“หนิงเออร์ เหตุใดพวกนางต้องมาคารวะข้าแต่เช้าเช่นนี้ด้วย” เช้าวันนี้ เจียวซินถูกปลุกขึ้นมาแต่งกาย ผัดหน้าแต่เช้า เพื่อมานั่งรอบรรดาเมียๆ ของสวามี ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในโลกนี้เกือบสิบวัน วันนี้เป็นวันที่เขาหงุดหงิดเป็นที่สุด สิบวันที่ผ่านมานางไม่ได้ทำอะไรเลย จะหยิบจับอันใดก็มีคนทำให้ทุกอย่างจน น่าเบื่อหน่าย ท่านอ๋องที่เคยบอกว่าจะพาไปค่ายทหารก็ผัดผ่อนมาเรื่อยๆ มีเพียงนำองค์รักษ์เงาสามคนที่จะให้ติดตามนางมาแนะนำให้รู้จักเท่านั้น นอกนั้นก็แทบจะมิได้เจอหน้ากัน แล้ววันนี้ยังจะต้องตื่นเช้ามารอรับการคำนับจากชายารองและอนุของสวามีอีก น่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว คิดถึงเด็กนักเรียนของนางเสียจริง ตอนทำงานเป็นครู มิมีวันใดเลยที่ไม่ตื่นเต้นเพราะในแต่ละวันก็จะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแตกต่างกันไป
“เป็นเวลานี้ปกติอยู่แล้วเพคะ ก่อนหน้านี้พระชายาประชวรจึงละเว้นการคำนับไปในช่วงนั้นเพคะ”
“เอาเถิดๆ แล้วเมื่อไหร่พวกนางจะมา” พูดได้ไม่ทันขาดคำ เสียงของนางกำนัลหน้าห้องก็ดังขึ้น
“ทูลพระชายา พระชายารองและอนุทั้งสามขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“ให้พวกนางเข้ามา”
“คำนับพระชายาเอกเพคะ” ทั้งสี่คนกล่าวพร้อมกัน
“อย่าได้มากพิธี พวกเจ้านั่งดื่มชาและขนมของว่างก่อนเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ พระชายาเอก” ทั้งสี่ยอบกายลงที่นั่งของตนทันที
“อาการของพระชายาดีขึ้นแล้วหรือเพคะ” อันอ้ายฉิงเอ่ยถามขึ้นมาคนแรก เจียวซินหันมองไปที่หนิงเออร์เพื่อขอความช่วยเหลือเพราะตอนนี้นางไม่รู้จักคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแม้แต่คนเดียว
“คนถามเป็นชายารองอัน อันอ้ายฉิงเพคะ ส่วนด้านหลังทางซ้ายเป็นอนุถัง ตรงกลางเป็นอนุตง และทางขวาเป็นอนุจ้งเพคะ” หนิงเออร์ยืดตัวเข้ามากระซิบ ข้างหูผู้เป็นนาย เมื่อได้ข้อมูลเจียวซินจึงได้ตอบคำถามของชายารอง
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจชายารองอันมากที่ถามไถ่”
“มิได้เพคะ หม่อมฉันกังวลเหลือเกินว่าพระชายาจะวิปลาสตามที่ผู้อื่นกล่าว” อันอ้ายฉิงพูดจบก็แสร้งยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก
โอ้โห?! นี่เจอกันวันแรกก็เปิดศึกเลยสินะ คิดว่าจะยอมรึ นอกจาก ผอ.โรงเรียน ที่ข้าเคยทำงานในโลกก่อนแล้วข้าก็ไม่กลัวใครแล้ว
“หึๆ มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกชายารองอัน ผู้อื่นก็ว่าไปตามประสาคนมิรู้ความ เจ้าอย่าได้เก็บคำเล่าลือมิมีความจริงมาใส่ใจดังคนโง่เขลาเบาปัญญา มิรู้จักกรองข่าวสารเช่นนี้ คราหน้าจะลำบากเอาได้” ก็มาสิ มิต้องด่าด้วยคำหยาบคาย มิต้องแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเจ็บใจได้ นี่หล่ะจางเจียวซินคนใหม่ นางจะไม่ยอมเป็นนางร้ายในสายตาผู้อื่นอีกต่อไป เจียวซินเคยได้ยินจากหนิงเออร์เอ่ยว่าเมื่อก่อนชายารองและเหล่าอนุมักจะพูดจากยั่วยุอารมณ์ของเจียวซินอยู่บ่อยครั้งทำให้เจียวซินโมโหจนอาละวาด ส่วนพวกนางก็ทำตัวเป็นผู้ถูกกระทำที่ น่าสงสาร
หึ นางดอกบัวขาวพวกนี้ หากมายุ่งวุ่นวายกับข้าอีก ข้าจะเด็ดกลีบดอกพวกเจ้าจนสิ้นมิให้เหลือแม้แต่กลีบเดียว
“นั่นสิชายารองอัน ท่านหลงเชื่อข่าวไม่มีมูลเหล่านั้นได้อย่างไร น่าขันนัก” ตงลี่ถังสบโอกาสก็กล่าวเสียดสีอันอ้ายฉิงทันที
“มิใช่ว่าเป็นเจ้าหรอกหรือที่ป่าวประกาศว่าพระชายาเอกวิปลาสไปแล้ว” จ้งลู่เอินกล่าวขัดขึ้น ทำเอาอนุตงถึงกับหน้าคล้ำลง
“ข้ามิได้-” ยังไม่ทันที่อนุตงจะกล่าวแก้ตัว เจียวซินก็ได้เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
“เอาเถิดๆ พวกเจ้ามิต้องถกเถียงกัน คราวหน้าหากได้ข่าวสารอันใดมา จงใช้ความคิดของพวกเจ้ากลั่นกรองเสียก่อน ค่อยนำมาพูดต่อ วันนี้หากมิมีอันใดแล้วพวกเจ้าก็กลับตำหนักตนเองเถิด ข้าจะพักเสียหน่อย อ้อ! หรือพวกเจ้าจะอยู่ทานของว่างให้หมดก่อนข้าก็มิว่าอันใด” กล่าวเพียงเท่านี้เจียวซินก็ลุกเดินออกจากห้องโถงตรงไปห้องนอนทันที
“เห้อออออ ปวดหัวเหลือเกิน พวกนางเป็นเช่นนี้ตลอดเลยหรือ”
“เป็นเช่นนี้มาตลอดเพคะ ชายารองและเหล่าอนุล้วนไม่มีผู้ใดดีต่อกันเพคะ มักพูดจาถากถางกันอยู่เนืองๆ จะมีก็แต่อนุถังที่มิค่อยมีปากมีเสียง โอนเอนไปทางผู้นั่นทีผู้นี้ทีเพคะ”
“อ่า เป็นคนฉลาดสินะ ทำตัวเป็นหญ้าลู่ไปตามลม…แล้ว เอ่อ แล้วท่านอ๋องโปรดผู้ใดมากที่สุด” เจียวซินถามหนิงเออร์ด้วยความอยากรู้ อย่างน้อยนางก็จะได้รู้ว่าควรเอาใจผู้ใด
“ตั้งแต่ที่หม่อมฉันเข้ามาที่นี่พร้อมพระชายา ยังมิเคยเห็นท่านอ๋องจุดโคมตำหนักใดเลยเพคะ มีบ้างที่ไปเยี่ยมเยือน แต่ไม่นานก็กลับตำหนักใหญ่เพคะ หากให้หม่อมฉันคาดเดาอาจจะเป็นอนุถังนะเพคะ เพราะนางเป็นอนุเพียงคนเดียวที่ท่านอ๋องต้องการแต่งเข้ามา อีกทั้งท่านอ๋องยังไปเยี่ยมเยือนอนุถังอยู่บ่อยครั้งเพคะ”
“อืม อนุถังงั้นหรือ… ว่าแต่เจ้า มีหูสองข้าง มีตาสองตาจริงหรือ เหตุใดจึง รู้เรื่องราวของผู้อื่นมากมายถึงเพียงนี้” เจียวซินจับปลายคางของคนสนิทหันซ้ายทีขวาที ทำท่าเหมือนกำลังมองหาหูตาที่ซ่อนอยู่ของคนสนิท
“โถ่พระชายา ทรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้วเพคะ” หนิงเออร์ทำหน้าเขินอายจนเจียวซินถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“หนิงเออร์ที่นี่มีห้องตำราหรือไม่” เจียวซินที่ว่างจนเบื่อจึงคิดว่าหากได้อ่านหนังสือคงคลายความเบื่อหน่ายลงได้บ้าง อีกอย่างนางมีเวลาเพียงแค่สองหนาวก่อนที่จะหย่าขาดกับท่านอ๋อง ดังนั้นนอกจากเบี้ยหวัดแล้วนางควรหาความรู้เกี่ยวกับโลกนี้ไว้บ้าง
“เอ่อ มีห้องตำราของท่านอ๋องเพคะ หากอยากเข้าไปคงต้องขออนุญาต ท่านอ๋องก่อนเพคะ”
“งั้นเราไปเตรียมเครื่องเสวยเถิด วันนี้ข้าจะไปรับสำรับเช้ากับท่านอ๋อง”
“เรียกข้างั้นหรือ…”“จะ..เจ้าค่ะ ช่วยข้าเลือกกลิ่นเครื่องหอมได้หรือไม่เจ้าคะ” เฟยเทียนเดินเข้าใกล้เจียวซิน แล้วฉวยเอาข้อมือของเจียวซินขึ้นมา“ตรงนี้ใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะ” สิ้นเสียงของเจียวซิน เฟยเทียนก้มหน้าลงจนปลายจมูกโด่งแตะลงบนข้อมือของเจียวซิน“อ๊ะ…” เหตุใด!! เหตุใดท่านอ๋องต้องเองจมูกแตะลงไปเช่นนั้นด้วยเล่า เจียวซินใจเต้นกับการกระทำนี้ไม่น้อย ตั้งแต่ที่นางมาอยู่โลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องแสดงท่าทีใกล้ชิดกับนางเฉกเช่นสามีภรรยาคู่อื่น เมื่อนึกถึงจุดนี้ก็ทำเอาเจียวซินหน้าขึ้นสีระเรื่อ“อีกกลิ่นเล่า อยู่ตรงที่ใด” เฟยเทียนเอ่ยถาม มิใช่ว่าเขาไม่เห็นท่าทีขัดเขิน แต่เลือกที่จะปล่อยผ่าน มิอยากทำให้นางต้องอึดอัด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาแตะเนื้อต้องตัวนางตั้งแต่ที่นางแต่งเข้ามา แต่ครั้งนี้…เขาแค่อยากรู้ อยากรู้ว่ากลิ่นเหล่านั้นจะหอมเพียงใด เมื่ออยู่บนตัวนาง“อยู่หลังมือ ข้างนี้เจ้าค่ะ” เจียวซินยื่นมืออีกข้างให้ท่านอ๋องลองดมกลิ่น เฟยเทียนแตะจมูกลงไปบนหลังมือเจียวซินอีกครั้งหอม หอมมากทั้งสองกลิ่น ไม่ว่ากลิ่นใดก็หอม“เอากลิ่นใดดีเจ้าคะ” เจียวซินเอ่ยถามออกไป แม้จะขัดเขินต่อการกระทำที่ไม่
..“ท่านอ๋องและพระชายาจะออกไปนอกจวน เจ้ารีบนำความไปบอกท่านพ่อเสีย อย่าให้ถูกจับได้” หญิงสาวรับคำสั่งจากผู้เป็นนายแล้วจึงเร่งรีบออกไปส่งข่าว..ด้านเฟยเทียนและเจียวซินที่กำลังนั่งรถม้าไปยังตลาดเทียบท่า ระยะทางค่อนข้างไกลต้องใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วยาม เจียวซินที่ได้ออกนอกจวนครั้งแรกถึงกับยิ้มไม่หุบ เปิดม่านดูบรรยากาศรายทาง ปากก็เอ่ยถามสิ่งที่แปลกตากับท่านอ๋อง จนลืมไปเสียสนิทว่าตนเองต้องอย่าล้ำเส้นท่านอ๋อง ส่วนเฟยเทียนก็ทำหน้าที่ตอบคำถามของชายาตน ภายในหัวก็คุ้นคิดว่าเจียวซินนั้นจะแกล้งเป็น จำมิได้หรือไม่ แต่คำตอบที่เขาได้คือ ดูอย่างไรนางก็ไม่มีท่าทีแกล้งหรือหลอกลวงใดๆ เขาเชื่อไปแปดในสิบส่วนแล้วว่านางจำสิ่งใดมิได้เลย“ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันจะเปิดสำนักศึกษาสำหรับชาวบ้านดีหรือไม่” เจียวซินเอ่ยถามขณะมองชาวบ้านตามท้องถนน“หากจะทำต้องมีเงินทองมากพอ เพราะชาวบ้านคงมิมีเงินทองสำหรับมา ใช้จ่ายค่าเล่าเรียน”“จริงของท่าน เช่นนั้นหม่อมฉันจะสอนลูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ไปด้วย สอนชาวบ้านไปด้วยดีหรือไม่เพคะ”“เหตุใดต้องไปสอนลูกขุนนางด้วยเล่า” เฟยเทียนเอ่ยถามเสียงนุ่ม เมื่อไหร่มิรู้ที่เขาหลงไหลไปกับ
เจียวซินที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกตำรา ก็เดินไปเรื่อยๆ อย่างแรก นางต้องรู้ก่อนว่าโลกที่นางอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องหาหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือสังคม“กฎหมาย การรบ จารีต … แล้วประวัติศาสตร์อยู่ไหนกันล่ะ” เจียวซินเดินหาเท่าไหร่ก็มิเจอ หรือนางควรไปถามท่านอ๋องดี แต่ก็กลัวโดนท่านอ๋องตำหนิ อีกอย่างนางรู้สึกหมั่นไส้ เบื่อหน่าย รำคาญท่านอ๋องอย่างไรก็ไม่รู้เอ่อ ยอมรับก็ได้ว่างอน จริงๆ ก็ไม่ถึงกับงอนแต่แค่รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเสียใจนิดๆ โมโหหน่อยๆ ก็เท่านั้น“ชิ หาเองดีกว่า ไม่ง้อหรอก”“เจ้าหาตำราใดอยู่งั้นหรือ” เฟยเทียนที่เข้ามาเงียบๆ เอ่ยถามขึ้น“เห้ย!! ท่านทำข้าตกใจ” เจียวซินยกมือขึ้นลูบหน้าอกตนเองเบา“ตกใจอันใดของเจ้า แล้วเจ้าหาตำราอันใดอยู่…ข้าจะช่วยหา” ประโยคสุดท้ายเฟยเทียนพูดเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน อีกทั้งยังแสดงอาการเก้งๆ กังๆ เหมือนมิค่อยแน่ใจในสิ่งที่ทำอยู่ด้านเจียวซินที่อยูใกล้ได้เห็นท่าทีและได้ยินทุกคำพูดของท่านอ๋อง จึงแอบลอบยิ้มทันทีหึ มาง้อข้าสินะ จะยอมพูดด้วยสักหน่อยก็ได้“จะช่วยหม่อมฉันหาหรือเพคะ”“หืม…ใช่ บอกมาว่าอยากได้ตำราอันใด” เฟยเทียนที่เริ่มขัดเขินกับการกระทำของตน
“ท่านเป็นเด็กหรือไร ถึงได้เขี่ยผักทิ้งเช่นนั้น” เจียวซินเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเฟยเทียนเขี่ยผักที่ติดอาหารออก ทั้งยังคีบเมนูผักให้เฟยเทียนอีกด้วย“นี่เจ้ากล้า-” เฟยเทียนกัดฟันกรอด กล้าดีอย่างไรมาว่าให้เขาเป็นเด็ก แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังเอ่ยชมเขาอยู่หลายหนว่ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เขาอายุเพียงสิบห้าหนาว แต่นี่เขาอายุได้ยี่สิบห้าหนาวแล้ว นางยังกล้ากล่าวว่าเขาเป็นเด็ก ช่างกล้า ช่างกล้านัก!“ทานเสีย ผักมีประโยชน์ท่านมิรู้หรือ ถึงไม่ชอบก็ต้องทานนะเพคะ” เจียวซินวางผักที่คีบลงบนข้าวของท่านอ๋องด้วยความหวังดี“เจ้ามิต้องมาสอดเรื่องของข้า ทานของเจ้าไป!!” ด้วยกลัวจะเสียหน้าต่อหน้าขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าอยู่ในห้อง เฟยเทียนจึงเขี่ยอาหารที่เจียวซินคีบให้ทิ้งและกล่าวตำหนิเจียวซินด้วยเสียงดุจนเจียวซินชะงักนางเพียงหวังดีเหตุใดจึงว่ากล่าวกันด้วยถ้อยคำเช่นนี้ หากไม่กินก็เพียงแค่บอกกล่าวกันเท่านั้น มันยากนักหรือ“เพคะ! หม่อมฉันจะมิสอดเรื่องของท่านอีก” เจียวซินไม่เข้าใจท่านอ๋อง แม้แต่น้อย แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนนางอยู่ในห้องประชุมของโรงเรียนในโลกเก่า ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ แต่ก็ทำอันใดไม
“งั้นเราไปเตรียมเครื่องเสวยเถิด วันนี้ข้าจะไปรับสำรับเช้ากับท่านอ๋อง” ว่าแล้วเจียวซินก็เดินตรงไปที่โรงครัวทันทีด้านเฟยเทียนกำลังนั่งฟังรายงานขององค์รักษ์เงาที่ส่งไปติดตาม เจียวซิน“พระชายามิได้ออกไปที่ใด ไม่ได้พบเจอผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนมากจะนั่งเล่นที่ศาลาริมสระหรือไม่ก็ศาลาในสวนพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วท่าทีของนางเป็นอย่างไร”“พระชายาดูเหมือนมิรู้สิ่งใดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ พระชายามักสอบถามเรื่องต่างๆ จากหนิงเออร์ แม้แต่เรื่องการปฏิบัติตนยังถูกหนิงเออร์กล่าวเตือนอยู่หลายครั้ง พ่ะย่ะค่ะ”“อืม ติดตามดูต่อไป หากมีอันใดเร่งด่วนมาแจ้งข้าได้ทันที แล้วตอนนี้ใครดูแลนางอยู่”“เป็นหงฮวาและไป่ฮวาพ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์เงากล่าวชื่อลับของเพื่อนทั้งสองด้วยความขัดเขิน“อ่าาา งั้นเจ้าคงเป็นหวงฮวาสินะ ฮึๆ” เฟยเทียนนึกไปถึงยามที่เขานำองค์รักษ์เงาทั้งสามคนไปพบเจียวซิน“พวกท่านมีชื่อหรือไม่”“พวกกระหม่อมถูกเรียกขานว่า อี เอ้อ และซาน พ่ะย่ะค่ะ”“อีกแล้วหรือ องค์รักษ์เงาของคนอื่นๆ ก็ถูกเรียกว่า อี เอ้อ ซาน มันซ้ำกับผู้อื่น หม่อมฉันขอเปลี่ยนชื่อพวกเขาใหม่ได้หรือไม่เพคะท่านอ๋อง” เจียวซินอยากเปลี่ยนชื่อองค์รักษ์เงาของ (สวาม
“หนิงเออร์ เหตุใดพวกนางต้องมาคารวะข้าแต่เช้าเช่นนี้ด้วย” เช้าวันนี้ เจียวซินถูกปลุกขึ้นมาแต่งกาย ผัดหน้าแต่เช้า เพื่อมานั่งรอบรรดาเมียๆ ของสวามี ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในโลกนี้เกือบสิบวัน วันนี้เป็นวันที่เขาหงุดหงิดเป็นที่สุด สิบวันที่ผ่านมานางไม่ได้ทำอะไรเลย จะหยิบจับอันใดก็มีคนทำให้ทุกอย่างจน น่าเบื่อหน่าย ท่านอ๋องที่เคยบอกว่าจะพาไปค่ายทหารก็ผัดผ่อนมาเรื่อยๆ มีเพียงนำองค์รักษ์เงาสามคนที่จะให้ติดตามนางมาแนะนำให้รู้จักเท่านั้น นอกนั้นก็แทบจะมิได้เจอหน้ากัน แล้ววันนี้ยังจะต้องตื่นเช้ามารอรับการคำนับจากชายารองและอนุของสวามีอีก น่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว คิดถึงเด็กนักเรียนของนางเสียจริง ตอนทำงานเป็นครู มิมีวันใดเลยที่ไม่ตื่นเต้นเพราะในแต่ละวันก็จะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแตกต่างกันไป“เป็นเวลานี้ปกติอยู่แล้วเพคะ ก่อนหน้านี้พระชายาประชวรจึงละเว้นการคำนับไปในช่วงนั้นเพคะ”“เอาเถิดๆ แล้วเมื่อไหร่พวกนางจะมา” พูดได้ไม่ทันขาดคำ เสียงของนางกำนัลหน้าห้องก็ดังขึ้น“ทูลพระชายา พระชายารองและอนุทั้งสามขอเข้าเฝ้าเพคะ”“ให้พวกนางเข้ามา”“คำนับพระชายาเอกเพคะ” ทั้งสี่คนกล่าวพร้อมกัน“อย่าได้มากพิธี พวกเจ้านั่ง