“หยุดความคิดของเจ้าเสีย ข้าเพียงจะให้เจ้าไปประคบเย็นให้ข้าเท่านั้น”
“หม่อมฉันมิได้คิดอันใดเพคะ” เจียวซินเบือนหน้าหนีสายตาคมเพราะอับอายที่ถูกจับได้
“หึ อย่างเจ้าคงคิดไปถึงว่าข้าจะบังคับให้เจ้าเสพสังวาสด้วยแล้วกระมัง” เฟยเทียนกล่าวคาดเดาออกไป
“นี่ นี่ท่านมีวิชาอ่านใจคนหรืออย่างไร” เจียวซินอึ้งกับคำพูดของเฟยเทียน ไม่น้อย
“หึ หากเจ้าคิดได้ว่าข้าจะนำเจ้ามาเป็นนางบำเรอ เรื่องนี้เจ้าก็คงคิดได้ไม่ยาก” เฟยเทียนยิ้มขำกับท่าทางกระเง้ากระงอดของเจียวซิน
“ชิ ข้าเพียงผิดพลาดเล็กน้อย ท่านถึงกับเก็บคำพูดข้ามาใส่ใจถึงเพียงนี้เลยหรือ” ไม่ทันได้ตอบกลับ เฟยเทียนกับเจียวซินก็มาถึงตำหนักของเฟยเทียน ขันทีจิ้นหนานเห็นผู้เป็นนายมากับพระชายา จำรีบเข้าไปต้อนรับ
“ยังมิเข้านอนหรือจิ้นหนาน” เฟยเทียนเอ่ยถามขันทีคนสนิท
“นายมินอน ข้ารับใช้จะนอนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หนิงเออร์ของข้าหลับเป็นตาย มิรู้ด้วยซ้ำว่าข้าแอบออกมา คิกๆ” เจียวซินพูดถึงคนสนิทที่บัดนี้คงนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ที่ตำหนัก ขันทีจิ้นหนานยิ้มขำกับคำพูดของเจียวซิน
พระชายาช่างซุกซนเสียจริง
“หึ เจ้ามันดื้อ แอบย่องมากลางดึกเช่นนี้มันอันตราย” เจียวซินเงียบปากลงเพราะเถียงไม่ได้ ก็มันเป็นความจริงทั้งนั้น
“ท่านอ๋องจะให้กระหม่อมเตรียมของสำหรับเข้า-” ขันทีจิ้นหนานยังพูด ไม่จบเฟยเทียนก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นมา
“มิต้อง ยังมิใช่คืนนี้” พูดจบเฟยเทียนก็พาเจียวซินเข้าห้องทันที โดยไม่ลืมเอ่ยขอน้ำเย็นมาแช่ผ้าประคบหัวที่ปูดบวมของเขา
“ถอดเสื้อนอกออกเสีย”
“เพคะ?”
“จะได้นอนสบาย นอนทั้งอย่างนี้คงอึดอัดเป็นแน่”
“อ่อ เพคะ” เจียวซินและเฟยเทียนปลดเสื้อผ้าชั้นนอกและนำไปแขวนไว้ เฟยเทียนก็ขึ้นไปนอนรอบนเตียง
“ขึ้นมาเสียที” เฟยเทียนนอนเอามือประสานไว้ที่หน้าท้อง รอให้เจียวซินขึ้นมาประคบให้
“เพคะ เพคะ” เจียวซินขึ้นไปนั่งบนเตียง ไม่ลืมเอาผ้าแช่น้ำแล้วบิดหมาดๆ มาประคบให้ท่านอ๋อง
“นอนลงมา ประคบไปด้วยนอนไปด้วย”
“เพคะ เพคะ” เอาแต่ใจเสียจริง เจียวซินที่ขี้เกียจเถียงนอนตะแคงหันหน้าไปทางท่านอ๋อง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ท่านอ๋องตะแคงเข้าหาเจียวซินเช่นกัน ด้วยระยะห่างที่ใกล้และสถานที่ในตอนนี้ทำเอาเจียวซินขัดเขินอยู่ไม่น้อย แต่มือก็ยังทำการประคบต่อไป
“ท่านอ๋องเพคะ”
“หืม ว่าอย่างไร”
“หม่อมฉันอยากเรียนวิชาต่อสู้ไว้ป้องกันตัวได้หรือไม่เพคะ”
“เพราะเหตุการณ์วันนี้หรือจึงอยากเรียน”
“ก็ส่วนหนึ่งเพคะ หม่อมฉันคิดว่าคงหลีกหนีเหตุการณ์เช่นนี้ไม่พ้น อีกอย่าง…คนร้ายในวันนี้พุ่งเป้ามาที่หม่อมฉันเป็นแน่” เจียวซินมิรู้ว่า เจียวซินคนก่อนได้ไปสร้างศัตรูไว้ที่ใดบ้าง จึงมิรู้ว่าคนร้ายเป็นพวกใด
“อืม เรียนรู้ไว้ย่อมดี แต่เจ้าแรงน้อยเช่นนี้คง…โอ๊ย!!!” เฟยเทียนร้องออกมาเสียงดัง เมื่อเจียวซินออกแรงกดหัวที่ปูดบวมของเขา
“เป็นอย่างไรเพคะ หม่อมฉันแรงเยอะขึ้นมาหรือไม่เพคะ”
“เจ้านี่มัน ฮึ่ม”
“คิก หม่อมฉันพอจะเตะต่อยได้เพคะ ไม่สิ! ได้ดีเลยทีเดียว”
“ได้ ไว้ข้าจะทดสอบเจ้าดูเสียหน่อย”
“ได้เพคะ” เจียวซินตอบกลับเพียงเท่านั้นก็หันไปสนใจการประคบเย็นให้ท่านอ๋องต่อ ไม่นานทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
หนิงเออร์ที่ตื่นขึ้นมาในปลายยามอิ๋นก็รีบร้อนเข้าไปปลุกผู้เป็นนาย แต่กลับต้องตกใจที่บนเตียงนอนมิมีผู้ใดอยู่ นางรีบร้องเรียกหาผู้เป็นนาย แต่ภายในตำหนักกลับไม่พบเลยแม้แต่เงา สตินางจึงเริ่มหดหาย ร้องไห้โวยวายรีบพาขันทีและนางกำนัลออกตามหาจนทั่วก็ไม่พบ นางจึงตัดสินใจไปเรียนท่านอ๋องทั้งน้ำตา เมื่อถึงตำหนักใหญ่จึงพบเข้าขันทีจิ้นหนานที่กำลังเตรียมอ่างอาบน้ำ
“ท่านขันทีจิ้นหนานเจ้าคะ พระชายา พระชายาของข้าหายไปเจ้าค่ะ ขอท่านแจ้งแก่ท่านอ๋องด้วยเถิดจ้าวค่ะ ฮึกๆ” หนิงเออร์และนางกำนัลต่างร้อนใจยิ่งนัก พระชายาหายไปทั้งที่พวกนางนอนเฝ้าหน้าห้องเช่นนี้ มิแคล้วถูกลักพาตัวไปเป็นแน่ ยิ่งผ่านสถานการณ์เลวร้ายเมื่อตอนค่ำมาพวกนางคิดได้เพียงแต่เรื่องเดียวเท่านั้น
“อ่อ หากเป็นพระชายามิต้องห่วงไป พระชายาทรง-”
“จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไรเจ้าคะ นายข้าทั้งคน ถึงท่านอ๋องจะไม่โปรดพระชายาของหม่อมฉัน แต่อย่างไรก็เป็นชายา จะมิดูดำดูดีหน่อยเลยหรือ” หนิงเออร์โกรธจนเลือดขึ้นหน้าที่ขันทีจิ้นหนานมิห่วงใยพระชายาของนางแม้แต่น้อย
“นั่นสิเจ้าคะท่านขันที ขอท่านช่วยนำความไปบอกท่านอ๋องทีเถิด ข้าเกรงว่าพระชายาอาจจะถูกลักพาตัวไปก็เป็นได้นะเจ้าคะ” นางกำนัลชีชีและซวนซวน ช่วยเอ่ยสำทับ เมื่อวานพระชายาไม่ทิ้งพวกนางแล้วหนีไป มาวันนี้จะให้พวกนางทิ้งพระชายาได้อย่างไร
โปก! โปก! โปก! ขันทีจิ้นหนานทนมิไหวจึงใช้ขันน้ำเคาะหัวพวกนางทั้งสามคนไปคนละที
“ฟังข้า ที่ข้าบอกมิต้องห่วงคือพระชายามิได้หายไปจากจวนแต่พระชายาประทับอยู่ที่ตำหนักนี้กับท่านอ๋อง หากจะมีใครลักพาตัวพระชายาก็คงจะเป็น ท่านอ๋องของข้านี่แล” ขันทีจิ้นหนานถอนหายใจใส่ทั้งสามคน
“เอ่อ หมายถึงพระชายามาหาท่านอ๋องแต่เช้าเลยหรือเจ้าคะ”
“ท่านอ๋องพามาตั้งแต่เมื่อคืน”
“แล้วตอนนี้…”
“ตอนนี้ทั้งสองพระองค์ยังมิตื่นบรรทม” ได้ฟังคำอธิบายจากขันทีจิ้นหนาน ทำเอาเหล่านางกำนัลและขันทีที่อยู่บริเวณนั้นถึงกับคิดเลยเถิดไปไกล ข่าวลือ ที่พระชายาร่วมเตียงกับท่านอ๋องที่ตำหนักใหญ่กระจายไปเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
“ยึ้ย! นี่มันอันใดกัน! ใครถ่ายหนักแล้วเอามาเช็ดตรงนี้ แหวะ!” ไฉ่หงรีบเช็ดมือเข้ากับบานประตูแล้วรีบออกมาทันที เพราะกลัวว่าจะมีผู้ใช้ห้องสุขาต่อและคิดว่าตนเองเป็นคนทำ แต่ทว่าเด็กน้อยมิทันได้ระวังจึงเหยียบเข้ากับน้ำมะม่วงที่สองแฝดเทเอาไว้จนรองเท้าหรูเปรอะเปื้อนไปหมด“อ่าว! ไฉ่หงอยู่นี่เอง ข้าอยากขอโทษที่ต่อว่าเจ้าเมื่อวันก่อน ยกโทษให้ข้านะ” ซินอี๋ทำทีว่าบังเอิญเจอไฉ่หงที่หน้าห้องสุขา เขาแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับว่าเรื่องวันก่อนเขาได้ทำผิดไป“อะ เอ่อ ข้ายกโทษให้ แต่เจ้าอย่าได้มาขึ้นเสียงกับข้าอีกเล่า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หึ!”“ขอบใจเจ้ามากนะไฉ่หง น้องข้าก็เอาแต่ใจเช่นนี้ มิได้ความเสียจริง” หย่งเล่อที่จู่ก็โผล่มาเกาะไหล่ไฉ่หงจากด้านหลัง มือเล็กของหย่งเล่อลูบไปทั่วแผ่นหลังและบั้นท้ายของไฉ่หง“อืม ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็สั่งสอนน้องเจ้าให้ดีด้วยเล่า” ว่าแล้วไฉ่หงก็เดินกลับเข้าห้องเรียนของตนทันทีหย่งเล่อและซินอี๋ที่มองไฉ่หงจากด้านหลังก็ยิ้มกริ่มพอใจกับผลงานตนเอง เพราะอาภรณ์ด้านหลังของไฉ่หงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมะม่วงสุกที่หย่งเล่อลงทุนใช้มือตนเองป้ายลงไป“ข้าว่าเจ้าไปล้างมือก่อนเถิด ข้าเหม
“หย่งเล่อเจ้าว่าน้องของเราจะเป็นหญิงหยือชาย” ซินอี๋และหย่งเล่อกำลัง ยืนเกาะขอบประตูห้องทำคลอด ที่บัดนี้ด้านในกำลังทำคลอดให้มารดาของพวกเขาอยู่หลังจากที่บิดาของพวกเขาให้คำมั่นว่าจะมีน้องชายน้องสาวมาให้พวกเขาเลี้ยงมานานนับหลายปีจนตอนนี้พวกเขาอายุได้สี่หนาวย่างเข้าห้าหนาวแล้วมารดาพวกเขาถึงได้ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด มิเหมือนกับท่านลุงซีห่าวกับท่านน้าเฟยเฟิ่งที่บัดนี้มีทั้งน้องชายวัยสองหนาว ทั้งท่านน้าเฟยเฟิ่งยังตั้งครรภ์ได้กว่าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ช่างเถิด อย่างไรเสด็จพ่อก็ทำตามสัญญาแม้จะช้าไปหลายปีก็เถอะนะ…“ไม่รู้” หย่งเล่อจดจ้องอยู่ที่ประตูตาไม่กระพริบ เด็กน้อยกำลังกังวลว่าเสด็จแม่และน้องจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ปากเล็กก็ยังเอ่ยตอบน้องชาย“แล้วเจ้าว่าน้องจะหน้าตาเหมือนผู้ใด เสด็จพ่อหยือเสด็จแม่”“ไม่รู้”“แต่ข้าว่าให้น้องเหมือนข้าน่าจะเข้าท่า เพราะข้าเป็นชายหนุ่มที่หย่อเหยาที่สุดในแคว้นเฉินแห่งนี้” ซินอี๋ใช้มือเล็กๆ ลูบคางของตนเองไปมา ดึงท่าทีคล้ายต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองนั้นหล่อเหลาเพียงใด สองแฝดคู่นี้แม้หน้าตา จะเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่ทว่านิสัยใจคอกลับแตกต่างกับลิบลับ คนหนึ่งนิ่งข
“อ๊ะ อื้ออออ”จุ๊บ! จ๊วบ! ปากหนาเลื่อนไปครอบยอดถันสีแดงก่ำ ทั้งไล่เลีย ทั้งดูดดึงดั่งทารกที่หิวโหย เฟยเฟิ่งที่พึ่งเคยถูกสัมผัสที่ลึกซึ้งถึงกับตัวอ่อนระทวย ปล่อยให้ร่างหนารุกเร้าอยู่อย่างนั้น ปากบางถูกเจ้าของขบกัดจนแดงก่ำ สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายอันกำยำของสามีอย่างหลงไหล“ทะ ท่านพี่ ของ ของท่านมัน-” ร่างกายเปลือยเปล่าบดเบียดแนบชิดกันจนเฟยเฟิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของนางอยู่“อะฮึ่ม! มันคงอยากมาเล่นกับเจ้ากระมัง มาเถิด ทำให้พี่ดูว่าที่เจ้าเล่าเรียนมานั้นจะใช้ได้จริงหรือไม่” ซีห่าวผละกายออกจากเฟยเฟิ่งพลางถอยไปพิงอ่าง สองแขนแกร่งยกขึ้นพาดขอบอ่างดั่งคุณชายเจ้าสำราญที่รอรับการปรนนิบัติ เฟยเฟิ่งที่ถูกทวงถามก็รีบเค้นบทเรียนที่เล่าเรียนมาปรนนิบัติให้สามีประทับใจ“อึก! ของท่านดูเหมือนจะใหญ่กว่าแท่งหยกที่เสด็จแม่นำมาสอน” เฟยเฟิ่งเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะแท่งทวนของสามีที่อยู่ใต้น้ำ มือบางชักรูดเบาๆ พลางวนนิ้วโป้งบนปลายหยัก“อืมมมม ดี มือเจ้านุ่มเหลือเกิน ซี๊ดดด” ซีห่าวแหงนหน้าสูดลมเข้าปากด้วยความเสียวซ่าน เฟยเฟิ่งเห็นท่าทีของสามีก็ได้ใจรีบรูดรั้งแท่งทวนช้าบ้างเร็วบ้างหวังให้สา
“เป็นอย่างไรบ้าง มาให้แม่ดูเสียหน่อยว่าเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮองเฮาหลี่เดินเข้ามาจัดชุดพิธีการสีแดงปักดิ้นทองที่เฟยเฟิ่งใส่อยู่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น มือบางลูบไล้จัดแต่งเรือนผมของบุตรีพลางย้อนนึกถึงตอนที่เฟยเฟิ่งยังเป็นเด็กซุกซนวิ่งเล่นอยู่ในตำหนัก แต่มาบัดนี้เด็กน้อยแสนซนผู้นั้นกำลังจะได้ตบแต่งออกไปมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว“ลูกงดงามหรือไม่เพคะ” เฟยเฟิ่งที่เห็นว่ามารดานิ่งเงียบไป จึงเอ่ยถามขึ้น“งดงาม แต่คงมิเท่าแม่ หึๆ”“โถ่! วันนี้เป็นวันสมรสของลูก เสด็จแม่จะมิยอมให้ลูกงดงามที่สุดบ้างเลยหรือเพคะ”“ฮ่าๆ ได้ๆ วันนี้แม่ให้เจ้างดงามที่สุด…เฟิ่งเออร์ แม้ตบแต่งออกไปแล้วแต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรของแม่และเสด็จพ่อ หากว่าซีห่าวทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจขอเพียงเข้าบอกแม่ แม่จะให้เสด็จพ่อจัดการกับเขาเอง” ฮองเฮาหลี่อดเป็นห่วงบุตรีของตนมิได้ ด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาเฟยเฟิ่งมิเคยห่างจากอกบิดามารดาเลยสักครา“หึ อย่างซีห่าวนะหรือจะทำให้เฟิ่งเออร์เจ็บซ้ำน้ำใจ คงจะมีแต่คนของเรามากกว่าที่จะทำให้เขาปวดหัว” ฮ่องเต้เฟยหลงที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยเย้าบุตรของตน“โถ่ เสด็จพ่อละก็ ลูกมิได้ซุกซนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย อีก
“อืม…แค่กๆ” เฟยฉีรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ตาคมมองไปรอบๆ ก็พบว่าตะเกียงในห้องของเขาถูกจุดสว่างไสว ความทรงจำสุดท้ายคือเขารู้สึกตาพร่ามัว ทั้งยังเจ็บปวดไปทุกส่วน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป“องค์รัชทายาท ได้สติแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเยว่ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงได้ ไม่นานก็ได้เสียงไอของคนบนเตียงเขาจึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา จิเยว่รีบเดินไปรินน้ำอุ่นมาให้เฟยฉีทันที ร่างบางพยายามประคองร่างสูงให้ดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยการขับพิษในครั้งนี้เฟยฉีเสียเลือดไปมาก“แค่กๆ จินเยว่” ปากหนาเอ่ยเรียกคนรักด้วยเสียงออดอ้อน ยังดีที่เฟยเทียนสั่งให้นางกำนัลเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทม ภายในห้องจึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น“พ่ะย่ะค่ะ”“จินเยว่”“อึก! พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมีสิ่งใดจะรับสั่งกับกระหม่อมหรือ” ดวงใจน้อยๆ ของจินเยว่ถึงกับกระตุกเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของคนรัก“เยว่เยว่ เยว่เยว่”“ว่าอย่างไร”“ข้าเจ็บไปทั้งตัวเลย ฮึก! ใจข้าก็เจ็บ” ร่างสูงโถมกายเข้าซุกซบกับอกของ จินเยว่จนล้มหงายหลัง“ชะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปนำยามาให้ องค์รัชทายาทปล่อยกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ หากข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็จะหนีไป”“กระห
"ซี๊ดดดดด ตัวเล็กกระจิดริดเหตุใดจึงกัดเจ็บถึงเพียงนี้นะ”จินเยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหู ใบหน้าแสนน่ารักหันไปหันมาเพื่อสำรวจหาต้นเสียง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยินสุดท้ายก็พบเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังก้มๆ เงยๆ ล้างเลือดออกจากแผลบนมือ จินเยว่ขมวดคิ้วแน่นคิดไม่ตกว่าควรเข้าไปช่วยดีหรือไม่ หากเข้าไปช่วยจะเกิดเหตุการณ์ดังเช่นครั้งก่อนหรือไม่“เจ็บๆ หากรู้ว่ากัดเจ็บถึงเพียงนี้ อย่าหวังว่าข้าจะช่วย ข้าจะปล่อยเจ้าแห้งตายอยู่ในกับดักโง่ๆ นั่น ฮึ่ย!” เสียงบ่นกับตนเองของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นทำให้จินเยว่อดยิ้มขำออกมามิได้ หากให้เขาคาดเดาชายหนุ่มผู้นี้คงจะช่วยสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักแต่ดันถูกสัตว์ตัวนั้นกัดมาเป็นแน่จึงได้มานั่งบ่นอยู่เช่นนี้น่าสงสารเสียจริง…“คิกๆ” จินเยว่หยุดหัวเราะออกมาโดยมิรู้ตัว“ใครน่ะ” แย่แน่แล้ว!!! จินเยว่รีบหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ร่างบางตัวสั่นเทา ใจหนึ่งก็นึกกลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารชายหนุ่มผู้นั้นมิได้ หากชายหนุ่มถูกสัตว์มีพิษกัดเข้าเล่าจะทำเช่นไร“ข้าถามว่าใคร ออกมา! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามาร้าย” จินเยว่ได้ยินเสียงเข้มเอ่ยดังนั้นจ