ログイン“ถ้าข้าเข้าไปไม่ได้ เจ้าลองเอาสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ อย่างลูกไก่เข้าไปเลี้ยงดูดีไหม? อย่างน้อยเจ้าจะได้มีเพื่อนคลายเหงาในวันที่ไม่อาจออกมาด้านนอกได้”
ดวงตาของฮวาอี้สว่างวาบด้วยความดีใจ “จริงสิ! ข้าทำไมถึงคิดไม่ออกกันนะ ข้ายังไม่เคยลองพาสัตว์เข้าไปเลย หากทำได้ ข้าก็จะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป” นางยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง ในเมื่อนางออกไปข้างนอกไม่ได้ ก็คงต้องสร้างโลกของตนเองขึ้นภายในมิติ ตอนนี้นางเลิกหวังที่จะได้กลับไปยังโลกเดิมแล้ว เพราะนับตั้งแต่ทะลุมายังที่แห่งนี้ ก็ไม่มีสัญญาณใดบอกเลยว่าจะได้กลับ คำพูดสุดท้ายที่นางจำได้ก็มีเพียง… “สิทธิ์พิเศษของผู้โดดเดี่ยว” ‘สิทธิ์บ้าอะไรกัน ข้าไม่ได้โดดเดี่ยวขนาดนั้นเสียหน่อย! ระบบนั่นต้องมีปัญหาแน่…’ ขณะคิดเพลิน เสียงเรียกของเหว่ยหยางก็ดังขึ้นหลายครั้ง แต่นางกลับยังคงเหม่อลอย จนเขาต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้ แล้วตะโกนข้างหู “ฮวาอี้! เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงที่ดังจนใกล้เกินไปทำให้นางสะดุ้งตกใจ หันไปหาต้นเสียงทันที จังหวะนั้นเองที่ใบหน้าของนางเกือบปะทะกับใบหน้าของเหว่ยหยาง ทั้งสองสะดุ้งเฮือก รีบถอยออกจากกันด้วยความตกใจ “เจ้า… เรียกข้าทำไมหรือ?” ฮวาอี้พูดออกมาอย่างไม่เต็มเสียง ความร้อนวูบวาบขึ้นมาบนใบหน้า ‘ข้าคิดอะไรอยู่กับเด็กวัยสิบสามกันแน่เนี่ย!’ นางดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ด้านเหว่ยหยาง ใบหูทั้งสองแดงจัด เขารู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจที่แรงผิดปกติ ‘นี่ข้าเป็นอะไรไปกันแน่ หรือแค่ตกใจเท่านั้น?’ เขาแอบมองไปทางฮวาอี้ เห็นนางไม่มีท่าทีผิดแปลกอะไร เขาก็รู้สึกโล่งใจ… แต่ก็ปนผิดหวังอยู่เล็กน้อย “ข้าขอโทษ ข้าเรียกเจ้าหลายครั้งแล้วแต่เจ้าไม่ตอบ…” เขาพูดเสียงเบา ราวกับไม่มั่นใจ “ข้าเหม่อไปนิดหน่อย… ข้ากำลังคิดเรื่องที่เจ้าพูดอยู่นั่นแหละ ความคิดของเจ้าไม่เลวเลย แล้วเจ้าว่าข้าควรเลี้ยงอะไรดี?” นางเปลี่ยนหัวข้อเพื่อหลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วน เหว่ยหยางยิ้มบาง “ข้าว่าเลี้ยงแม่ไก่สักคู่ เอาไว้เก็บไข่มากินก็ดี อีกอย่าง ข้ากำลังคิดจะเข้าเมืองอยู่พอดี ไปซื้อแม่ไก่มาเลี้ยงแทนไก่ป่าที่เรามี” “ความคิดของเจ้าดีมาก แต่ว่าข้าไม่มีเงินเลยนะ…” นางพูดพลางถอนหายใจเบา ๆ ความจริงข้าไม่มีแม้แต่เหรียญเดียว น่าเศร้ายิ่งนัก “ข้าจะซื้อให้เอง ถือว่าเป็นของตอบแทนที่เจ้าช่วยเหลือข้า ดีหรือไม่?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮวาอี้ก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “อย่างนั้นก็ดีเลย! ถ้าเจ้าจะเข้าเมือง ข้าไปด้วยได้ไหม? ข้าอยากไปเที่ยวกับเจ้าสักครั้ง…” เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นางยังไม่เคยออกไปที่อื่นนอกจากบ้านของเหว่ยหยางเลยสักครั้งเดียว “ข้าจะพาเจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าห้ามพูดในเวลาที่มีคนอยู่ เข้าใจหรือไม่?” เหว่ยหยางเตือนอีกครั้ง น้ำเสียงจริงจัง “เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่พูดแน่นอน เจ้าอย่าลืมนะ เจ้าได้สัญญากับข้าแล้ว” ทันทีที่ฮวาอี้พูดจบ ร่างของนางก็จางหายไป กลับเข้าไปอยู่ในต้นหญ้าเช่นเดิม เหว่ยหยางมองภาพที่เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจชินกับความมหัศจรรย์นั้นได้เสียที หลังจากแจ้งเรื่องการเข้าเมืองให้มารดารับทราบอีกครั้ง เขาก็ไปยืมรถเกวียนลาจากป้าฟ่านหนิง โดยครั้งนี้เขาไม่ได้มีของไปขายเหมือนเช่นเคย เพียงแค่อยากพาต้นหญ้าน้อยไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาเท่านั้น เริ่นหรงฮวาเห็นลูกชายอุ้มตะกร้าที่ใส่ต้นหญ้าน้อยติดตัวไปด้วย นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนทั้งสองอีกครั้ง “เจ้าพานางไปดี ๆ ล่ะ ฮวาอี้ เจ้าห้ามพูดอะไรในที่สาธารณะ เข้าใจหรือไม่?” “เข้าใจขอรับ” “เข้าใจเจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน แล้วพวกเขาก็ออกเดินทางจากบ้าน หรงฮวามองตามแผ่นหลังของลูกชายที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า นับตั้งแต่ฮวาอี้เข้ามาในชีวิต นางก็ได้เห็นด้านที่สดใสของลูกชายอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่นางไม่ได้เห็นมานานแสนนาน จึงอดรู้สึกดีใจไม่ได้ ระหว่างเดินทาง เหว่ยหยางเลือกใช้เส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา เขาเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ จึงหยิบต้นหญ้าน้อยออกจากตะกร้ามานั่งข้างกาย “เจ้ามองเห็นหรือไม่?” เขาถามขึ้น พลางขับเกวียนช้า ๆ ไปตามทาง “เห็นชัดเลยล่ะ” ฮวาอี้ตอบ พร้อมหันมองสองข้างทางอย่างสนใจ “แต่เหตุใดหมู่บ้านของเจ้าจึงดูยากจนเช่นนี้?” คำพูดของนางทำให้เหว่ยหยางถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง “เมื่อก่อนหมู่บ้านของเราก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้… ตั้งแต่ที่มีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สภาพบ้านเมืองก็แย่ลงเรื่อย ๆ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารขาดแคลน มีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก” ฮวาอี้ฟังอย่างตั้งใจ พลางรู้สึกสงสารผู้คนในโลกนี้ ‘ฮ่องเต้ของโลกนี้คงจะโหดร้ายไม่น้อย’ “แล้วคนที่ตามฆ่าครอบครัวของเจ้าคือใครหรือ?” “ข้าเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด…” เขาตอบเสียงแผ่ว แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “แต่อาจเป็นคนของผู้มีอำนาจที่ต้องการทำลายครอบครัวของข้า ข้ากำลังพยายามสืบหาความจริงอยู่เหมือนกัน” “เอาล่ะ ข้าไม่อยากให้เจ้าหม่นหมองมากไปกว่านี้ เปลี่ยนเรื่องดีกว่า!” นางรีบพูดพลางยิ้มบาง “วันนี้เข้าเมือง ข้าอยากซื้อของบางอย่าง เจ้าช่วยซื้อให้ข้าได้ไหม?” เหว่ยหยางหันมามองใบหน้าเจ้าเล่ห์ของนางแล้วยิ้มเอ็นดู “เจ้าอยากได้อะไร ข้าจะซื้อให้เจ้าทั้งหมดเลย” “โอ้โห… สายเปย์เชียวนะเจ้าเนี่ย!” ฮวาอี้เผลอหลุดคำศัพท์จากโลกเดิมออกมา “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่คุ้นกับคำคำนั้นเลย” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่คำที่ข้าเคยใช้ใน… สถานที่เดิมที่ข้าเคยอยู่” นางรีบแก้ตัวพร้อมตบปากตัวเองเบา ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เหว่ยหยางฟังคำพูดของฮวาอี้อย่างพินิจ น้ำเสียงของนางช่างมีบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ ‘ช่างเถอะ… หากนางยังไม่พร้อมบอก ข้าก็จะไม่เร่งรัด’ เขาคิดในใจ ขณะทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้า ปล่อยให้เสียงของต้นหญ้าน้อยค่อย ๆ กล่อมจิตใจเขาไปตลอดทาง “ฮวาอี้ ข้างหน้าคือทางเข้าเมืองแล้ว เจ้าห้ามพูดอะไรออกมานะ” เขาเตือนเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ได้ ๆ ข้าจะอยู่เงียบ ๆ ไม่ปริปากเลย” นางตอบกลับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเงียบเสียงลงทันที เหว่ยหยางวางต้นหญ้าน้อยลงในตะกร้าสานใบเล็กโดยจัดให้ยอดของต้นหญ้าโผล่พ้นขอบขึ้นมาเล็กน้อย เขากระซิบใกล้ต้นหญ้าอีกครั้ง “เจ้ามองเห็นใช่ไหม?” “เห็นชัดเลย เจ้าไม่ต้องกังวล” ฮวาอี้ตอบกลับอย่างตื่นเต้น สายตาจับจ้องไปยังเมืองที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เหว่ยหยางจึงนำเกวียนไปจอดยังจุดฝากรถ ก่อนสะพายตะกร้าใบเล็กใบนั้นไว้ด้านหลัง เดินมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปเมื่อคิดถึงฟ่านอิง เด็กน้อยก็คลานเข้ามาหานางพอดี เขายังดูน่ารักมากขึ้นทุกวัน ฮวาอี้อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน เดินชมร้านไปพลาง เด็กน้อยก็มองนางด้วยสายตาใสซื่อราวกับกำลังพยายามจดจำใบหน้าของผู้คนรอบตัวอย่างจริงจังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จนถึงกำหนดวันแต่งงาน ฮวาอี้กลับไปพักที่บ้านของเหว่ยหยาง และเข้าไปเตรียมตัวที่ร้านในเมืองหลวงเมื่อถึงวันงาน เหว่ยหยางส่งเกี้ยวแปดคนหามมาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรับตัวเจ้าสาว ผู้คนริมทางต่างพากันชื่นชมและยินดี เมื่อเกี้ยวหยุดหน้าบ้าน เขาก็เป็นผู้มารับตัวนางด้วยตนเองฮวาอี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดงดงาม ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันปิดบังใบหน้าไว้ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นที่เหว่ยหยางเคยมอบให้นางเมื่อครั้งก่อน แซมด้วยปิ่นหยกอันใหม่ที่ส่องประกายเจิดจรัสยิ่งนักหลังพิธีเสร็จสิ้น เหว่ยหยางพานางเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่นางเคยนอนป่วยอยู่ บัดนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสด ดูอบอุ่นและเป็นสิริมงคลยิ่งนัก“ฮวาอี้…” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ“เจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของนางนุ่มนวล เจือความเขินอาย“ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียเปรียบอีก คืนนี้เจ้าตรวจร่างกายของข้าได้เต็มที
“เจ้าเช็ดน้ำลายเสียหน่อยเถิด” เหว่ยหยางเอ่ยยิ้ม ๆฮวาอี้รีบยกมือเช็ดปากทันที ทว่ากลับไม่มีอะไรอย่างที่เขาว่า นางจึงหันมามองเขาตาขวางเหว่ยหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าการมีนางอยู่ให้หยอกเย้าเช่นนี้ คือความสุขที่แท้จริงของเขา“ข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว” ฮวาอี้รีบเปลี่ยนเรื่อง“ได้เลย หากทุกคนได้เห็นเจ้า คงดีใจกันไม่น้อย โดยเฉพาะท่านแม่ของข้า” เขาตอบก่อนจะเข้ามาพยุงนาง แม้นางจะเดินได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงห่วงใยอย่างไม่คลายฮวาอี้รับรู้ถึงความใส่ใจของเขา จึงยินยอมให้เขาช่วยพยุงโดยไม่ขัดขืน นางกลับรู้สึกอบอุ่น… อยากให้เขาเอาใจใส่เช่นนี้ตลอดไปจริง ๆเมื่อเดินออกมานอกเรือน กลับไม่พบผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีบ่าวมาคอยดูแล“ทุกคนไปไหนกันหมดหรือ?” ฮวาอี้ถามอย่างสงสัย“ตอนนี้ท่านแม่ไปช่วยงานที่อีกเรือนหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตนเอง”“ช่วยงานอะไรหรือ? ที่นี่มีงานให้ทำด้วยหรือ?” นางถามอย่างแปลกใจเหว่ยหยางไม่ปล่อยให้ความสงสัยนั้นอยู่นาน เขาจูงมือนางมายังเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีบ่าวรับใช้นั่งทำงานกันอยู่หลายคน และตรงกลางเรือนก็คือมารดาของเขาเมื่อสายตาของฮวาอี้มองไปยังสิ่งที่พวกเขา
“ข้าไม่ขอกลับไปยังโลกเดิมอีก… ในเมื่อที่แห่งนี้มีคนที่รักข้ารออยู่ ข้าย่อมไม่หนีเขาไปที่ใดได้อีก ท่านสามารถส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงสั่น น้ำตาไหลพรากลงมาตามพวงแก้มชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเลือกเช่นนี้ ตัวตนของเจ้าในโลกเดิมจะสูญสลายไปทันที… เจ้ายอมรับได้แล้วจริงหรือ?”“ข้ายอมรับ” ฮวาอี้ตอบด้วยแววตามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมความเชื่อมั่นเมื่อได้รับคำยืนยันอีกครั้ง ชายชราก็โบกมือเบา ๆ ภาพของร่างในโรงพยาบาลค่อย ๆ จางหาย พร้อมกับเรื่องราวในโลกเดิมที่นางเคยดำรงอยู่“บัดนี้ เจ้าหาได้มีตัวตนในโลกเดิมอีกต่อไปแล้ว… เจ้าจงใช้ชีวิตที่เจ้าเลือกให้คุ้มค่า ส่วนมิติที่ข้ามอบให้ จะยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเจ้า ขอให้เจ้าพบความสุขในสิ่งที่เลือกไว้เถิด”เมื่อกล่าวจบ ร่างของชายชราก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา เหมือนสายลมที่พัดผ่านฮวาอี้ตกใจ รีบร้องเรียกเสียงหลง “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ! ท่านยังไม่ส่งข้ากลับไปเลย ข้าจะกลับไปโลกนั้นได้อย่างไร!” นางโอดครวญอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงไม่เคยบอกอะไรให้นางรู้ล่วงหน้าสักครั้งแต่ไม่นานนัก เส้นทางสีขาวสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นตร
ไป๋จิ้งอวี่รับดาบนั้นไว้ แต่แรงปะทะรุนแรงจนเขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเองก็อ่อนแรงเต็มที ทว่าในห้วงสุดท้ายนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นนักฆ่าคนสนิทปรากฏตัวขึ้น เขาซ่อนรอยยิ้มไว้ในเงามืด ศึกครั้งนี้เขายังไม่แพ้!นักฆ่าในชุดดำที่เพิ่งมาถึง รีบพุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงมาเพื่อช่วยเจ้านายของตนโดยไม่ลังเลฮวาอี้ที่เห็นดังนั้น รีบผลักเหว่ยหยางให้พ้นทาง แล้วรับคมดาบแทน ร่างของนางทรุดลงทันทีตรงหน้าชายคนรัก“ไม่!!” เหว่ยหยางตะโกนลั่น ก่อนจะใช้ดาบในมือตวัดแทงทะลุร่างของไป๋จิ้งอวี่ทันที ศัตรูตัวฉกาจล้มลงในบัดดลเหว่ยหยางรีบโผเข้าประคองร่างของฮวาอี้ไว้ในอ้อมแขน “ฮวาอี้… เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่… อย่าเป็นอะไรไปเลย…” เสียงของเขาสั่นเครือ มือของเขากุมมือของนางไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นคมดาบเล่มนั้นปักกลางอกซ้ายของนางพอดี เลือดสีแดงไหลรินลงมาเปื้อนเสื้อคลุมสีอ่อนอย่างน่าสลดใจชายชุดดำอีกคนที่เหลืออยู่เห็นท่าไม่ดี พยายามหนีเอาตัวรอด แต่ยังไม่ทันพ้นระยะ ก็ถูกชายหน้าหวานผู้หนึ่งแทงร่างจนสิ้นใจไป๋เทียนวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนของเหว่ยหยาง เขา
“เจ้าช่างปากหวานเสียจริง…” ฮวาอี้ยิ้มบาง “แล้วเจ้าส่งคนไปดูทางขบวนเจ้าบ่าวหรือยัง?”“ข้าน้อยส่งไปแล้วตามที่นายหญิงสั่งเจ้าค่ะ” ลัวหยูตอบด้วยความเคารพ นางไม่เข้าใจนักว่านายหญิงกังวลสิ่งใด เพราะเหว่ยหยางเองก็เป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง ไม่มีใครกล้ารังแกได้ง่าย ๆ“ดี…ข้าค่อยวางใจได้หน่อย” ฮวาอี้พึมพำเบา ๆ พลางลูบต้นหญ้าปักกิ่งในมืออย่างแผ่วเบา หากเกิดเหตุร้ายใด ๆ ขึ้น นางยังมีวิธีช่วยเหลือเขาทางฝั่งของ เหว่ยหยางเขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มอย่างสง่างาม แววตาเต็มไปด้วยความสุข ในที่สุด…วันที่เขารอคอยก็มาถึงระหว่างทางขบวนขันหมากกำลังเคลื่อนตัวอย่างสงบ ผ่านเส้นทางแคบในหุบเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้ร่วมขบวนกระทั่ง…เงาดำหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!ชายในชุดดำกระโจนออกมายืนขวางทางรถม้าอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใด ๆ“นายท่าน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”เสียงอู๋หยวนดังขึ้นอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดปกติ…“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เหว่ยหยางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง“มีชายชุดดำขวางหน้ารถม้าของเราขอรับ!”“ถ้าเช่นนั้น ฆ่ามันเสีย!” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกร้าว โม
“เจ้า…ปลูกมันขึ้นมาได้เช่นไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าก็ปลูกมันลงในดินธรรมดาเท่านั้น มันก็ขึ้นมาเอง ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยขอรับ” เหว่ยหยางพูดออกมาด้วยท่าทางโอ้อวดเล็กน้อยเจ้าของร้านขายยามองทั้งสองด้วยสายตาเคลือบความหมั่นไส้ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอันใด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องธรรมดา ต้นโสมสวรรค์จะเติบโตได้ต้องอาศัยปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายดาย เช่นเดียวกับโชคชะตาและบุญวาสนา และแม้จะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใด แต่เรื่องนี้ก็ไม่สมควรถามออกไปตรง ๆ“แล้วต้นโสมต้นนี้… เจ้าจะนำกลับไปหรือไม่? หากไม่ ข้าขอซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าหลายเท่า” เขาถามพลางจับต้นโสมแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดมือเหว่ยหยางแย้มยิ้มบาง “หากไม่ใช่เพราะท่านมอบเมล็ดให้ข้า ข้าก็ไม่มีวันได้ต้นโสมต้นนี้มา ข้ามอบมันให้ท่านโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนใด ๆ ถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว และเมื่อสัญญานั้นสิ้นสุด ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาพบท่านอีกหรือไม่”เจ้าของร้านขายยาพลันยิ้มกว้างด้วยความยินดีที่ได้ต้นโสมสวรรค์มาโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่เมื่อได้ยินว่าเหว่ยหยางจะจากไป ก







