เซี่ยจวิ้นอี้เจอกับไป๋ซูหนิงครั้งแรก เมื่อตอนที่อีกฝ่ายยังอายุเพียงแค่เจ็ดขวบเท่านั้นส่วนเขาเพิ่งมีอายุสิบห้าปีเต็ม ผู้ใดจะคาดคิดว่ามีวาสนาได้พบพานแล้วยังมีวาสนาได้ครองคู่อีก เด็กสาวที่เอ็นดูในวันวานกลับกลายเป็นภรรยาที่ร่วมกราบไหว้ฟ้าดินในวันนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าฐานะพี่ชายหรือสามี…เซี่ยจวิ่นอี้ล้วนถนุถนอมทะนุถนอมไป๋ซูหนิงราวกับไข่ในหิน ไม่เคยทำให้นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ทว่ายามนี้กลับเป็นเขาที่ถูกหักหลังและทรยศอย่างไม่น่าให้อภัย! ภายในอกของเซี่ยจวิ้นอี้คับแน่นเต็มไปด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านจนคล้ายจะปะทุออกมา มุมปากหนากระตุกยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือก เขาแค่นเสียงฮึดฮัดต่ำในลำคอ สายตาคมกริบตวัดจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว “หึ! ไม่คาดคิดเลยว่า เว่ยอ๋องจะมีนิสัยชอบแอบลักลอบกินของหลังจวนผู้อื่นเช่นนี้!” คิ้วของเว่ยอ๋องขมวดแน่นเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงไม่กระจ่างแจ้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างขุ่นเคือง “นายท่านเซี่ย โปรดระวังคำพูดด้วย” เว่ยจิ้นหลานไม่เข้าใจนักว่าบุรุษผู้นี้เกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมา จู่ๆ ถึงได้บุกเข้าจวนเว่ยอ๋องบุ่มบ่ามตามหาภรรยา ทั้งยังมีท่าทีโกรธเกรี้ยวประหนึ่งหากมีดาบอยู่ในมือจะตะบั่นฆ่าทิ้งให้เสียหมดเสีย มิหนำซ้ำยังด่ากราดอย่างไร้มารยาทอีก! ไฉนเลยเขาจะเข้าใจกันว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดกันแน่ “ข้าถูกทรยศหักหลัง จะให้ข้าระวังคำพูดไปเพื่อสิ่งใด!” เซี่ยจวิ้นอี้ตวาดกลับทันที น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นด้วยโทสะ เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เว่ยอ๋องยิ่งฟังยิ่งสับสน “เหตุใดเจ้ากล่าวว่ามาตามภรรยา แต่พอมาถึงกลับเอาแต่กล่าวหาข้าไม่หยุด แท้จริงแล้วเรื่องทั้งหมดมันเป็นเช่นไรกันแน่” เซี่ยจวิ้นอี้เพียงแค่นเสียงเย้ยหยัน สายตาคมกริบกวาดมองไปทั่วทั้งจวนราวกับกำลังมองหาสตรีผู้หนึ่งที่ยังคงหลบซ่อน ไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้า ก่อนตวาดลั่นก้องไปทั่วอีกครั้ง “ไป๋ซูหนิง! ออกมาบัดเดี๋ยวนี้! หากวันนี้เจ้ายังไม่กลับจวนกับข้าก็อย่าหวังว่าจะได้เหยียบจวนสกุลเซี่ยอีกแม้เพียงก้าวเดียว!” เว่ยจิ้นหลานได้ยินดังนั้นก็สบถออกมาด้วยความเหลืออด “บัดซบเถอะ!” เขายกมือขึ้นกอดอก ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา แม้จะไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดแต่ก็พอจับต้นชนปลายได้ เมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวราวสุนัขบ้าของบุรุษผู้นี้ก็เข้ใจได้ทันทีว่า เหตุใดอีกฝ่ายถึงหนีไปโดยไม่บอกไม่กล่าว “หากเป็นข้า…ข้าก็คงไม่กลับไป” เว่ยจิ้นหลานพึมพำพูด เซี่ยจวิ้นอี้ได้ยินก็พลันหันขวับมองตาขวาง ดวงตาคมกริบลึกล้ำวาววับด้วยโทสะ “เว่ยจิ้นหลาน! อย่าคิดว่าข้าจะตาบอดมองไม่เห็นว่าเจ้าและสตรีผู้นั้นลอบคบชู้ สวมหมวกเขียวให้ข้า!” คำกล่าวหานี้ทำให้เว่ยอ๋องขมวดคิ้วหนักยิ่งกว่าเดิม เขาสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มอารมณ์ ก่อนปรายตามองเหล่าคนงานในจวนแล้วเอ่ยเสียงขุ่น “ลากเขาออกไปซะ” พอสิ้นคำก็หมุนตัวเดินหนีไปทันที แม้ภายในอกเต็มไปด้วยความสงสัยและคับข้องใจ โง่งมสิ้นดี! เขากับนางสตรีผู้นั้นลอบคบชู้กันงั้นหรือ!? “ปล่อยข้า!” เซี่ยจวิ้นอี้ตวาดลั่น มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาคมกริบแข็งกร้าวดั่งเปลวเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาให้วอดวาย เหล่าชายฉกรรจ์ในจวนพอมองเห็นแล้วต่างหวาดกลัวถอยกรูดไปแทบจะสะดุดล้ม น้ำเสียงทุ้มต่ำกัดฟันกรอดลอดไรฟันออกมาอย่างเจ็บแค้น “นางคือภรรยาของข้า! หากข้ายังไม่หย่าขาด ต่อให้นางตายไปแล้วก็ยังเป็นภรรยาข้าอยู่ดี!” ถ้อยคำนั้นทำให้ฝีเท้าของเว่ยอ๋องหยุดชะงัก เขาหันกลับมามองช้าๆ คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยแววโทสะก่อนจะหัวเราะหยันอย่างไม่ใยดี “ช่างเถิด…อย่างไรตอนนางยังมีชีวิต นางก็อยู่กับข้า หากตายเมื่อใด เดี๋ยวข้าจะส่งศพคืนให้เจ้าเอง!” “เว่ยจิ้นหลาน!” เซี่ยจวิ้นอี้คำรามลั่น ฟันขบกรอดจนกรามขึ้นสัน “อย่าได้คิดว่าซ่อนนางไว้แล้วข้าจะหาไม่เจอ!” เว่ยจิ้นหลานได้ยินแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา หมดถ้อยคำจะพูด ไม่รู้ว่าเขามีสหายเป็นคนโง่ตั้งแต่เมื่อใดกัน มาถึงไม่พูดอันใดเอาแต่ถากถางและสาดถ้อยคำเหน็บแนมใส่ไม่หยุด….เหอะ! หากสตรีผู้นั้นหสีไปจริงก็หาได้อยู่ที่จวนเว่ยอ๋อง และต่อให้คนผู้นั้นตามหาก เกรงว่าตายไปแล้วหนึ่งชาติก็คงไม่มีทางหานางพบอีกแน่! ณ ชิงโจว สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดน ทว่ากลับเงียบสงบไร้ความวุ่นวายเฉกเช่นเมืองหลวงกง้างใหญ่ ผู้คนในเมืองชิงโจวต่างใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และไม่เพียงเท่านั้น ชิงโจวยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้นว่าเป็นมีสำนักศึกษาที่สามารถสร้างหมอเทวดาฝีมือดีจนโด่งดังมากมายได้รับการยกย่องมาหลายปี กว่าที่รถม้าของไป๋ซูหนิงจะมาถึงชิงโจก็ใช้เวลาเดินทางร่วมหลายวันหลายคืนกว่าจะเดินทางมาถึง นางทั้งรู้สึกเหนื่อยล้าและอิดโรยเต็มที ใบหน้าคนงามหมองคล้ำราวกับคนไม่ได้นอน อาจเป็นเพราะตลอดทางแทบไม่ได้หยุดพักราวกับว่าหากช้ากว่านี้แม้แต่เพียงก้าวเดียว...บุรุษผู้จะตามทัน! ทว่าจนปานนี้ ไม่รู้ว่าเซี่ยจวิ่นอี้จะรู้หรือไม่ว่านางหนีออกมา ไม่แน่ว่าเขาอาจะถูกความโกรธครอบงำและบังตากลายเป็นคนโง่งมตาบอดมองไม่เห็นสิ่งใด! เพียงแค่นึกถึงสีหน้าและอารมณ์ของเซี่ยจวิ้นอี้ยามรู้ว่านางหายตัวไป หัวใจของไป๋ซูหนิงก็สั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ลึกๆ แล้วนางยังคาดหวังว่า อย่างน้อยเขาคงจะห่วงใยนางอยู่บ้าง อย่างไรเสียก็เป็นคุ้นเคยที่รู้จักกันมาครึ่งชีวิต... ไป๋ซูหนิงคิดย้อนกลับไปแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย้ยตนเอง ตลกขมขื่นยิ่งกว่าน้ำตาไหล ทั้งที่นางต้องสิ้นใจตายเพราะบุรุษผู้นั้นแท้ๆ กลับยังมัวแต่ระลึกถึงเขาไม่หยุดราวคนโง่งม ไร้สติและสมองไม่ยอมตัดให้ขาดสะบั้นเสียที! นับตั้งแต่วันที่เขาพาสตรีอื่นเข้ามาในจวน ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาก็เริ่มสั่นคลอน เดิมทีเรื่องควรจบสิ้นไปตั้งแต่แรก เขาไม่เคยร้องขอให้นางอยู่ แต่กลับเป็นนางเองที่โง่งมเรียกร้องและรั้งไว้ไม่ยอมปล่อยเสียที เสียงล้อเกวียนเสียดสีกับหินขรุขระหยุดลง พลันเรียกสติของไป๋ซูหนิงให้กลับมา ไป๋ซูหนิงสูดลมหายใจลึก มือทั้งสองกำชายอาภรณ์แน่นเพื่อกดความประหม่าและความรู้สึกทั้งหมดลงไป ก่อนจะก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบถุงเงินใบใหญ่แล้วยื่นให้สารถีด้วยรอยยิ้มบาง “ค่ารถม้าของท่านเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานเอ่ย สารถีชะงักไป สายตาเหลือบมองสตรีตรงหน้า ก่อนก้มมองถุงเงินอย่างลังเล หาได้ยื่นมือมาไปรับทันที เขาพูดขึ้นอย่างเกรงใจ “แม่นาง...เกรงว่าเงินนี้คงจะมากเกินไปสำหรับค่ารถม้าของข้า” เขาหาได้มีนิสัยโลภมากหรือคิดเอาเปรียบสตรี ทว่าก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้นางนั่งติดรถมาฟรีเพียงรู้สึกว่าเงินนี่มันมากเกินสมควร “รับไว้เถิด” ไป๋ซูหนิงยกยิ้มเล็กน้อย พลางพยักหน้าเบาๆ “...” “ถือว่านี่เป็นน้ำใจจากข้า ที่ท่านอุตส่าห์พาข้ามาส่งถึงจวนอย่างปลอดภัย” น้ำเสียงหวานของนางแน่วแน่ หากคิดให้ดีนี่นับว่ายังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับบุรุษผู้นี้ที่ไม่ได้ทำอันใดหรือคิดที่จะลวงเกินสตรีตั้งครรภ์เช่นนางเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำสายตาแทะโลมหาได้ปรากฏให้เห็นไม่ ไป๋ซูหนิงเห็นว่าเป็นน้ำใจที่สมควรตอบแทน นางจึงยื่นถุงเงินใบใหญ่ออกไปให้ด้วยความตั้งใจ สารถีขับรถม้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยื่นมือออกไปรับด้วยความเกรงใจ เกรงว่าหากเขาไม่รับ อีกฝ่ายคงคะยั้นคะยอไม่หยุดอยู่ดี “ข้าเองก็มีภรรยาและบุตรสาวรออยู่ที่บ้าน” เขากล่าวเสียงหนัก “ไฉนเลยจะทำเรื่องโง่งม ไร้ยางอายทำร้ายสตรีอื่นได้ลงคอเล่า” ในใจเขาคิดอย่างจริงจัง ไม่ว่านางเป็นบุตรสาวของบ้านใด หรือเป็นภรรยาของผู้ใด ย่อมมีคนรักและห่วงใยนางอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาเองก็มีภรรยาและบุตรสาว หากมีผู้ใดไปทำร้ายขมเหงน้ำใจของคนทั้งคู่เขาเองก็คงรู้สึกย่ำแย่เจ็บปวดไม่น้อยแน่ แล้วไฉนเลยเขาจะกล้าทำเรื่อมต่ำทรามเหล่านนั้น! “ผู้ใดกัน กล้ามารังแกสตรีหน้าจวนข้า!” น้ำเสียงทุ้มเข้มขรึมดังขึ้นก้องจากด้านหลัง จนไป๋ซูหนิงกับสารถีผู้นั้นสะดุ้งโหยง ต่างหันขวับไปมองพร้อมกัน “หามิได้ขอรับ!” สารถีรีบโค้งศีรษะปฏิเสธเสียงลนลาน “ข้าเพียงแค่ขับรถม้าส่งคุณหนูผู้นี้เท่านั้น” พอสิ้นคำพูดก็ควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวจะถูกเข้าใจผิดอีก ไป๋ซูหนิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จนกระทั่งฝ่ามือหนาเอื้อมมาฉุดรั้งให้นางหลบ เกรงว่านางจะถูกรถม้าเฉี่ยวชนได้ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกะพริบปริบๆ อย่างอ้ำอึ้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนลมพัด “พี่รอง…” หัวคิ้วเข้มของไป๋จิ่นอวี่เลิกขึ้น สายตาคมกริบกวาดสำรวจร่างสตรีตรงหน้า พอเห็นชัดว่าเป็นใคร มุมปากหนาจึงกระตุกยกขึ้นทันที น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาไร้อารมณ์ “เหอะ! กลับจวนถูกทางเสียด้วยหรือ” ไป๋ซูหนิงพยักหน้าหงึกๆ “เจ้าค่ะ” นางตอบแผ่ว มืออีกข้างยกขึ้นลูบหน้าท้องอย่างเผลอไผล เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ในใจนางเจือทั้งความรู้สึกผิดและความละอายยิ่งนัก แม้ยามทีบิดาล้มป่วยกำลังใกล้สิ้นใจ พี่ชายยังอุตส่าห์นึกถึงไปตามถึงจวนสกุลเซี่ย แต่นางกลับเพียงบอกว่าวุ่นวายกับงานเลี้ยงต่างๆ หาได้สนใจเลยแม้แต่น้อย และกระทั่งวันที่มารดาเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไป๋ซูหนิงกลับไม่ได้อยู่ข้างกาย แต่กลับใช้เวลาเดินเที่ยวชมตลาดหาของฝากไปเอาใจสามีและผู้คนในจวนแทน นางช่างเป็นลูกอกตัญญูและหน้าด้านเสียจริง! ทว่ายามที่ลำบากไร้หนทาง นางไม่อาจหันหน้าไปพึ่งผู้ใดได้ นอกจากครอบครัวที่เคยทอดทิ้ง จึงกลับมาอย่างไร้ยางอายราวคนหน้าหนา เกรงว่าสิ่งที่นางกระทำไว้ในอดีต คงฝังลึกเป็นแผลร้าวในใจของเหล่าพี่ชายจนยากลบเลือน ที่ผ่านมาแต่เดิมก็ใช่ว่าจะสนิทสนมกันนัก เพราะนางเติบโตห่างไกลบ้านตั้งแต่วัยเยาว์ ความผูกพันจึงเลือนรางยิ่งกว่าสายหมอกแล้วยิ่งที่ผ่านมายังสร้างเรื่องไว้อีก ไป๋จิ่นอวี่หลุบสายตาลงต่ำ มองฝ่ามือของนางที่กุมหน้าท้องอย่างแผ่วเบา สายตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะเห็นความนูนชัดใต้ชั้นอาภรณ์ ใบหน้าเหล่าเคร่งขรึมขึ้นทันที เขาสูดลมหายใจลึกข่มโทสะที่แล่นพล่านไปทั่วอก น้ำเสียงทุ้มเย็นชาราวน้ำแข็งเอ่ยออกมา “วันนี้มิใช่วันครบรอบวันตายของบิดามารดา…ไม่ทราบว่าฮูหยินกลับมาที่นี่เพราะเรื่องอันใดหรือ” ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาคู่งามสั่นระริก นางไม่กล้าแม้แต่สบตาพี่ชาย ความกลัวก้อนโตแล่นขึ้นมาในอก ริมฝีปากที่ขยับอยากจะตอบแต่สุดท้ายกลับกลืนคำลงคอไปอย่างหงาดหวั่ร “…” “ฮูหยินไม่ได้ยินที่ข้าถามหรืออย่างไร” น้ำเสียงทุ้มของไป๋จิ่นอวี่ดังลั่นก้องไปอยู่หน้าจวน จนผู้คนที่อยู่รอบบริเวณพากันออกมามุงดู แม้แต่บ่าวไพร่ภายในจวนต่างก็รีบออกมาด้วยความสงสัย เดิมทีพวกเขาได้ยินว่าในวันนี้จะมีสินค้ามาให้ตรวจสอบที่จวนไป๋ แต่เมื่อออกมากลับเห็นเพียงสตรีผู้หนึ่งยืนตัวสั่นระริกอยู่กลางลานแทนที่จะมีเกวียนสินค้าดังที่ร่ำลือ “ผู้ใดกันหรือจิ่นอวี่” เสียงของไป๋อวี่เซวียนดังขึ้นจากข้างใน ก่อนที่ร่างสูงของเขาจะปรากฏพร้อมสายตาคมกริบที่หันมองเงาคุ้นเคย และพอได้เห็นใบหน้าของสตรีตรงหน้า เขาถึงกับกระพริบตาถี่ ๆ แล้วเบิกตากว้างราวเห็นผีกลางวันแสกๆ “ท่านแม่! ท่านตายไปแล้วมิใช่หรือ!” น้ำเสียงทุ้มอุทานเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ไป๋อวี่เซวียนรีบก้าวฉับๆ มาหยุดข้างกายไป๋จิ่นอวี่ สายตาคมกริบยังคงมองสตรีตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ “พี่เล็ก…” ไป๋ซูหนิงเอ่ยเสียงเบา พลางปรายตามองบุรุษที่เคยสนิทสนมในวัยเยาว์ “ไป๋ซูหนิงหรอกหรือ!” ไป๋อวี่เซวียนเอ่ยถามย้ำ หัวคิ้วเข้มยกขึ้นสูงด้วยความตกใจ เดิมทีเขากับน้องสาวผู้นี้สนิทสนมกันไม่น้อย แต่ตั้งแต่วันที่นางย้ายตามท่านย่าไปอยู่เมืองหลวง ความสัมพันธ์ก็ห่างเหินและไม่ได้พบหน้ากันอีก ไป๋ซูหนิงเพียงพยักหน้าหงึกๆ แล้วจู่ๆ ก็ทรุดกายลงคุกเข่า ยกมือขึ้นเหนือศีรษะคารวะโดยไม่สนสายตานับสิบคู่ที่จับจ้องมา ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยเสียงสั่น “ไป๋ซูหนิงขอคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ!” “เพ่ย! ทำเรื่องบ้าอันใดกันเล่า!” ไป๋อวี่เซวียนสบถออกมาเมื่อเห็นสายตาของชาวบ้านที่มองด้วยความแปลกประหลาด เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าคงไม่นานจะลามไปถึงคำครหาว่าสกุลไป๋รังแกสตรีอับจนแน่ “นี่น้องสาวข้า!” เขาประกาศเสียงดังฟังชัด “นางมิได้เป็นใครอื่น เพียงแต่หนีออกจากจวนไปหลายปี จนบัดนี้ถึงได้ซมซานกลับมาเท่านั้น!” ไป๋จิ่นอวี่กดน้ำเสียงต่ำ เย็นเยียบคล้ายคมมีด “มีเรื่องอันใดค่อยเข้าไปพูดในจวน” ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากแน่น น้ำเสียงหวานพึมพำพูดแผ่วเบา “บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว ก็เสมือนน้ำที่ถูกสาดทิ้ง ทว่ายามนี้ข้าหย่าขาดสามีแล้ว ไร้บ้านให้กลับ ไร้ผู้ใดให้พึ่งพิง ไม่รู้ว่าจวนสกุลไป๋จะรังเกียจตักน้ำบ่อหน้าที่สาดทิ้งกลับคืนได้หรือไม่”เซี่ยจวิ้นอี้เจอกับไป๋ซูหนิงครั้งแรก เมื่อตอนที่อีกฝ่ายยังอายุเพียงแค่เจ็ดขวบเท่านั้นส่วนเขาเพิ่งมีอายุสิบห้าปีเต็ม ผู้ใดจะคาดคิดว่ามีวาสนาได้พบพานแล้วยังมีวาสนาได้ครองคู่อีก เด็กสาวที่เอ็นดูในวันวานกลับกลายเป็นภรรยาที่ร่วมกราบไหว้ฟ้าดินในวันนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าฐานะพี่ชายหรือสามี…เซี่ยจวิ่นอี้ล้วนถนุถนอมทะนุถนอมไป๋ซูหนิงราวกับไข่ในหิน ไม่เคยทำให้นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ทว่ายามนี้กลับเป็นเขาที่ถูกหักหลังและทรยศอย่างไม่น่าให้อภัย!ภายในอกของเซี่ยจวิ้นอี้คับแน่นเต็มไปด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านจนคล้ายจะปะทุออกมา มุมปากหนากระตุกยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือก เขาแค่นเสียงฮึดฮัดต่ำในลำคอ สายตาคมกริบตวัดจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว“หึ! ไม่คาดคิดเลยว่า เว่ยอ๋องจะมีนิสัยชอบแอบลักลอบกินของหลังจวนผู้อื่นเช่นนี้!”คิ้วของเว่ยอ๋องขมวดแน่นเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงไม่กระจ่างแจ้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างขุ่นเคือง “นายท่านเซี่ย โปรดระวังคำพูดด้วย”เว่ยจิ้นหลานไม่เข้าใจนักว่าบุรุษผู้นี้เกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมา จู่ๆ ถึงได้บุกเข้าจวนเว่ยอ๋องบุ่มบ่ามตามหาภรรยา ทั้งยังมีท่าทีโกรธเกรี้ยวประหนึ่งหากม
หลายปีก่อน ตั้งแต่จำความได้ นางก็เอ่ยปากเรียกบุรุษผู้นั้นว่าท่านพี่มาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งก้าวเข้าสู่จวนสกุลเซี่ยในฐานะภรรยาของเซี่ยจวิ้นอี้ ความคุ้นชินนั้นก็ยังไม่เคยเลือนหายไปความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาในฐานะสามีภรรยา ไม่เคยมีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นหรือบางทีอาจเป็นเพียงความเคยชินที่รู้นิสัยใจคอมานานหาได้มีเรื่องอันใดต้องปรับตัวเข้าหากันไป๋ซูหนิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสกุลไป๋ ทว่าไม่ใช่บุตรเพียงคนเดียวของนายท่านไป๋และไป๋ฮูหยินนางยังมีพี่ชายร่วมสายเลือดอีกสามคนในยามนั้นกิจการค้าของสกุลไป๋กำลังเฟื่องฟูยิ่งนัก ทั้งบิดา มารดาและเหล่าพี่ชายต่างเดินทางค้าขายไปต่างแคว้นอยู่บ่อยครั้ง นางจึงถูกส่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงกับท่านย่า เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่านางเป็นสตรีและยังเด็กเกินไปไม่สมควรเดินทางไกลนับตั้งแต่ตอนนั้นนางจึงต้องห่างเหิมกับครอบครัวบางทีเรื่องราวทั้งหมดคงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น…ตั้งแต่วันที่นางย้ายมาอยู่กับท่านย่า และได้ผูกชะตาชีวิตกับบุรุษผู้นี้อย่างแน่นหนาเกินกว่าจะคลายออกได้ท่านย่าของนางเป็นภรรยาของขุนนางผู้เคยทรงอำนาจในวังหลวง มีทายาทเพียงสองคนคือบิดาของนางและท่านลุง แต่
อากาศช่วงนี้แปรปรวนเสียจริง กลางวันแดดออกแต่พอตกกลางคืนกลับมืดครึ้ม ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนไม่ทันตั้งตัวเปรี้ยง!เสียงฟ้าคำรามดังก้องฟาดลงกลางลานจวนสกุลเซียวราวกับมีว่าผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ไป๋ซูหนิงสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ลมหายใจหอบถี่จนหน้าอกกระเพื่อมสั่นไหว กรอบใบหน้าคนงามเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ผุดพราย ริมฝีปากแห้งเหือดคล้ายปลาขาดน้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนี่คือเรือนของนางมิใช่หรือ…?แต่เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่เมื่อคืนสมควรต้องตายอย่างอนาถอยู่กลางลานจวนแล้วมิใช่หรือ!ความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกพลันกัดกร่อนลึกถึงกระดูก ความร้อนผ่าวของยาพิษรสเฝื่อนที่ไหลลงคอ ความเจ็บปวดหน่วงในหน้าท้อง…ความรู้สึกเหล่านั้นช่างสมจริงราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่แต่พอนางลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้นหรือ?ไป๋ซูหนิงหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะผ่อนออกยาวราวกับระบายความคิดและความหวาดกลัวที่เอ่อท่วมอกเรือนผมงามที่ปรกกรอบใบหน้ายังคงชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ นางลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยกมือที่สั่นเครือด้วยความ
วันนี้ฝนตกหนักตลอดทั้งวันไร้วี่แววว่าจะหยุดลงราวกับว่าพายุห่าใหญ่พัดผ่านมาไม่สิ้นสุด เสียงท้องฟ้าคำรามดังกึกก้องสั่น สะเทือนสะท้อนไปทั่วราวกับสวรรค์กำลังโกรธเกรี้ยวณ จวนเซี่ย ผู้คนทั้งจวนแทนที่จะยืนหลบฝนแต่กลับกางร่มท่ามกลางสายฝนที่สาดกระหน่ำลงมาไม่หยุด บางคนถึงกับตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บจากละอองฝนแต่ไม่ลดละจากไป สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังร่างของสตรีชุดขาวผู้หนึ่งที่คุกเข่าอยู่หน้าห้องบรรพชนมานานหลายชั่วยาม ไร้วี่แววจะลุกหรือหาที่หลบฝน“…”อาภรณ์ของนางเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ใบหน้าคนงามซีดเซียว ริมฝีปากบางที่เคยอวบอิ่มกลับซีดสลดจนคล้ำคล้ำจางๆ“พี่หญิงก็ยอมรับมาเถอะเจ้าค่ะ ว่าท่านสวมหมวกเขียวให้ท่านพี่จริงๆ ความสัมพันธ์ของท่านกับเว่ยอ๋องลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นสหายสนิท!” น้ำเสียงหวานตะโกนดังลั่นแข่งกับเสียงฝนสาดกล่าวออกมาอย่างเหน็บแนมไร้ซึ่งความเห็นใจ“ไฉนเลยบุรุษและสตรีจะเป็นเพียงสหายกันได้”เหม่ยจินฮวายืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคา เยื้องจากห้องบรรพชนเล็กน้อย สายตาของนางทอดมองสตรีตรงหน้าด้วยความสมเพชฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด ขัดกับน้ำเสียงอ่อนหวานราวกับเห็นใตเมื่อครู่…ร่างที่ตากฝนมาหลายชั่วยาม หาก