.
.
“รอดไปได้อีกแล้วหรือ พวกเจ้าทำงานกันอย่างไร เพียงแค่สตรีผู้หนึ่งยังจัดการมิได้”
“ขออภัยขอรับนายท่าน ท่านอ๋องวางคนคุ้มกันพระชายาแน่นหนา คนของเราที่แฝงตัวไปกับนักฆ่าล้วนตายตกไปตามกันขอรับ”
“อย่างไรเสียก็ต้องทำให้เหล่าทหารแครงใจกับเฟยเทียนให้ได้ และวิธีเดียวคือฆ่าจางเจียวซิน อย่างน้อยก็ทำให้จางซีห่าวแตกคอกับเฟยเทียน”
“ใช้คนของเราที่อยู่ในจวนอ๋องดีหรือไม่ขอรับ”
“อืม หากจนหนทางจริงค่อยใช้วิธีนั้น ข้ายังมิอยากเสียคนในนั้นไป” มือหนาหมุนแหวนหยกบนนิ้วอย่างใช้ความคิด
.
.
เจียวซินเมื่อกลับถึงตำหนักก็โล่งใจที่ไม่ถูกทำโทษ หนิงเออร์และ นางกำนัลช่วยกันชำระกายให้ผู้เป็นนายจนแล้วเสร็จ เจียวซินจึงได้เข้านอน แต่นอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ข่มตานอนก็แล้ว นับแกะก็แล้ว เจียนซินจึงตัดสินใจลุกออกไปเดินเล่น
“เห้อ~ กว่าจะออกมาได้” เจียวซินถอนหายใจ เพราะกว่าจะผ่านหนิงเออร์และนางกำนัลที่นอนเฝ้าออกมาได้ก็แทบแย่ นางเดินเตร็ดเตร่ไปจนถึงศาลาริมน้ำหลังเดิม แต่ทว่า
“โอ๊ะ…!!!” เจียวซินชะงักงันเมื่อเห็นว่าในศาลามีคนอยู่ และไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นท่านอ๋องของจวนแห่งนี้กับอนุถัง อนุคนโปรดของเขา
“ขอประทานอภัยเพคะ” เจียวซินรีบเอ่ยขออภัยแล้วหมุนตัวกลับ
“ช้าก่อน เจียวซิน!” เฟยเทียนที่เห็นว่าเจียวซินกำลังจะหมุนตัวกลับจึงเรียกไว้
“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” อนุถังขอตัวลากลับตำหนัก นางค่อมกายผ่านเจียวซินไป เจียวซินจึงเดินเข้าไปในศาลา
“มิใช่อย่างที่เจ้าคิด” เฟยเทียนเอ่ยดักทางไว้ เข้ารู้แน่ชัดแล้วว่าในหัวน้อยๆ ของนางคิดสิ่งใดได้บ้าง เขาจะไม่ปล่อยให้นางคิดเพ้อเจ้อเป็นแน่
“คิดสิ่งใดเพคะ…อ่อ คิดว่าท่านอ๋องและอนุถังแอบมาพรอดรักกันที่ศาลาริมน้ำน่ะหรือเพคะ”
“เจ้า!!!” เห็นหรือไม่เล่าว่าในหัวนางมีแต่เรื่องมิเป็นเรื่อง
“แล้วมิใช่หรือเพคะ” น่าสงสารเจียวซินคนเก่าเสียจริง คนที่รักแอบมาพรอดรักกับสตรีอื่นในที่ที่นางตายเช่นนี้ คงจะเจ็บปวดน่าดู
“มิใช่…ช่างเถิด แล้วเจ้าออกจากตำหนักกลางดึกเช่นนี้ได้อย่างไร” เฟยเทียนเอ่ยปัดแล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง
“หม่อมฉันนอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่นเพคะ…หัวของท่าน” เจียวซินเอ่ยตอบพลางเลื่อนสายตาไปมองหัวท่านอ๋องที่ปูดบวม
“หึ ฝีมือเจ้าอย่างไรเล่า”
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันตั้งใจปาใส่ศัตรูต่างหาก”
“มิเป็นไร”
“ท่านได้ประคบเย็นแล้วหรือยังเพคะ”
“ประคบเย็นอันใด ลูกประคบที่ใดๆ ก็ร้อนทั้งนั้น”
“ผิดแล้วเพคะ ภายในหนึ่งวันจะต้องประคบเย็นก่อน หลังจากนั่นจึงประคบร้อน ทำเช่นนี้ถึงจะหายเร็วเพคะ” เจียวซินอธิบายให้เฟยเทียนฟังอย่างคล่องแคล่ว ในโลกเดิมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นสิ่งที่นางต้องรู้เพื่อดูแลนักเรียน เจียวซินกล่าวเสร็จก็นำผ้าเช็ดหน้าของตน ลงไปแช่น้ำในสระ
“เจ้าทำอันใด” เฟยเทียนที่ตกใจกลัวว่าเจียงซินจะตกลงไปอีกรีบคว้าแขนของนางเอาไว้
“มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันเพียงจะแช่ผ้าเช็ดหน้าเท่านั้น”
“เอามือขึ้นมา น้ำในสระมันเย็นจะกัดผิวของเจ้าได้”
“เดี๋ยวเพคะ…อ่า น่าจะได้แล้ว” เจียวซินนำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบิดหมาดๆ ให้หลงเหลือความเย็นอยู่บ้าง
“ขอประทานอภัยนะเพคะ” เจียวซินคุกเข่าลงต่อหน้าเฟยเทียนแล้วค่อยใช้มือเกลี่ยผมบริเวณที่ปูดบวม อีกมือนำผ้ามาแปะไว้ที่แผลเบา ค้างไว้ไม่นานก็ นำออก พลิกเอาด้านที่เย็นแปะประคบลงไปอีก ทำเช่นนี้อยูหลายครั้ง เจียวซิน ตั้งใจประคบโดยมิรู้เลยว่าบัดนี้ตนยื่นใบหน้าอันงดงามเข้าไปใกล้ท่านอ๋องมากเพียงใด เฟยเทียนนั่งนิ่งพิจารณาใบหน้าของชายาตนเอง ดวงตากลม จมูกโด่งเป็นสัน ปากเล็กดูอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ เขามิเคยมองว่านางงดงามมากถึงเพียงนี้มาก่อน ยิ่งแววตาที่แสดงความห่วงใยของนางที่ส่งมาให้เขายิ่งงดงาม เมื่อก่อนนางมิเคยมองเขาด้วยแววตาเช่นนี้ มีแต่แววตาที่ติดจะรำคาญเสียมากกว่า เฟยเทียนยังคงสงสัยว่าเหตุใดเมื่อก่อนคนทั่วทั้งเมืองจึงเล่าลือว่านางแอบรับเขา
“ท่านอ๋องต้องทำเช่นนี้บ่อยๆ นะเพคะ” ปากเล็กขยับพูดขมุบขมิบ จนเฟยเทียนแทบทนไม่ไหวอยากประทับปากของตนลงบนปากเล็กนั่น
“หากต้องทำบ่อยๆ เจ้าก็ต้องเป็นคนทำให้ข้า”
“ได้อย่างไรกันเพคะ อีกเดี๋ยวหม่อมฉันก็จะกลับตำหนักแล้ว” เจียวซินพูดไปพลางประคบไป
“เช่นนั้นก็…”
“ว๊ายยยย…ท่านอ๋องทำอันใดเพคะ” เจียวชินร้องออกมาด้วยความตกใจที่จู่ๆ ท่านอ๋องก็อุ้มตัวนางขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิง ด้วยความที่กลัวจะตกลงไปมือเล็กจึงโอบรัดรอบลำคอแกร่งของท่านอ๋องทันที
“จะพาเจ้าไปตำหนักอย่างไร แต่…เป็นตำหนักข้านะ” ว่าแล้วเฟยเทียนอุ้มเจียวซินเดินตรงไปที่ตำหนัก
“เดี๋ยวก่อนเพคะ เดี๋ยวก่อน หม่อมฉันมิไป ท่านอ๋องจะทำอันใดเพคะ” เจียวซินโวยวาย ในหัวเล็กๆ จินตนาการไปไกล
หรือว่าท่านอ๋องจะ จะ จะให้ข้าขึ้นเตียงกับเขา ไม่นะ ข้าไม่ยอม!!! แล้ว แล้วเขาจะบังคับข้าอย่างในละครหลังข่าวหรือ กรี๊ดดดดดดดด
“ยึ้ย! นี่มันอันใดกัน! ใครถ่ายหนักแล้วเอามาเช็ดตรงนี้ แหวะ!” ไฉ่หงรีบเช็ดมือเข้ากับบานประตูแล้วรีบออกมาทันที เพราะกลัวว่าจะมีผู้ใช้ห้องสุขาต่อและคิดว่าตนเองเป็นคนทำ แต่ทว่าเด็กน้อยมิทันได้ระวังจึงเหยียบเข้ากับน้ำมะม่วงที่สองแฝดเทเอาไว้จนรองเท้าหรูเปรอะเปื้อนไปหมด“อ่าว! ไฉ่หงอยู่นี่เอง ข้าอยากขอโทษที่ต่อว่าเจ้าเมื่อวันก่อน ยกโทษให้ข้านะ” ซินอี๋ทำทีว่าบังเอิญเจอไฉ่หงที่หน้าห้องสุขา เขาแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับว่าเรื่องวันก่อนเขาได้ทำผิดไป“อะ เอ่อ ข้ายกโทษให้ แต่เจ้าอย่าได้มาขึ้นเสียงกับข้าอีกเล่า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หึ!”“ขอบใจเจ้ามากนะไฉ่หง น้องข้าก็เอาแต่ใจเช่นนี้ มิได้ความเสียจริง” หย่งเล่อที่จู่ก็โผล่มาเกาะไหล่ไฉ่หงจากด้านหลัง มือเล็กของหย่งเล่อลูบไปทั่วแผ่นหลังและบั้นท้ายของไฉ่หง“อืม ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็สั่งสอนน้องเจ้าให้ดีด้วยเล่า” ว่าแล้วไฉ่หงก็เดินกลับเข้าห้องเรียนของตนทันทีหย่งเล่อและซินอี๋ที่มองไฉ่หงจากด้านหลังก็ยิ้มกริ่มพอใจกับผลงานตนเอง เพราะอาภรณ์ด้านหลังของไฉ่หงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมะม่วงสุกที่หย่งเล่อลงทุนใช้มือตนเองป้ายลงไป“ข้าว่าเจ้าไปล้างมือก่อนเถิด ข้าเหม
“หย่งเล่อเจ้าว่าน้องของเราจะเป็นหญิงหยือชาย” ซินอี๋และหย่งเล่อกำลัง ยืนเกาะขอบประตูห้องทำคลอด ที่บัดนี้ด้านในกำลังทำคลอดให้มารดาของพวกเขาอยู่หลังจากที่บิดาของพวกเขาให้คำมั่นว่าจะมีน้องชายน้องสาวมาให้พวกเขาเลี้ยงมานานนับหลายปีจนตอนนี้พวกเขาอายุได้สี่หนาวย่างเข้าห้าหนาวแล้วมารดาพวกเขาถึงได้ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด มิเหมือนกับท่านลุงซีห่าวกับท่านน้าเฟยเฟิ่งที่บัดนี้มีทั้งน้องชายวัยสองหนาว ทั้งท่านน้าเฟยเฟิ่งยังตั้งครรภ์ได้กว่าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ช่างเถิด อย่างไรเสด็จพ่อก็ทำตามสัญญาแม้จะช้าไปหลายปีก็เถอะนะ…“ไม่รู้” หย่งเล่อจดจ้องอยู่ที่ประตูตาไม่กระพริบ เด็กน้อยกำลังกังวลว่าเสด็จแม่และน้องจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ปากเล็กก็ยังเอ่ยตอบน้องชาย“แล้วเจ้าว่าน้องจะหน้าตาเหมือนผู้ใด เสด็จพ่อหยือเสด็จแม่”“ไม่รู้”“แต่ข้าว่าให้น้องเหมือนข้าน่าจะเข้าท่า เพราะข้าเป็นชายหนุ่มที่หย่อเหยาที่สุดในแคว้นเฉินแห่งนี้” ซินอี๋ใช้มือเล็กๆ ลูบคางของตนเองไปมา ดึงท่าทีคล้ายต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองนั้นหล่อเหลาเพียงใด สองแฝดคู่นี้แม้หน้าตา จะเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่ทว่านิสัยใจคอกลับแตกต่างกับลิบลับ คนหนึ่งนิ่งข
“อ๊ะ อื้ออออ”จุ๊บ! จ๊วบ! ปากหนาเลื่อนไปครอบยอดถันสีแดงก่ำ ทั้งไล่เลีย ทั้งดูดดึงดั่งทารกที่หิวโหย เฟยเฟิ่งที่พึ่งเคยถูกสัมผัสที่ลึกซึ้งถึงกับตัวอ่อนระทวย ปล่อยให้ร่างหนารุกเร้าอยู่อย่างนั้น ปากบางถูกเจ้าของขบกัดจนแดงก่ำ สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายอันกำยำของสามีอย่างหลงไหล“ทะ ท่านพี่ ของ ของท่านมัน-” ร่างกายเปลือยเปล่าบดเบียดแนบชิดกันจนเฟยเฟิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของนางอยู่“อะฮึ่ม! มันคงอยากมาเล่นกับเจ้ากระมัง มาเถิด ทำให้พี่ดูว่าที่เจ้าเล่าเรียนมานั้นจะใช้ได้จริงหรือไม่” ซีห่าวผละกายออกจากเฟยเฟิ่งพลางถอยไปพิงอ่าง สองแขนแกร่งยกขึ้นพาดขอบอ่างดั่งคุณชายเจ้าสำราญที่รอรับการปรนนิบัติ เฟยเฟิ่งที่ถูกทวงถามก็รีบเค้นบทเรียนที่เล่าเรียนมาปรนนิบัติให้สามีประทับใจ“อึก! ของท่านดูเหมือนจะใหญ่กว่าแท่งหยกที่เสด็จแม่นำมาสอน” เฟยเฟิ่งเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะแท่งทวนของสามีที่อยู่ใต้น้ำ มือบางชักรูดเบาๆ พลางวนนิ้วโป้งบนปลายหยัก“อืมมมม ดี มือเจ้านุ่มเหลือเกิน ซี๊ดดด” ซีห่าวแหงนหน้าสูดลมเข้าปากด้วยความเสียวซ่าน เฟยเฟิ่งเห็นท่าทีของสามีก็ได้ใจรีบรูดรั้งแท่งทวนช้าบ้างเร็วบ้างหวังให้สา
“เป็นอย่างไรบ้าง มาให้แม่ดูเสียหน่อยว่าเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮองเฮาหลี่เดินเข้ามาจัดชุดพิธีการสีแดงปักดิ้นทองที่เฟยเฟิ่งใส่อยู่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น มือบางลูบไล้จัดแต่งเรือนผมของบุตรีพลางย้อนนึกถึงตอนที่เฟยเฟิ่งยังเป็นเด็กซุกซนวิ่งเล่นอยู่ในตำหนัก แต่มาบัดนี้เด็กน้อยแสนซนผู้นั้นกำลังจะได้ตบแต่งออกไปมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว“ลูกงดงามหรือไม่เพคะ” เฟยเฟิ่งที่เห็นว่ามารดานิ่งเงียบไป จึงเอ่ยถามขึ้น“งดงาม แต่คงมิเท่าแม่ หึๆ”“โถ่! วันนี้เป็นวันสมรสของลูก เสด็จแม่จะมิยอมให้ลูกงดงามที่สุดบ้างเลยหรือเพคะ”“ฮ่าๆ ได้ๆ วันนี้แม่ให้เจ้างดงามที่สุด…เฟิ่งเออร์ แม้ตบแต่งออกไปแล้วแต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรของแม่และเสด็จพ่อ หากว่าซีห่าวทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจขอเพียงเข้าบอกแม่ แม่จะให้เสด็จพ่อจัดการกับเขาเอง” ฮองเฮาหลี่อดเป็นห่วงบุตรีของตนมิได้ ด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาเฟยเฟิ่งมิเคยห่างจากอกบิดามารดาเลยสักครา“หึ อย่างซีห่าวนะหรือจะทำให้เฟิ่งเออร์เจ็บซ้ำน้ำใจ คงจะมีแต่คนของเรามากกว่าที่จะทำให้เขาปวดหัว” ฮ่องเต้เฟยหลงที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยเย้าบุตรของตน“โถ่ เสด็จพ่อละก็ ลูกมิได้ซุกซนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย อีก
“อืม…แค่กๆ” เฟยฉีรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ตาคมมองไปรอบๆ ก็พบว่าตะเกียงในห้องของเขาถูกจุดสว่างไสว ความทรงจำสุดท้ายคือเขารู้สึกตาพร่ามัว ทั้งยังเจ็บปวดไปทุกส่วน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป“องค์รัชทายาท ได้สติแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเยว่ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงได้ ไม่นานก็ได้เสียงไอของคนบนเตียงเขาจึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา จิเยว่รีบเดินไปรินน้ำอุ่นมาให้เฟยฉีทันที ร่างบางพยายามประคองร่างสูงให้ดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยการขับพิษในครั้งนี้เฟยฉีเสียเลือดไปมาก“แค่กๆ จินเยว่” ปากหนาเอ่ยเรียกคนรักด้วยเสียงออดอ้อน ยังดีที่เฟยเทียนสั่งให้นางกำนัลเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทม ภายในห้องจึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น“พ่ะย่ะค่ะ”“จินเยว่”“อึก! พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมีสิ่งใดจะรับสั่งกับกระหม่อมหรือ” ดวงใจน้อยๆ ของจินเยว่ถึงกับกระตุกเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของคนรัก“เยว่เยว่ เยว่เยว่”“ว่าอย่างไร”“ข้าเจ็บไปทั้งตัวเลย ฮึก! ใจข้าก็เจ็บ” ร่างสูงโถมกายเข้าซุกซบกับอกของ จินเยว่จนล้มหงายหลัง“ชะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปนำยามาให้ องค์รัชทายาทปล่อยกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ หากข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็จะหนีไป”“กระห
"ซี๊ดดดดด ตัวเล็กกระจิดริดเหตุใดจึงกัดเจ็บถึงเพียงนี้นะ”จินเยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหู ใบหน้าแสนน่ารักหันไปหันมาเพื่อสำรวจหาต้นเสียง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยินสุดท้ายก็พบเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังก้มๆ เงยๆ ล้างเลือดออกจากแผลบนมือ จินเยว่ขมวดคิ้วแน่นคิดไม่ตกว่าควรเข้าไปช่วยดีหรือไม่ หากเข้าไปช่วยจะเกิดเหตุการณ์ดังเช่นครั้งก่อนหรือไม่“เจ็บๆ หากรู้ว่ากัดเจ็บถึงเพียงนี้ อย่าหวังว่าข้าจะช่วย ข้าจะปล่อยเจ้าแห้งตายอยู่ในกับดักโง่ๆ นั่น ฮึ่ย!” เสียงบ่นกับตนเองของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นทำให้จินเยว่อดยิ้มขำออกมามิได้ หากให้เขาคาดเดาชายหนุ่มผู้นี้คงจะช่วยสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักแต่ดันถูกสัตว์ตัวนั้นกัดมาเป็นแน่จึงได้มานั่งบ่นอยู่เช่นนี้น่าสงสารเสียจริง…“คิกๆ” จินเยว่หยุดหัวเราะออกมาโดยมิรู้ตัว“ใครน่ะ” แย่แน่แล้ว!!! จินเยว่รีบหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ร่างบางตัวสั่นเทา ใจหนึ่งก็นึกกลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารชายหนุ่มผู้นั้นมิได้ หากชายหนุ่มถูกสัตว์มีพิษกัดเข้าเล่าจะทำเช่นไร“ข้าถามว่าใคร ออกมา! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามาร้าย” จินเยว่ได้ยินเสียงเข้มเอ่ยดังนั้นจ