“อะ โอ๊ย…อื้อ~ แน่นเกินไปแล้วเพคะ”
“ยังไม่พอ เจ้ารัดข้าแน่นกว่านี้เสียอีก ฮึบ”
“โอ๊ย ไม่ไหวแล้วเพคะ พอแล้วๆ ฮื่อออออ”
“รอก่อน อดทนไว้ก่อน”
เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในห้องบรรทมของท่านอ๋องทำเอาเหล่าขันทีและนางกำนัลใบหน้าแดงก่ำ มิต้องบอกก็คาดเดาได้ว่าภายในห้องเกิดสิ่งใดขึ้น คงไม่ผิดจากที่พวกนางคิดไว้เป็นแน่
แต่…ผิดจ้ะ! ผิดทั้งหมด! เพราะตอนนี้เจียวซินกำลังนอนเป็นหมอนให้ท่านอ๋องกอดรัดคืน ด้วยท่านอ๋องอ้างว่าเจียวซินใช้แขนและขากอดก่ายจน ท่านอ๋องนอนไม่สบาย นางจึงถูกลงโทษอยู่เช่นนี้ หากมิยอม ท่านอ๋องก็หาว่านางเป็นเด็ก ทำผิดมิรู้จักไถ่โทษ หึ!!! ใครกันแน่ที่เด็ก คิดแต่จะเอาคืนผู้อื่น
“พอแล้วเพคะ โอ๊ย~ หม่อมฉันเจ็บไปทั้งตัวแล้ว”
“ได้ๆ แต่ครั้งหน้าข้าจะทำหลายๆ รอบ” เฟยเทียนคาดโทษเจียวซินไว้ จากนั้นจึงลุกออกมาเรียกหาขันทีจิ้นหนาน
“พวกเจ้าเข้าไปปรนนิบัติพระชายา หากช้ากว่านี้จะรับสำรับสายเอาได้”
“พะ เพคะ” หนิงเออร์ นางกำนัลชีชีและซวนซวนเข้าไปหาพระชายาด้วย สีหน้าแดงก่ำ อาบน้ำ แต่งกายเสร็จจึงพาพระชายาไปรับสำรับที่ห้องโถงของตำหนักใหญ่ เจียวซินถูกหนิงเออร์พยุงให้นั่งลงที่ว่างอย่างระมัดระวัง ซึ่งนางเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดเหล่าขันทีและนางกำนัล จึงมองเขาด้วยสายตาขัดเขินเช่นนั้น อีกทั้งหนิงเออร์ยังคอยถามนางว่าต้องการทายาหรือไม่ จะให้ทาที่ใดเล่านางมิได้บาดเจ็บตรงใดเสียหน่อย
“อ่า วันนี้คงจะครึกครื้นน่าดู” เจียวซินมองไปรอบโต๊ะที่มีเหล่าชายาและอนุของท่านอ๋อง
มากันครบองค์เชียวหรือ
“พวกหม่อมฉันได้ยินว่าระหว่างทางกลับจวนท่านทั้งสองถูกลอบทำร้าย จึงได้ร้อนใจเพคะ” ชายารองอันกล่าวขึ้น แม้แท้ที่จริงแล้วนางมาเพราะเหล่าขันทีและนางกำนัลในโรงครัวเล่าว่าท่านอ๋องและจางเจียวซินเข้าหอกันแล้วต่างหาก
“หึๆ ชายารองของข้ารู้ข่าวไวเสียจริง สมเป็นบุตรสาวสกุลอัน” เฟยเทียนกล่าวกระทบอันอ้ายฉิง เขามั่นใจว่าเหตุครั้งนี้นางมีส่วนด้วยไม่มากก็น้อย คนที่รู้ว่าเขาและเจียวซินถูกลอบสังหารมีเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์และอนุถังเท่านั้น ซึ่งเขาได้กำชับไปแล้วว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้เป็นอันขาด แต่อันอ้ายฉิงกลับรู้ จะให้แปลความว่าอย่างไร
“มิได้เพคะ เป็นเหล่าอนุที่นำความมาบอกหม่อมฉันเพคะ”
“เอาเถิด ข้ากับพระชายามิได้เป็นอันใดแม้แต่น้อยพวกเจ้ามิต้องเป็นห่วง” ว่าแล้วเฟยเทียนก็คีบอาหารมาใส่จานตน ทุกคนจึงเริ่มทานสำรับเช้า
“ท่านอ๋องให้หม่อมฉันคีบอาหารจานนี้ให้ดีหรือไม่เพคะ รสชาติดีทีเดียว” อนุจ้งเอ่ยอย่างเอาใจ
“จานนั้นมีแต่ของให้โทษ ให้หม่อมฉันตักต้มสมุนไพรให้ดีกว่าเพคะ” อนุตงยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจที่ได้กล่าวเสียดสีอนุจ้ง
“พวกเจ้าทานของตนเองเถิด” เป็นเช่นนี้ตลอดการทานสำรับเช้า…กว่าจะทานเสร็จและแยกย้ายกันก็ทำเอาเจียวซินปวดหัวแทบแย่
“เจ้าตามข้ามาที่ห้องตำราก่อน ข้าจะพูดคุยกับเจ้าเรื่องคณะราชทูต” เฟยเทียนเอ่ยบอกเจียวซิน
“ได้เพคะ” เจียวซินตามไปพูดคุยกับเฟยเทียนเรื่องราชทูต ใช้เวลาเกือบสองชั่วยามก็พูดคุยเรื่องคณะราชทูตแล้วเสร็จ ได้ความว่าคณะราชทูตจะเดินทางมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จะมีการจัดการต้อนรับและเจรจาการค้าในยามเช้า โดยจะให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางเข้าร่วมได้ ซึ่งเจียวซินจะต้องไปตั้งแต่ตอนเช้าเพื่อแปลสารจากคณะราชทูต ภายในหนึ่งเดือนนี้เจียวซินจะต้องศึกษาทั้งกฎระเบียบในวัง การปฏิบัติตน รวมถึงศึกษาการเจราจาค้าขายอีกด้วย
เห้ออออ รางวัลจะคุ้มกับค่าเหนื่อยที่ต้องเสียไปหรือไม่นะ
“เมื่องานสำเร็จหม่อมฉันจะได้รับรางวัลอย่างงามใช่หรือไม่เพคะ”
“อืม เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม” เฟยเทียนอดขำกับท่าทีเหนื่อยล้าตั้งแต่ยังมิได้เริ่มของนางไม่ได้
“แล้วเรื่องคนร้ายเล่าเพคะ สืบรู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด”
“ยังมิมีหลักฐานแน่ชัด เจ้าก็ระวังตัวไว้เสียบ้าง หากจะออกไปที่ให้ก็ให้มา แจ้งข้า ข้าจะพาไป”
“เพคะ หม่อมฉันมิเสี่ยงออกไปนอกจวนเองเป็นแน่เพคะ” นึกแล้วขนลุก ออกนอกจวนครั้งแรกก็ถูกลอบฆ่าเสียแล้ว
“เช่นนั้นก็ดี ช่วงนี้นางกำนัลของเสด็จแม่จะมาสอนการปฏิบัติตัวให้เจ้า”
“เพคะ” เจียวซินตอบกลับแล้วจึงลากลับตำหนัก
.
.
.
เมื่อเข้ามาในตำหนักก็พบเข้ากับฮองเฮา รัชทายาท และองค์หญิงเฟยเฟิ่งรออยู่แล้ว เห็นดังนั้นเจียวซินจึงวางองค์ชายลงเพื่อที่จะกล่าวถวายพระพรต่อฮองเฮา รัชทายาทและองค์หญิงองค์ชาย“มิต้องมากพิธี ขึ้นมานั่งเถิด”“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อเจียวซินขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ก็มีร่างเล็กพยายามปีนขึ้นมานั่งบนตัก เจียวซินจึงอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นมาบนตัก“หนิงหลงเจ้าจะรบกวนพระชายาเกินไปแล้ว” องค์หญิงเฟยเฟิ่งที่ยังมิพ้นวัยปักปิ่นกล่าวเตือนน้องชาย“เจียวซินอุ้มน้องท้างวัน ท้างวันเลย”“ได้ยินว่าตกน้ำตกท่าจนวิปลาส หายดีแล้วหรือ” ฮองเฮาหลี่กล่าวถามเจียวซินป๊าป! เข้าให้ หน้าชาไปครึ่งหน้าแล้วกระมัง“หายดีแล้วเพคะ มีเพียงความจำที่หดหายไปเพคะ”“หากความจำเจ้าหดหายไปแล้วเป็นผู้เป็นคนส่งเสริมสวามีเช่นนี้ ก็ภาวนะ อย่าให้ความจำมันกลับมาเลย”ป๊าป! ชาทั้งหน้าแล้วหล่ะตอนนี้“แหะๆ เพคะ หม่อมฉันก็คิดเห็นดังนั้นเพคะ” เจียวซินยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้“จริงสิ รู้ตัวผู้บงการเหตุลอบทำร้ายพวกเจ้าหรือยังน้องสาม” องค์รัชทายาทเฟยฉีกล่าวเปลี่ยนเรื่องทันทีมิให้บรรยากาศอึมครึมไปมากกว่านี้“หากจะคุยเรื่องนี้ก็เข้าไปคุยในที่ห้องทำงาน กำแพงกั้นยังมีหู* อ
“ขอคำนับราชทูตทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่แคว้นเฉินของเรา ตัวข้ามีนามว่า จางเจียวซิน จะเป็นผู้แปลสารของท่านให้องค์ฮ่องเต้ได้รับรู้เจ้าค่ะ”“ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางเจียวซิน” หนึ่งในราชทูตกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาให้เจียวซินจับเป็นการทักทาย“ขออภัยท่านราชทูต ตัวข้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว ตามธรรมเนียมของแคว้นเฉินตัวข้าจึงมิอาจจับมือทักทายกับท่านได้ หากท่านมิรังเกียจจับมือทักทายกับสามีของข้าแทนได้หรือไม่เจ้าคะ” เจียวซินพูดด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะเกรงจะทำให้ราชทูตมิพอใจ แต่ทว่าราชทูตหนุ่มผู้นั้นกับหัวเราะเบาๆ“ข้ามิรังเกียจ อยากรู้จักชายโชคดีผู้นั้นเช่นกัน”“ท่านอ๋องสามเพคะ” เจียวซินเอ่ยเรียกเฟยเทียน“ท่านราชทูต นี่เป็นท่านอ๋องสามเฉินเฟยเทียนโอรสขององค์ฮ่องเต้ของแคว้นเฉินเจ้าค่ะ” ราชทูตจับมือทักทายเฟยเทียน ซึ่งเฟยเทียนมิได้ตื่นตระหนกกับธรรมเนียมเช่นนี้ เพราะเคยอ่านผ่านตำรามาบ้าง ทั้งเจียวซินยังสอนวิธีการทักทายเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง“กราบทูลฝ่าบาท เมื่อสักครู่เป็นธรรมเนียมการทักทายโดยการสัมผัสที่มือ เพคะ”“เช่นนั้นหรือ ชายจับชาย หญิงจับหญิงหรือ”“แท้จริงแล้วชายจับมือทักทายกับหญิงได้ถือเป็นปกติเพ
และแล้วช่วงเวลาที่คณะราชทูตจะมาเยือนก็มาถึง ในวันรุ่งขึ้นเฟยเทียนและเจียวซินจะต้องออกไปต้อนรับคณะราชทูตในท้องพระโรง เจียวซินตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางจะเล่าเรียนการปฏิบัติตน อ่านตำราการค้าต่างๆ มากมาย แต่นางก็กดดันไม่น้อย เพราะหากมีสิ่งใดผิดพลาด นางอาจถูกใช้เป็นหอกทิ่มแทงท่านอ๋องได้ นางมิอยากให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อน ความสัมพันธ์ของนางและท่านอ๋องในตอนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน แม้จะเถียงกันตลอดเวลาก็เถอะ คิดเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักเจียวซินก็เข้าสู่ห้วงนิทรา รุ่งขึ้นเจียวซินตื่นขึ้นมาแต่เช้า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวปักลายหลี่อวี๋ (ปลาคาร์ฟ) สีเงินแซมทองที่ท่านอ๋องเป็นผู้มอบให้ เพื่อแสดงถึงโชคลาภ ผลกำไรและผลประโยชน์ เจียวซินผัดหน้าทาปากด้วยตนเองแล้วให้หนิงเออร์ทำหน้าที่รวบผม“ข้าเข้าไปได้หรือไม่” เจียวซินได้ยินเสียงท่านอ๋องดังอยู่ด้านนอกจึงเร่งให้คนสนิทเร่งมือ“เจ้าไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องที” นางกำนัลเดินไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องตามคำสั่งของผู้เป็นนายเฟยเทียนเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่มองเงาสะท้อนขอผู้เป็นชายา“ใกล้เสร็จแล้วเพค
“อะ โอ๊ย…อื้อ~ แน่นเกินไปแล้วเพคะ”“ยังไม่พอ เจ้ารัดข้าแน่นกว่านี้เสียอีก ฮึบ”“โอ๊ย ไม่ไหวแล้วเพคะ พอแล้วๆ ฮื่อออออ”“รอก่อน อดทนไว้ก่อน”เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในห้องบรรทมของท่านอ๋องทำเอาเหล่าขันทีและนางกำนัลใบหน้าแดงก่ำ มิต้องบอกก็คาดเดาได้ว่าภายในห้องเกิดสิ่งใดขึ้น คงไม่ผิดจากที่พวกนางคิดไว้เป็นแน่แต่…ผิดจ้ะ! ผิดทั้งหมด! เพราะตอนนี้เจียวซินกำลังนอนเป็นหมอนให้ท่านอ๋องกอดรัดคืน ด้วยท่านอ๋องอ้างว่าเจียวซินใช้แขนและขากอดก่ายจน ท่านอ๋องนอนไม่สบาย นางจึงถูกลงโทษอยู่เช่นนี้ หากมิยอม ท่านอ๋องก็หาว่านางเป็นเด็ก ทำผิดมิรู้จักไถ่โทษ หึ!!! ใครกันแน่ที่เด็ก คิดแต่จะเอาคืนผู้อื่น“พอแล้วเพคะ โอ๊ย~ หม่อมฉันเจ็บไปทั้งตัวแล้ว”“ได้ๆ แต่ครั้งหน้าข้าจะทำหลายๆ รอบ” เฟยเทียนคาดโทษเจียวซินไว้ จากนั้นจึงลุกออกมาเรียกหาขันทีจิ้นหนาน“พวกเจ้าเข้าไปปรนนิบัติพระชายา หากช้ากว่านี้จะรับสำรับสายเอาได้”“พะ เพคะ” หนิงเออร์ นางกำนัลชีชีและซวนซวนเข้าไปหาพระชายาด้วย สีหน้าแดงก่ำ อาบน้ำ แต่งกายเสร็จจึงพาพระชายาไปรับสำรับที่ห้องโถงของตำหนักใหญ่ เจียวซินถูกหนิงเออร์พยุงให้นั่งลงที่ว่างอย่างระมัดระวัง ซึ่งนางเองก็มิเ
“หยุดความคิดของเจ้าเสีย ข้าเพียงจะให้เจ้าไปประคบเย็นให้ข้าเท่านั้น”“หม่อมฉันมิได้คิดอันใดเพคะ” เจียวซินเบือนหน้าหนีสายตาคมเพราะอับอายที่ถูกจับได้“หึ อย่างเจ้าคงคิดไปถึงว่าข้าจะบังคับให้เจ้าเสพสังวาสด้วยแล้วกระมัง” เฟยเทียนกล่าวคาดเดาออกไป“นี่ นี่ท่านมีวิชาอ่านใจคนหรืออย่างไร” เจียวซินอึ้งกับคำพูดของเฟยเทียน ไม่น้อย“หึ หากเจ้าคิดได้ว่าข้าจะนำเจ้ามาเป็นนางบำเรอ เรื่องนี้เจ้าก็คงคิดได้ไม่ยาก” เฟยเทียนยิ้มขำกับท่าทางกระเง้ากระงอดของเจียวซิน“ชิ ข้าเพียงผิดพลาดเล็กน้อย ท่านถึงกับเก็บคำพูดข้ามาใส่ใจถึงเพียงนี้เลยหรือ” ไม่ทันได้ตอบกลับ เฟยเทียนกับเจียวซินก็มาถึงตำหนักของเฟยเทียน ขันทีจิ้นหนานเห็นผู้เป็นนายมากับพระชายา จำรีบเข้าไปต้อนรับ“ยังมิเข้านอนหรือจิ้นหนาน” เฟยเทียนเอ่ยถามขันทีคนสนิท“นายมินอน ข้ารับใช้จะนอนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”“หนิงเออร์ของข้าหลับเป็นตาย มิรู้ด้วยซ้ำว่าข้าแอบออกมา คิกๆ” เจียวซินพูดถึงคนสนิทที่บัดนี้คงนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ที่ตำหนัก ขันทีจิ้นหนานยิ้มขำกับคำพูดของเจียวซินพระชายาช่างซุกซนเสียจริง“หึ เจ้ามันดื้อ แอบย่องมากลางดึกเช่นนี้มันอันตราย” เจียวซินเงียบปากลงเ
..“รอดไปได้อีกแล้วหรือ พวกเจ้าทำงานกันอย่างไร เพียงแค่สตรีผู้หนึ่งยังจัดการมิได้”“ขออภัยขอรับนายท่าน ท่านอ๋องวางคนคุ้มกันพระชายาแน่นหนา คนของเราที่แฝงตัวไปกับนักฆ่าล้วนตายตกไปตามกันขอรับ”“อย่างไรเสียก็ต้องทำให้เหล่าทหารแครงใจกับเฟยเทียนให้ได้ และวิธีเดียวคือฆ่าจางเจียวซิน อย่างน้อยก็ทำให้จางซีห่าวแตกคอกับเฟยเทียน”“ใช้คนของเราที่อยู่ในจวนอ๋องดีหรือไม่ขอรับ”“อืม หากจนหนทางจริงค่อยใช้วิธีนั้น ข้ายังมิอยากเสียคนในนั้นไป” มือหนาหมุนแหวนหยกบนนิ้วอย่างใช้ความคิด..เจียวซินเมื่อกลับถึงตำหนักก็โล่งใจที่ไม่ถูกทำโทษ หนิงเออร์และ นางกำนัลช่วยกันชำระกายให้ผู้เป็นนายจนแล้วเสร็จ เจียวซินจึงได้เข้านอน แต่นอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ข่มตานอนก็แล้ว นับแกะก็แล้ว เจียนซินจึงตัดสินใจลุกออกไปเดินเล่น“เห้อ~ กว่าจะออกมาได้” เจียวซินถอนหายใจ เพราะกว่าจะผ่านหนิงเออร์และนางกำนัลที่นอนเฝ้าออกมาได้ก็แทบแย่ นางเดินเตร็ดเตร่ไปจนถึงศาลาริมน้ำหลังเดิม แต่ทว่า“โอ๊ะ…!!!” เจียวซินชะงักงันเมื่อเห็นว่าในศาลามีคนอยู่ และไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นท่านอ๋องของจวนแห่งนี้กับอนุถัง อนุคนโปรดของเขา“ขอประทานอภัยเพคะ” เจียวซินรีบเอ