LOGINเสียงฝีเท้าม้าหยุดลงตรงจุดที่กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งในอากาศ จ้าวเทียนควบม้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าคือร่างไร้ลมหายใจห้าร่างกระจัดกระจายอยู่ในพงหญ้า ท่ามกลางร่องรอยการต่อสู้ที่ยังใหม่สด
เขากระโดดลงจากหลังม้า ก่อนกวาดตามองโดยรอบอย่างชำนาญ
“ตรวจสอบให้ละเอียด” เสียงสั่งเด็ดขาดดังขึ้น ทหารติดตามแยกย้ายกันตรวจสอบ จ้าวเทียนเข้ามาดูศพอย่างละเอียด ทหารที่กำลังตรวจบาดแผลกล่าวขึ้น
“ใต้เท้า...ร่องรอยอาวุธลับเช่นนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนขอรับ...ผู้ใช้ต้องเป็นคนที่กำลังภายในสูงผู้หนึ่ง...จึงจะสามารถดันมันเข้ามาในร่างกายแบบนี้ได้”
กระสุนปืนเป็นเหล็ก ย่อมเป็นของผิดแปลกสถานที่มันเลยหายไปเรียบร้อยแล้วพวกเขาเห็นเพียงร่องรอยที่ร่างกายถูกเจาะเป็นรู
“ใต้เท้าจ้าว...มีร่องรอยคนหนีไปทางนั้นขอรับ”
จ้าวเทียนพยักหน้าก่อนออกคำสั่ง “เก็บรายละเอียดให้หมด”
แล้วเขาก็ควบม้าตามรอยอย่างรวดเร็ว
ส่วนหลินเยว่วิ่งออกไปยังถนน ร่างกายเต็มไปด้วยรอยเปื้อนและเลือด ทว่าใบหน้างดงามยังคงแฝงความเด็ดเดี่ยว
ทว่าพอคนรถม้าคันหนึ่งกำลังเคลื่อนมา สีหน้านางก็ปรับเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก
คนขับรถม้า เห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งวิ่งออกจากแนวป่าด้วยท่าทางร้อนรน
“คุณชาย มีแม่นางน้อยคนหนึ่งวิ่งอยู่ข้างทาง นางเหมือน...กำลังหนีบางอย่างขอรับ”
ลู่เผยที่อยู่ในรถม้าเหลือบตามองขึ้นก่อนจะเลิกม่านผ้าไหม สายตาคมดั่งกระบี่กวาดไปยังต้นเสียงทันทีและในวินาทีนั้นเอง เขาก็สบตากับนาง
มันสะกดใจอย่างประหลาด
แม้เสื้อผ้านางจะฉีกขาดและคราบเลือดเปื้อนเต็มตัว แต่แววตานั้นยังส่องประกายแวววาว ชั่วพริบตาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกสมบทบาท
“ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ! มีคนร้าย...” นางร้องด้วยเสียงสั่นเครือ
ลู่เผยหรี่ตาลงเล็กน้อย พินิจสีหน้าที่ดูเหมือนหวาดกลัว ทว่ากลับไม่สามารถหลอกดวงตาอันคมกริบของเขาได้หมด มันช่างน่าสนใจ
“หยุดรถ” เสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมาอย่างสงบเย็น ลู่เผยพับผ้าคลุมบนตักก่อนจะก้าวลงจากรถม้า
หญิงสาวในชุดเปรอะเปื้อนรีบวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าหวาดหวั่น มือบางยึดแขนเขาไว้แน่น
“คุณชายผู้นี้ ได้โปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกปนวิงวอน
คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยขีดข่วนและเสื้อผ้าที่เกือบไม่อาจเรียกได้ว่าสวมใส่ได้อีกแล้ว ลู่เผยก้มลงใช้ผ้าคลุมคลี่ลงบนร่างหญิงสาวอย่างเงียบงัน
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มรูปร่างองอาจในชุดขี่ม้าควบเข้ามาหยุดตรงหน้า
หลินเยว่เบิกตากว้าง รีบส่ายหน้าและผงะเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงเร่ง “ไม่ใช่คนผู้นี้เจ้าค่ะ”
ลู่เผย จดจำเครื่องหมายของทหารของตระกูลไป๋ได้ เขาหันไปยกมือประสานคารวะอีก
บุรุษผู้นั้นคือจ้าวเทียน นายกองคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ ไป๋จิ้งหาน
ดวงตาคมปลาบของจ้าวเทียนกวาดมองหญิงสาวอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพนาง เขาก็เข้าใจว่าคงเป็นคนนี้ที่เขาตามมา
แต่ดูเหมือนว่านางไร้วรยุทธ์ เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถาม
“เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับศพห้าศพตรงนั้น”
หลินเยว่เงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้า นัยน์ตาไหวระริกด้วยความตระหนกปนตื่นกลัว
“ขะข้า… ข้าชื่อหลินเยว่เจ้าค่ะ” หญิงสาวสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ราวกับพยายามกลืนความหวาดกลัวลงคอ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ข้า… ข้าเพิ่งจะถูกส่งตัวเพื่อเข้าจวนนายอำเภอโจวเจ้าค่ะ ระหว่างเดินทาง ข้ารู้สึกปวดท้องอย่างหนักจึงขอหยุดพัก ป้าคนที่ดูแลข้าก็พาเข้าไปในป่าข้างทาง… แล้วจู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้าสองคนโผล่มา ข้าตกใจมากตะโกนให้คนช่วย พวกเขาเริ่มต่อสู้กันข้าถือโอกาสหนีออกมา”
นางหยุดหายใจเฮือกหนึ่ง น้ำตาคลอเบ้าอย่างง่ายดาย ราวกับความกลัวกำลังกัดกินหัวใจ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ข้าแค่… วิ่งหนีออกมา วิ่งมาจนเกือบจะหมดแรง แล้วก็… มาเจอกับคุณชายท่านนี้เจ้าค่ะ”
ดวงตากลมโตฉายแววขอความเห็นใจอย่างเต็มเปี่ยม ร่างเล็กสั่นเทาเล็กน้อย มือบางจิกแน่นชายเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน
จ้าวเทียนมองหญิงสาวเงียบ ๆ “แล้วอาวุธที่ใช้… เจ้าเคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า” เขาถามอีกครั้ง ดวงตาเข้มจับจ้องไม่ละไปทางอื่น
หลินเยว่เม้มริมฝีปากแน่นก่อนส่ายหน้า “ข้าไม่รู้เลยเจ้าค่ะ… ข้าตกใจจนไม่ได้หันกลับไปมองด้วยซ้ำ ข้าแค่อยากหนีให้รอดเท่านั้น…”
จ้าวเทียนทบทวนชื่อที่ได้ยินด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม
“เจ้าชื่อหลินเยว่หรือ...บิดาเจ้าคือใคร?”
หลินเยว่หลุบตาลงเล็กน้อยก่อนตอบ “หลินอันเจ้าค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อ จ้าวเทียนนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าท่าทางคล้ายตกอยู่ในภวังค์ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นคล้ายคนลำบากใจ
“เรื่องชักจะวุ่นเสียแล้ว...”
เขาคือผู้ที่ได้รับคำสั่งจากรองแม่ทัพให้มารับหญิงสาวชื่อหลินเยว่นี้เข้าจวน เพื่อเป็นอนุของนายท่านโดยตรง
เมื่อมั่นใจว่าหญิงสาวตรงหน้าคือคนเดียวกับที่ต้องรับตัว สีหน้าของเขาก็ลดตัวตนลง “ข้าจะให้คนพาคุณหนูไปพักก่อน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นตรงนี้ ข้าจะจัดการเอง”
เสียงของจ้าวเทียนนั้นเรียบ นัยน์ตาเข้มพินิจหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาอีกแบบ
ลู่เผยที่เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ พลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของจ้าวเทียนที่เปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือนั้น ย่อมไม่อาจหลุดพ้นจากสายตาเขาไปได้
“ดูเหมือนนางจะมิใช่คนธรรมดาเสียแล้ว…”
เขาพลันครุ่นคิด ใจหนึ่งก็ยังหวั่นเรื่องบิดาที่ถูกคุมตัว อีกใจก็รู้ว่าในเวลานี้... ทุกโอกาสล้วนมีค่า
“ใต้เท้า ในเมื่อข้าลงมาช่วยคุณหนูแล้ว เช่นนั้น... ข้าขออาสาไปส่งนางที่โรงเตี้ยมก็แล้วกันขอรับ”
จ้าวเทียนหันมองลูกน้องที่ตามครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“เช่นนั้นรบกวนคุณชายด้วย”
หลินเยว่เหลือบมองชายทั้งสอง แววตาฉายแววแปลกใจเพียงชั่วครู่ แต่ก็รวบรวมสีหน้าให้กลับเป็นหญิงสาวผู้ตื่นกลัวอับจน ไร้ที่พึ่ง
นางค้อมศีรษะเล็กน้อย พลางกล่าวเสียงแผ่ว
“ขอบคุณคุณชาย ขอบคุณใต้เท้าทั้งสองเจ้าค่ะ…”
จ้าวเทียนให้คนของตัวเองติดตามไปคุ้มกันหลินเยว่สองคน ก่อนจะกำชับทั้งสองหลายประโยคแล้วขอตัว
ตอนที่ 67 เริ่มต้นบทใหม่ในสวรรค์ เกิดความปั่นป่วนขึ้นเงียบ ๆทูตนำส่งวิญญาณชุดดำขมวดคิ้ว “นี่...เจ้ารู้หรือไม่ มิติลับของนางสร้างเรื่องใหญ่แล้ว”ทูตวิญญาณชุดขาวส่ายหน้า “จะสร้างเรื่องใดได้เล่า นางก็แค่ใช้มันเอาตัวรอดมิใช่หรือ”“ตามข้ามาดูเองเถิด”เมื่อพวกเขาปรากฏกายเหนืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ทูตชุดดำเอ่ยเสียงต่ำ “ดูเถิด...นางเลือก น้ำ และถึงขั้นเลือกในระดับเขื่อนมาวางไว้”ชุดขาวเลิกคิ้ว “ผู้ใดจะคาดคิด...แต่ก็ใช่ว่าจะเสียหายอันใดมิใช่หรือ”ทูตวิญญาณชุดดำเพียงยกมือชี้ไปยังเบื้องล่าง กลุ่มผู้คนมากมายกำลังทำไร่ทำนา ปลูกต้นไม้และเด็ก ๆ หัวเราะเล่นน้ำอย่างแข็งแรง “คนเหล่านั้น...เดิมตามชะตาจะอดอยาก ล้มตายจากความหิวโหยและหนาวเหน็บ เด็กเหล่านี้ก็คงไม่รอดมากนัก แต่เพราะเขื่อนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด”เขากล่าวต่อ “นอกจากน้ำเขือน นางยกถังน้ำนมมาจากแจกจ่ายให้เด็กเหล่านั้นดื่มทุกวัน ดูเอาเถอะไม่มีเค้าโครงความยากเข็ญสักนิด”เสียงเขาเข้มขึ้น “ที่สำคัญ...สถานที่นี้ ไม่ควรมีฝน ทว่าผ่านไปเพียงหนึ่งปี เมฆฝนกลับก่อตัว...และโปรยปรายลงมา”ทูตวิญญาณชุดขาวเบิกตากว้าง “เช่นนั้นย่อมหมายถึงเทพบนสวรรค์ย่อมสังเก
ตอนที่ 66 ความผิดพลาด หลังมื้ออาหาร หลินเยว่นั่งพิงซบไหล่ลู่เผยบนสันเขื่อน ลมกลางคืนพัดอ่อนโยนคล้ายจะโอบล้อมทั้งสองไว้ ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก“พวกเขาคงอยู่ที่นี่ไม่นานนัก...อีกไม่นานคงรีบกลับไปบอกเล่าทุกสิ่งที่เมืองหลวง”หลินเยว่ยิ้มอ่อน แววตาเจือความขบขัน “พวกเขาบอกว่าข้าคือคนที่สวรรค์เลือก...แต่ท่านรู้หรือไม่ จริง ๆ แล้ว ข้าคือข้อผิดพลาดของสวรรค์ต่างหาก”ขณะนั้นหลินเยว่ก็ดึงน้ำปั่นสีแดงออกมา“ดื่มนี้สิ...น้ำแตงโมปั่นสดชื่นนัก”ลู่เผยรับจากหลินเยว่มาอีกมือก็กระชับอ้อมกอด ดวงตาเต็มไปด้วยความมั่นคง “เรื่องอื่นอาจผิดพลาดได้...แต่สำหรับฮูหยิน ข้าจะไม่มีวันเป็นความผิดพลาดเด็ดขาด หลังเสร็จสิ้นเรื่องนี้...พวกเรามีบุตรด้วยกันสักคนดีหรือไม่”หลินเยว่เงยหน้ามองเขา ดวงแก้มระเรื่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว “บุตรหรือ...ข้าไม่เคยคิดถึงเลย”ลู่เผยหัวเราะเบา ๆ ลูบเส้นผมเธออย่างอ่อนโยน “หากเจ้ามิพร้อม เราก็ยังไม่ต้องรีบร้อน...ข้าเข้าใจพวกเราอาจจะยังต้องการท่องเที่ยวอีก”หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ รอยยิ้มอบอุ่นผุดบนริมฝีปาก “มิใช่ไม่อยาก เพียงแต่...ข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน อีกอย่างตอนนี้...ข้าเพ
ตอนที่ 65 สวรรค์ล้วนเมตตา เสียงขุดดินและเสียงตะโกนประสานงานของชาวบ้านยังคงดังระงมรอบบริเวณ เสนาบดีเสิ่นก้าวลงจากหลังม้า เดินไปยังกลุ่มชาวบ้านที่กำลังขุดคลองด้วยท่าทีสงบมั่นคง ดวงตาคมกริบกวาดมองบรรยากาศอย่างถี่ถ้วนไม่นานนัก ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งรีบวางมือจากงานคุมคนงานก้าวออกมาคารวะ เขาก้มศีรษะต่ำกล่าวด้วยความเกรงใจ“คารวะใต้เท้า...ผู้น้อยสายตาตื้นเขิน ไม่ทราบนามของท่านคือ”ขุนนางผู้ติดตามก้าวออกมากล่าวเสียงดังฟังชัด “ท่านผู้นี้คือเสนาบดีเสิ่น ได้รับราชโองการให้มาตรวจสอบพื้นที่กันดารแห่งนี้ด้วยตนเอง”ชายผู้นั้น รีบก้มตัวโขกศีรษะ “คารวะท่านเสนาบดีเสิ่น! ผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านจะมาเยือน จึงไม่ได้จัดการต้อนรับเสียมารยาทแล้ว”เสนาบดีเสิ่นโบกมือเบา ๆ แย้มรอยยิ้มเมตตาน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่อาจตำหนิเจ้าได้ ข้าได้ยินว่า...ที่แห่งนี้มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ใช่หรือไม่ คลองเหล่านี้...จะรับน้ำจากอ่างนั้นมาหรือ”เขารีบตอบด้วยความนอบน้อม “ขอรับใต้เท้า อ่างเก็บน้ำอยู่ห่างจากที่นี่ราวห้าสิบลี้ หากเดินตามคลองไปก็จะถึง... ทุกวันนี้พวกเราขยันกันนัก วันหนึ่งขุดคลองได้เกือบหนึ่งลี้ ทว่าที่ตรงนี้จึงยังไม
ตอนที่ 64 เห็นด้วยตาตัวเอง หลังจากพูดคุยกันเสร็จ ไป๋จิ้งหานกับซูเหยียนก็ขอตัวออกเดินทางกลับเมืองหลวง ในขณะเดียวกันกลุ่มขุนนางตรวจการนำโดยเสนาบดีเสิ่นก็กำลังเดินทางมา ท้องฟ้าเหนือดินแดนกันดารเป็นสีหม่นมัว เมฆฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่วผืนดิน เสียงลมหวีดหวิวเสียดผ่านพงหญ้าแห้งเหมือนเสียงคร่ำครวญที่ไร้จบสิ้นขบวนเสนาบดีเสิ่นกำลังเคลื่อนตัวช้า ๆ ผ่านเส้นทางกันดาร รถม้าและม้าศึกหลายสิบตัวเคลื่อนตามเป็นแถว ขุนนางผู้ติดตามแต่ละคนต่างใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก กันไม่ให้ฝุ่นทรายเข้าไปอุดอู้พวกเขาต่างกระซิบคุยกัน “ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องลวงกระมัง”ทว่าในเส้นการเดินทางหาได้มีแค่กลุ่มของขุนนางนี้เสนาบดีเสิ่นเลิกผ้าม่านมองไปข้างหน้า เห็นกลุ่มคาราวานพ่อค้ากำลังมุ่งหน้าไปในทิศเดียวกัน หีบห่อและเกวียนสินค้าถูกบรรทุกเต็มจนแทบเอียง เสียงโห่ร้องของคนงานดังเซ็งแซ่“พ่อค้าอีกแล้วหรือ...” ขุนนางใหญ่เอ่ยถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“เหตุใดดินแดนกันดารเช่นนี้ถึงได้มีพ่อค้ามากมายแห่มา” พวกเขาต่างมีคำถามในใจเสียงเกวียนไม้ครืดคราดผสมเสียงฝีเท้าม้าโหม่งพื้นดินแห้งกรัง กลายเป็นท่วงทำนองอึดอัดท
ตอนที่ 63 คุกเข่า รุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงอาทิตย์สาดผ่านม่านหมอกบาง ๆ เหนืออ่างเก็บน้ำ เสียงนกป่าดังแว่วคลอไปกับเสียงผู้คนที่เริ่มทยอยออกมาจากกระโจม เตรียมแรงกายสำหรับการขุดคลองต่อในวันนี้ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังคึกคัก เสียงเกือกม้าดัง ตึกตัก ตึกตัก ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ขบวนม้าหลายสิบตัวแล่นมาตามเส้นทางดินฝุ่นตลบ เมื่อใกล้ถึงค่าย คนทั้งหลายต่างหยุดมือหันไปมองไป๋จิ้งหานปรายตามองดูพื้นดินกันดารที่เปลี่ยนไปมาก ระหว่างทางยังคงมีผู้คนเดินเท้ามาตลอดทางเขากระโดดลงจากม้า ทหารหลายคนจำเขาได้ต่างหยุดมือยืนคารวะ ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย มีคนเดินเข้ามาหลังผู้นั้นคารวะเสร็จเขาจึงเอ่ยถาม “ซูเหยียนอยู่ที่ใด”“อยู่บนอ่างเก็บน้ำขอรับ ผู้น้อยจะนำทางท่านไป”บนสันอ่างเก็บน้ำ สายลมยามเช้าพัดแรงพอให้ชายเสื้อสะบัด เสียงผู้คนเบื้องล่างยังคงคึกคัก แต่บรรยากาศตรงนี้กลับสงบกว่าซูเหยียนยืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นไป๋จิ้งหานก้าวเข้ามา เขาแค่มองด้วยแววตาลึกซึ้งเชิดเล็กน้อยกล่าว “เป็นอย่างไรบ้าง...ตกตะลึงเลยใช่หรือไม่?”ไป๋จิ้งหานหัวเราะเฮอะในลำคอ แววตาคมกริบฉายแววจริงจัง “ข้ายอมรับว่าสั่นสะท้านจริ
ตอนที่ 62 ตรวจสอบข้อเท็จจริง หลินเยว่มองเห็นซูเหยียนก็เอ่ยเรียกทันที…“คุณชายซู...มาถึงพอดีเลย ข้าเพิ่งย่างปลาเสร็จใหม่ ๆ” ซูเหยียนปรายตามองโต๊ะไม้ชั่วคราวที่ตั้งอยู่ใกล้กองไฟ สายตาสะดุดเข้ากับแท่งแก้วสีเหลืองทองที่สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงเรียบ “นี่...คืออะไรหรือ?”หลินเยว่ยิ้มบาง พลางโบกมือเชิญ “นั่งลงก่อน ๆ ข้าจะรินให้เอง” นางหยิบภาชนะขึ้นรินของเหลวสีเหลืองทองลงในถ้วยไม้ กลิ่นหอมเฉพาะตัวลอยออกมาอวลตัดกับกลิ่นควันปลา“นี่คือน้ำหมักสุรา ชื่อว่า เบียร์ …ท่านลองชิมดูสิว่าถูกปากหรือไม่”ฟองละเอียดสีขาวลอยบนผิวถ้วย ซูเหยียนมองด้วยความแปลกใจ ไม่เคยเห็นสุราใดในแคว้นเยี่ยนโจวมีลักษณะเช่นนี้ เขารับถ้วยจากมือนาง ลองยกขึ้นดื่มเพียงอึกเล็ก ๆ ก่อนชะงักไปเล็กน้อยรสชาติขมแปลกแต่กลับสดชื่นอย่างน่าประหลาดซูเหยียนจิบเบียร์ไปอีกเล็กน้อย คราวนี้สีหน้าเริ่มผ่อนคลายขึ้น ดวงตาที่เคยเยือกเย็นฉายแววสงสัยปนพอใจอยู่ราง ๆลู่เผยที่นั่งพิงอยู่ข้างกองไฟหันมามอง ยกยิ้มบางพลางเอ่ยขึ้น“สุรานี้แปลกดี...ขมตอนแรก แต่กลับชุ่มคออย่างน่าประหลาด ราวกับซ่อนความสดชื่นไว้ข







