หลังจากนั้นเป้าหมายของอาคุมุที่คิดไว้ล่วงหน้าก็ไม่ได้มีเพียงแค่การฆ่าเพราะความแค้นในอดีต แต่เป็นการที่ได้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของโลกใบใหม่นี้ ในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ และเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกนี้!
“ออกไปสูดอากาศข้างนอกก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วอาคุมุก็ลุกออกจากเตียงและเปิดผ้าม่าน พร้อมกับเดินไปยังประตูห้องที่ปิดอยู่
เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแต่ทันใดนั้นก็ได้มีสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น
“นี่มันอะไร?!” เขารู้สึกได้ถึงพลังที่มีความแข็งแกร่งยากเกินจะเปรียบเทียบ และแรงกดดันที่มหาศาลราวกับว่ามันกำลังจะกดทับร่างกายของเขาให้จมลงไปภายใต้แรงกดดันนี้
“ความแข็งแกร่งของพลังนี้มันเป็นของใครกันแน่?”
ทันใดนั้นเอง อิซามุก็เปิดประตูเข้ามาซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกันกับที่แรงกดดันอันมหาศาลนั้นหายไป ราวกับว่าถูกเขาหยุดเอาไว้
“เอ๊ะ.. พ่อ?”
“อาคุมุ ร่างกายและพลังของลูกฟื้นตัวดีแล้วใช่ไหม? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” อิซามุเอ่ยถาม
“เอ่อ.. ร่างกายและพลังของผมกลับมาเป็นปกติแล้วครับ ไม่มีอะไรผิดปกติ” อาคุมุตอบกลับไปด้วยความงุนงง เพราะเมื่อครู่นี้เขายังรู้สึกถึงแรงกดดันนั้นอยู่เลย แต่ทำไมมันถึงหายไปพร้อม ๆ กันกับตอนที่อิซามุเปิดประตูเข้ามา
‘แปลกแฮะ’
“พ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ?” อาคุมุถามกลับไป
“พ่อแค่เป็นห่วงลูกน่ะ เกรงว่าจะมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นกับร่างกายหรือว่าทำให้พลังเวทมีความปั่นป่วน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นพ่อก็สบายใจแล้วล่ะ การฝึกหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับลูกเลยว่าต้องการอะไรก่อน แต่ถ้ามีข้อสงสัยก็มาถามพ่อได้” เมื่อพูดจบ อิซามุก็เดินออกไปจากห้องนอนของอาคุมุในทันทีพร้อมกับปิดประตูด้วยความแผ่วเบา อาคุมุก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะถามอะไรต่อแต่อย่างใด
“มันจะเป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่านะ ทำไมถึงรู้สึกแปลกขึ้นทุกครั้งในตอนที่ได้คุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของเวทมนตร์..” อาคุมุก็ยังคงคิดไม่ตกเกี่ยวกับตัวตนของพ่อ.. ชายคนนี้เขาคือใครกันแน่?
“เราอาจจะคิดไปเองก็ได้” หลังจากนั้นอาคุมุจึงเปิดประตูแล้วเดินออกไปจากห้องนอน ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงพลังหรือแรงกดดันแบบนั้นแล้ว และพ่อของเขาเองก็เช่นกันที่ไม่รู้ว่าออกไปที่ไหนแล้ว ในบ้านนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบสงัดและตัวของอาคุมุที่อยู่เพียงลำพัง
“เป็นคนบอกเองแท้ ๆ ว่าถ้ามีอะไรสงสัยก็ให้ไปถาม แต่ไม่อยู่อย่างนี้จะถามยังไงกันล่ะ? แต่ช่างเถอะ คงไม่น่าจะมีอะไรต้องถาม”
พูดจบอาคุมุก็เดินไปยังพื้นที่โล่งทางหน้าบ้าน เขาตั้งใจที่จะรวบรวมสมาธิเล็กน้อย แต่ก็เกิดสิ่งที่ทำให้เขานั้นแปลกใจอีกครั้ง เพราะเขายังไม่ทันได้รวบรวมสมาธิเพื่อสัมผัสถึงการไหลเวียนของพลังเวทในร่างกายเลยด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถสัมผัสถึงพลังเวทได้แล้ว
มากไปกว่านั้นคือเขาสามารถมองเห็นออร่าสีขาวที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงหันฝ่ามือไปข้างหน้าแต่เอียงต่ำลงพื้นเล็กน้อย พร้อมกับพูดออกไปในทันที
“หรือว่า.. แสงอัสนีบาต!”
ตู้มม!!
สายฟ้าแบบเดิมที่เคยใช้นั้นออกมาจากฝ่ามือของเขา พื้นดินบริเวณนั้นที่ถูกความรุนแรงของสายฟ้าเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่พอสมควร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาตกใจ เพราะสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในครั้งนี้คือเขาไม่จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิก่อนที่จะใช้พลังอีกต่อไป เขาสามารถปล่อยแสงอัสนีบาตออกมาได้ในทีนทีเมื่อต้องการ
“เห็นออร่ารอบตัวแล้ว และปล่อยพลังได้โดยที่ไม่ต้องรวบรวม นี่มันอาจจะเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญของฉันก็เป็นได้” ว่าแล้วเขาก็ลองใช้มันซ้ำอีกครั้ง เขาหันฝ่ามือไปทางหลุมใหญ่จุดเดิมที่ยังคงอยู่
“แสงอัสนีบาต”
ตู้มมม!!
แน่นอนว่าผลลัพธ์ดีเยี่ยม อาคุมุรู้สึกได้ถึงความรุนแรงของแสงอัสนีบาตที่เพิ่มมากขึ้น เดิมทีหลุมที่พื้นดินหลุมนั้นก็มีความกว้างอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้มันทำให้หลุมมีขนาดใหญ่กว่าเดิมอีกเล็กน้อย
“นี่อาจจะเป็นข้อดีของนักเวทในชนบท.. หรือว่าพ่อคิดเรื่องนี้ไว้อยู่แล้วกันแน่นะ?” สิ่งที่อาคุมุคิดก็คือนักเวทในชนบทนั้นมีพื้นที่ค่อนข้างที่จะกว้างขวางเช่นเดียวกันกับบริเวณรอบบ้านของเขา แถมโดยรอบก็ไม่ได้มีผู้คนพลุกพล่าน จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนพลังเวท
แต่ในขณะที่อาคุมุกำลังจะฝึกฝนและค้นหาทักษะอื่น ๆ ต่อไป ทันใดนั้นแขกไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้น
“ว้าว! ผมทำได้แล้วล่ะ พวกท่านเห็นไหม? ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอ๋?” เด็กหนุ่มผมสีขาว รูปงาม ภายนอกดูมียศฐาบรรดาศักดิ์คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าอาคุมุ เขามาที่นี่โดยการใช้ทักษะของวงแหวนเวท
“หืม?...” อาคุมุจ้องเขม็งมองไปด้วยสายตาที่ดูแปลกใจ
‘หมอนี่มันคงจะเพิ่งใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทได้สินะ แล้วก็ออร่าสีขาว..’
“เอ๋? นี่ฉันมาโผล่ตรงไหนล่ะเนี่ย ดูท่าน่าจะไกลมากเลยนะ” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดพึมพำอยู่คนเดียว แล้วจึงหันหน้ามาทางอาคุมุ
“เอ่อ... เพิ่งจะพัฒนาวงแหวนเวทได้เหรอครับ?” อาคุมุกล่าวถามไป
“ใช่แล้วล่ะน้องชาย ก็ใช้คล่องขึ้นมาพอสมควรอยู่ กับขนาดของวงแหวนที่ใหญ่มากน่ะนะ” เด็กหนุ่มคนนั้นตอบกลับมา พร้อมกับที่เขาค่อยปล่อยพลังเวทออกมาที่ฝ่ามือ ซึ่งท่าทางของเด็กหนุ่มคนนั้นดูไม่ค่อยจะเหมือนคนที่เพิ่งหัดใช้ได้เลยแม้แต่น้อย
‘เวทน้ำแข็ง?’
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือแท่งน้ำแข็งที่มีความแหลมคมและผิวเรียบเนียนจนเงาวับ
“กระสุนน้ำแข็ง” เด็กหนุ่มคนนั้นหันฝ่ามือไปทางต้นไม้พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่ทันใดนั้นก็ได้มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา และได้ทำการหยุดการโจมตีนั้นเอาไว้ในทันที
“องค์ชายโปรดระงับโทสะ” ชายคนนั้นได้พูดออกมาทั้งที่ยังไม่ทันได้ลืมตา พร้อมกับจับแขนของเด็กหนุ่มไว้ พลังที่ฝ่ามือก็เริ่มเลือนลางและหายไป
‘อะไรล่ะนั่น? แล้วก็องค์ชาย?’
“ท่านผู้นี้คือผู้ที่มีเชื้อพระวงศ์ในองค์จักรพรรดิ เป็นบุตรขององค์ชายรัชทายาทนามว่า "มาโมรุ ชูยะ" มาที่นี่ด้วยประการบางอย่าง ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก นายก็รีบกลับเข้าบ้านไปซะเถอะ” ชายวัยกลางคนผู้นั้นบอกกล่าวให้อาคุมุได้รับรู้พร้อมกับลืมตาขึ้น แต่อาคุมุก็ยังไม่ทันได้ไปไหน ชูยะก็เอ่ยขึ้นมาในทันที
“นี่ท่านลุง ก่อนจะทำตัวเป็นพระเอกก็ดูก่อนสิครับว่าผมทำอะไรอยู่”
“เอ่อ... เอ๋?!! โธ่องค์ชาย ว่าแต่ท่านไม่ได้คิดจะโจมตีเด็กนั่นหรอกเหรอครับ? พลังท่านปะทุออกมาค่อนข้างที่จะมากพอสมควรเลยนะ แต่เรารีบกลับไปน่าจะดีกว่านะองค์ชาย” ชายคนนั้นกล่าวถามกับองค์ชายชูยะ ก่อนที่จะหันมาทางอาคุมุ
“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่อยากรู้ว่าเวทน้ำแข็งมันพัฒนาไปแบบไหนหลังจากพัฒนาวงแหวนเวทครั้งนี้” องค์ชายชูยะตอบกลับไป
‘ครั้งนี้? พัฒนาไปกี่รอบแล้วล่ะนั่น แต่ดูเหมือนว่าลุงคนนี้จะดูไม่ธรรมดาแฮะ’
“ฉันคือ "ฟุโด อากิระ" ตระกูลของฉันเป็นตระกูลที่ได้รับหน้าที่อารักขาองค์ชายชูยะ แต่ตอนนี้พวกเราพลัดหลงกับกลุ่มใหญ่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เราต้องรีบกลับไปแล้ว นั่นคือทางที่ดีที่สุด”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีนามว่า "ฟุโด อากิระ" เขาคือหัวหน้าตระกูลฟุโด หนึ่งในตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นตระกูลที่อยู่ภายใต้ความดูแลของตระกูลมาโมรุ ได้รับหน้าที่อารักขาและดูแลความปลอดภัยให้กับชูยะ
‘เมื่อครู่นี้ยังนิ่ง ๆ อยู่เลยนะ ทำไมตอนนี้เขาดูร้อนรนแล้วล่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือไงกัน?’
“องค์ชาย เรารีบไปกันเถอะ ไม่งั้นเด็กคนนี้เขาจะ...” สิ่งที่อากิระพูด ยิ่งตั้งใจฟังอาคุมุก็เริ่มไม่ได้ยิน นั่นจึงทำให้เขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
‘อะไรเนี่ย? ไม่เข้าใจเลย’
“คือว่า.. มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมทำอะไรผิดไปไหม?” อาคุมุถามกลับไป แต่ก็ยังไม่ทันได้คำตอบอะไรกลับมา อากิระหรือชูยะก็ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ทันใดนั้นก็ได้มีกลุ่มคนปรากฏตัวขึ้นมารอบทิศทางที่อาคุมุนั้นยืนอยู่ และได้มีชายที่อายุดูไล่เลี่ยกับอากิระปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอาคุมุ
“เฮ้ย ๆ ...เด็กตัวกระเปี๊ยกอย่างแก ได้แตะต้ององค์ชายน้อยหรือเปล่าห๊ะ?!” ชายคนนั้นตะโกนด้วยเสียงที่ดังพอสมควร แต่ในทางกลับกันอากิระกลับพูดด้วยเสียงที่เรียบ ๆ
“เรื่องนี้มันจบไปแล้ว ท่านพี่อย่าใช้แต่อารมณ์จะได้ไหม?”
“แกเป็นแค่น้องฉัน! ถึงแกจะเป็นหัวหน้าตระกูลได้เพราะความสามารถรอบด้านก็เถอะ แต่แท้จริงแล้วตำแหน่งนี้มันต้องเป็นของฉันไม่ใช่หรือไง?!!”
‘อืม แบบนี้นี่เอง ฉันพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ.. เฮ้ย ๆ เดี๋ยวนะ!’
“ฉันจะแสดงให้เห็นเองนี่แหละ ว่าฉันสมควรจะได้รับมัน!!”
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร