยินอย่างนั้นก็อยากรู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้อาคุมุเคยบอกเขาไว้ แต่อาคุมุยังไม่ได้พูดอะไรมากมาย เพียงแต่ให้คำมั่นว่าสามารถช่วยเรย์และทหารราบได้เท่านั้น
“ก็.. ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเลยน่ะครับ จะเป็นอะไรไปได้นอกจากองค์จักรพรรดิ คือผมต้องการฆ่าจักรพรรดิครับ นั่นแหละครับเป้าหมายใหญ่ของผมในตอนนี้”
เรย์และเหล่าทหารที่ได้ยินอย่างนั้นต่างกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะมีแต่อะไรที่ทำให้ตกใจได้ตลอด อีกทั้งตัวตนของเด็กคนนี้ก็ยังไม่สามารถรู้อย่างชัดเจนว่าเป็นมายังไงกันแน่
“จะว่าไป ทำไมนายถึงตั้งเป้าหมายแบบนั้นล่ะ?” เรย์ถามกลับไป อาคุมุเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ตอบกลับ
“ผมแค่คิดว่าองค์จักรพรรดิมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่พ่อผมต้องมาจบชีวิตลงครับ”
“พ่อนาย... คุณอิซามุน่ะเหรอ? นี่เขาเสียชีวิตแล้วงั้นเหรอ?” เรย์ถามกลับด้วยท่าทางที่ดูแปลกไป ราวกับว่าตัวเขากำลังกลัวและคาดไม่ถึงอยู่ในตอนนี้
“ใช่ครับ แล้วรู้จักพ่อผมด้วยเหรอครับ? แล้วพ่อผม.. มีอะไรเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างน้้นก็อยากรู้ขึ้นมาในทันที เพราะนี่อาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขายังไม่รู้ก็เป็นได้
เนื่องจากเขาไม่ค่อยจะรู้เกี่ยวกับตัวตนของพ่อเขาเลย ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เขาคิดถามอะไรที่เกี่ยวกับพ่อของเขา เพื่อรู้ถึงเรื่องบางอย่างที่มันอาจจะลึกซึ้งและดูเหมือนเป็นความลับ พ่อของเขาก็จะเข้าเรื่องอื่นทุกครั้ง จึงทำให้รู้แค่เรื่องที่รู้ในปัจจุบัน
“ก็พ่อของนายน่ะ เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากพอสมควรเลยนะ เป็นเหมือนวีรบุรุษของจักรวรรดิเลยล่ะ แต่ว่า... อย่าโกรธฉันนะ มีข่าวลือมาว่าเขาดูเหมือนไม่ใช่คนธรรมดาและดูเหมือนไม่ใช่คนในจักรวรรดิ ฉันไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่แต่พ่อของนายเสียชีวิตแล้วจริง ๆ เหรอ?”
สิ่งที่เรย์ตอบกลับมานั้น ก็ทำให้อาคุมุเกิดคำถามมากมายขึ้นมาในหัวอย่างนับไม่ถ้วน
‘มีชื่อเสียง เป็นเหมือนวีรบุรุษ ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่คนในจักรวรรดิ... อะไรกันเนี่ย?’
“ใช่ครับ เขาเสียชีวิตแล้ว”
‘ถึงแม้ฉันจะคิดเหมือนเดิมว่าพ่อยังไม่ตายก็เถอะ แล้วก็ทำไมเขาถึงต้องให้ฉันไปเมืองใหญ่ด้วยเนี่ยสิ ฉันยังไม่รู้คำตอบอะไรเลยสักอย่างเดียว ฉันต้องหาที่อยู่ที่ปลอดภัยแล้วฝึกให้ได้ก่อนสินะ ส่วนการประลอง.. อ๋อใช่! ถ้าไปเมืองหลวงก็คงจะได้พบองค์ชาย งั้นก็คงไม่ยากแล้วล่ะ’
ตอนนี้อย่างแรกที่อาคุมุต้องทำให้สำเร็จให้ได้เลยก็คือต้องไปถึงเมืองหลวง หลังจากนั้นเขาจะต้องหาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งให้ได้โดยเร็ว
สิ่งที่สำคัญคือเขาต้องหาสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการฝึก เพราะอาคุมุนั้นต้องแข็งแกร่งขึ้นและมีทักษะด้านต่าง ๆ มากกว่านี้ สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือต้องชำนาญการใช้ทักษะหลาย ๆ อย่างให้เร็วที่สุด
ส่วนเรื่องวันที่เริ่มการประลองคงจะไม่มีปัญหา เพราะไม่ว่ายังไงก็อยู่ในเมืองหลวง ต้องมีโอกาสที่จะได้เจอกับองค์ชายชูยะอย่างแน่นอน และด้วยความที่ได้รู้จักกับองค์ชาย อาคุมุอาจจะได้รับรู้อะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างก็เป็นได้
“แล้ว.. ลุงเรย์รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพ่อผมอีกไหมครับ?” อาคุมุถามกลับไป แน่นอนว่าเขามีความอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง
“ก็รู้แค่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ธรรมดาน่ะนะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาจากตระกูลคาอิดะจริงหรือเปล่า”
“อะไรนะครับ?” นั่นคือสิ่งที่อาคุมุตกใจเป็นอย่างมาก เพราะถ้าอิซามุไม่ใช่คนของตระกูลคาอิดะ แล้วเขาจะเป็นใคร ยิ่งถามมากเท่าไรก็มีแต่เรื่องที่ทำให้เขาต้องคิดเพิ่ม
“มันเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้คำตอบแน่ชัดน่ะ ไม่ต้องไปสนใจหรอก” เรย์ตอบกลับไป
“จะว่าไป ไม่ใช่ว่ามันจะเช้าแล้วเหรอครับ นี่ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะตั้งแต่ออกมา” ออกมาจากเมืองชิโตเสะตอนที่ท้องฟ้ามืดพอสมควร ทั้งยังติดกับของนักเวทและต้องมาสู้กับนักเวท ทั้งหมดจึงใช้เวลาไปค่อนข้างนาน
“ตั้งแต่ออกจากเมืองก็ผ่านมา 3 ชั่วโมงแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ง่วงเลยหรือไง? นายสู้กับเจ้าพวกนั้นด้วยนะเจ้าหนู”
‘นั่นสินะ ถึงฉันจะเคยใช้ชีวิตมาแล้วก็เถอะ แต่ว่าตอนนี้ฉันคือเด็ก 6 ขวบ’
“ที่ผมพูดขึ้นมาก็เพราะว่าผมง่วงนี่แหละครับ” อาคุมุพูดออกมา ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เคลิ้มและหลับไป
“ไม่หลับสิแปลก คงจะเหนื่อยน่าดู”
...
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ขณะนี้อาคุมุเริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้นช้า ๆ แน่นอนว่าเขาหลับสนิทตลอดการเดินทาง ท้ายที่สุดก็กำลังจะมาถึงเมืองหลวงในช่วงเช้าที่ท้องฟ้าสุดแสนจะสว่างและแจ่มใส
“ตื่นแล้วเหรอเจ้าหนู? เรากำลังจะถึงแล้วล่ะนะ.. เมืองหลวงน่ะ”
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร