วันนี้เขามีเป้าหมายเดียว หาลูกไก่ตัวเล็ก ๆ มาให้นางเลี้ยงไว้ในมิติ
เขาเดินตรงไปยังตลาดขายสัตว์ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องของสัตว์หลายชนิดและกลิ่นที่แรงฉุนลอยตลบอบอวล ขณะกำลังเดินชมสินค้า ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาชนเขาเต็มแรงจนร่างเหว่ยหยางเซถอยหลัง ชายคนนั้นมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เดินยังไงของเจ้า ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยรึไง ถึงได้ชนข้าเข้า!” เหว่ยหยางรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นฝ่ายผิด แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าขอโทษขอรับ” ทว่าคำขอโทษนั้นกลับยิ่งจุดไฟให้ชายผู้นั้นเดือดดาล “ขอโทษงั้นหรือ? ฟังดูเหมือนไม่ได้สำนึกอะไรเลย!” เสียงโวยวายทำให้พ่อค้าแม่ค้ารอบข้างหันมามอง บางคนที่เห็นเหตุการณ์เต็มตาก็เอ่ยขึ้น “เด็กมันก็ขอโทษแล้ว เจ้าเองต่างหากที่เป็นคนเดินชนเข้าไปก่อน!” “ใช่ ๆ ข้าเห็นกับตาเลย” อีกเสียงสนับสนุนดังขึ้นตามมา ชายร่างใหญ่หันมองรอบตัว เมื่อเห็นว่าผู้คนไม่ได้อยู่ข้างตน เขาก็หน้าแดงด้วยความอับอาย ก่อนจะเดินจากไปอย่างหัวเสีย เหว่ยหยางหันไปกล่าวขอบคุณชาวบ้านที่ช่วยพูดให้ ฮวาอี้ที่อยู่ในตะกร้าสังเกตทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น นางรู้สึกไม่พอใจจนต้องจัดการกับอีกฝ่ายด้วยวิธีของตนเอง กลีบใบของต้นหญ้าเล็ก ๆ ขยับเบา ๆ ก่อนโรยผงเกสรล่องลอยไปหาชายร่างใหญ่ ไม่นานนัก ชายผู้นั้นที่เพิ่งเดินห่างออกไปก็ล้มลงดัง ตึง! เขานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายขยับไม่ได้แม้แต่น้อย เหลือเพียงลูกตาที่กรอกไปมา ‘นี่มันอะไรกัน! ทำไมข้าขยับไม่ได้เลย! ข้ากำลังจะตายหรือ!?’ เขาหวาดกลัวสุดขีด แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ฮวาอี้หัวเราะในลำคออย่างเบา ‘สมน้ำหน้า!’ ก่อนจะเบะปากนิด ๆ อย่างสะใจ เหว่ยหยางเหลือบมองนางพร้อมส่ายหน้าเบา ๆ เขารู้ดีว่านี่เป็นฝีมือของต้นหญ้าน้อยแน่นอน เขาเอื้อมมือไปลูบใบของนางเบา ๆ ราวกับปลอบโยน แล้วเดินออกจากจุดนั้นโดยไม่หันกลับไปมองอีก เขาซื้อลูกไก่ตัวเล็ก ๆ มาหลายตัว ราวสี่สิบตัว เผื่อเอาไว้กรณีตายระหว่างเลี้ยง เขาอยากให้นางไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป หลังจากนั้นเขาพานางเดินดูรอบตลาด จนมาหยุดอยู่หน้าร้านขายยาแห่งหนึ่ง กลิ่นของสมุนไพรหลายชนิดลอยปะปนอบอวลไปทั่ว ฮวาอี้รู้สึกถึงกลิ่นเหล่านั้นทันที ด้วยความสามารถพิเศษ นางสามารถแยกแยะชนิดสมุนไพรได้อย่างชัดเจน ดวงตาเป็นประกายวาววับ นางเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ก็เอ่ยเรียกเสียงเบา “เหว่ยหยาง…” หูของเขารับเสียงนั้นได้ทันที เขารีบเดินเข้าไปยังซอกด้านข้างของร้านขายยา แล้วกระซิบเบา ๆ “ฮวาอี้ เจ้าเรียกข้าหรือ?” “ใช่ ข้าอยากเข้าไปในร้านขายยา เจ้าพาข้าเข้าไปหน่อยได้หรือไม่?” “ได้สิ… แต่เจ้าอยากเข้าไปทำไม? เจ้าป่วยหรือ?” เขาถามอย่างเป็นห่วง “ข้าก็ไม่แน่ใจนัก… แต่ข้ารู้สึกว่าอยากเข้าไป ถ้าเจอของที่ต้องการ ข้าจะใช้ใบไม้สะกิดเจ้าเอง” ฮวาอี้รู้สึกถึงบางอย่างที่ดึงดูดให้นางต้องเข้าไปในร้านนั้นโดยไม่อาจอธิบายได้ “เช่นนั้นก็ตามใจ” เหว่ยหยางกล่าวก่อนพาฮวาอี้เดินเข้าไปในร้านขายยาซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เมื่อก้าวเข้าสู่ด้านใน ก็พบว่ามีเพียงชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่กลางร้านอย่างสงบ เมื่อชายผู้นั้นรู้สึกถึงเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยหางตา เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ถามขึ้นโดยไม่คิดจะสนใจต่อ “เจ้าต้องการอะไร?” “ข้าอยากมาดูยาเสียหน่อยขอรับ ไม่ทราบว่าพอจะดูได้หรือไม่?” เหว่ยหยางตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้ว่าอะไร เพราะร้านนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าอยู่แล้ว “ดูได้ แต่ห้ามจับด้วยมือนะ” เขาตอบเสียงนิ่ง ก่อนจะเงยหน้าสบตาเด็กหนุ่มชั่วครู่ “ได้ขอรับ” เหว่ยหยางตอบพร้อมยิ้มบาง เขาเดินพาฮวาอี้เข้าไปยังชั้นวางสินค้าภายในร้าน ขณะสายตากำลังสอดส่องดูเมล็ดพันธุ์สมุนไพร จู่ ๆ เขาก็สะดุดตากับกล่องไม้ใบหนึ่งที่วางไว้อย่างดี มีป้ายเขียนว่า “เมล็ดพันธุ์โสมเก้าสวรรค์” ดวงตาของเหว่ยหยางเปล่งประกายขึ้นทันที เขาจ้องมันด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม ฮวาอี้เองก็ส่งสัญญาณตอบรับเช่นกัน นางเอาใบของตนสะกิดแขนเขาเบา ๆ เพื่อบอกว่า นางก็ต้องการเช่นเดียวกัน เหว่ยหยางก้มลงกระซิบข้างต้นหญ้า “เจ้าอยากได้หรือ?” ฮวาอี้โบกใบเล็ก ๆ ไปมาสามครั้ง แทนคำตอบว่านางต้องการเมล็ดพันธุ์นั้นจริง ๆ เขาจึงตรงไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้าน ถามชายเจ้าของร้านทันที “ท่านลุงขอรับ… ท่านขายเมล็ดสมุนไพรด้วยหรือ?” ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้น สายตาเหลือบมองต้นหญ้าซึ่งอยู่ในตะกร้าเล็กด้านหลังเหว่ยหยาง มันดูคล้ายหญ้าธรรมดาทั่วไป แต่กลับมีกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด เขาผละสายตาออกแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ขาย แล้วเจ้าสนใจสมุนไพรชนิดไหนล่ะ?” “ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์โสมเก้าสวรรค์ ไม่ทราบว่าท่านขายหรือไม่?” เขาถามอย่างมั่นใจ ชายเจ้าของร้านหัวเราะเบา ๆ “โสมเก้าสวรรค์หรือ? ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขายมันหรอก แค่เอามาตั้งไว้เฉย ๆ ต่อให้เจ้าซื้อได้ก็ใช่ว่าจะปลูกขึ้นหรอกนะ” น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความหยอกเย้า “ข้าพูดจริงนะขอรับ ข้าอยากได้มันจริง ๆ” เหว่ยหยางกล่าวด้วยสีหน้าแน่วแน่ เจ้าของร้านนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขามองสลับไปมาระหว่างเด็กหนุ่มกับต้นหญ้าในตะกร้า ‘เด็กคนนี้ดูไม่ธรรมดา ต้นหญ้านั่นก็เช่นกัน… บางทีครั้งนี้อาจถึงเวลาของเมล็ดพันธุ์นี้แล้ว’ “ถ้าเจ้าอยากได้จริง ๆ ข้าจะขายให้ก็ได้ แต่ราคาของมัน เจ้าจะรับไหวหรือ?” “มันราคาเท่าไหร่หรือขอรับ?” เหว่ยหยางถามกลับทันที แม้ในใจจะเริ่มกังวล เพราะเงินที่เขามีอยู่เหลือไม่มากนัก “ข้าขายให้เจ้าในราคา หนึ่งพันตำลึงทอง พิเศษสุด ๆ สำหรับเจ้าเลยนะ” เจ้าของร้านพูดยิ้ม ๆ ราวกับแกล้งเด็ก “หนึ่งพันตำลึงทอง?” เหว่ยหยางอุทานเสียงหลง “ใช่ หนึ่งพันตำลึงทอง!” อีกฝ่ายย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อได้ยินราคานั้น เหว่ยหยางก็ต้องหลุบตาลงอย่างเสียใจ ‘เงินแค่นั้นข้ายังไม่เคยมีในชีวิตเสียด้วยซ้ำ…’ “ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องขอลา ข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอกขอรับ” เขากล่าวพลางหมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากร้าน ชายเจ้าของร้านมองแผ่นหลังเล็ก ๆ นั้นด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แล้วเอ่ยขึ้นเสียงดัง “แต่หากเจ้าไม่มีเงิน ก็อาจจ่ายด้วยสิ่งอื่นแทนก็ได้นะ” คำพูดนั้นทำให้เหว่ยหยางชะงักเท้า เขาหันกลับมาอย่างระแวดระวัง พลางเอ่ยถาม “สิ่งอื่น? หมายถึงอะไรขอรับ?” ชายวัยกลางคนเหลือบมองไปยังต้นหญ้าน้อยในตะกร้าของเหว่ยหยางด้วยแววตาเจือความสนใจ เหว่ยหยางรู้สึกไม่ไว้วางใจ เขาจึงเอื้อมมือมากอดตะกร้าแน่นทันที “ข้าไม่ได้หมายถึงแลกกับสมุนไพรของเจ้า” เจ้าของร้านรีบพูดขณะสังเกตท่าทีป้องกันของอีกฝ่าย “หากเจ้าสามารถปลูกมันจนเติบโตได้ และเมื่อถึงเวลาที่มันออกดอก เจ้าจะต้องนำดอกของมันมามอบให้ข้าหนึ่งดอก เท่านี้ก็พอ”วันนี้เขามีเป้าหมายเดียว หาลูกไก่ตัวเล็ก ๆ มาให้นางเลี้ยงไว้ในมิติเขาเดินตรงไปยังตลาดขายสัตว์ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องของสัตว์หลายชนิดและกลิ่นที่แรงฉุนลอยตลบอบอวล ขณะกำลังเดินชมสินค้า ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาชนเขาเต็มแรงจนร่างเหว่ยหยางเซถอยหลังชายคนนั้นมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เดินยังไงของเจ้า ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยรึไง ถึงได้ชนข้าเข้า!”เหว่ยหยางรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นฝ่ายผิด แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ข้าขอโทษขอรับ”ทว่าคำขอโทษนั้นกลับยิ่งจุดไฟให้ชายผู้นั้นเดือดดาล“ขอโทษงั้นหรือ? ฟังดูเหมือนไม่ได้สำนึกอะไรเลย!”เสียงโวยวายทำให้พ่อค้าแม่ค้ารอบข้างหันมามอง บางคนที่เห็นเหตุการณ์เต็มตาก็เอ่ยขึ้น“เด็กมันก็ขอโทษแล้ว เจ้าเองต่างหากที่เป็นคนเดินชนเข้าไปก่อน!”“ใช่ ๆ ข้าเห็นกับตาเลย” อีกเสียงสนับสนุนดังขึ้นตามมาชายร่างใหญ่หันมองรอบตัว เมื่อเห็นว่าผู้คนไม่ได้อยู่ข้างตน เขาก็หน้าแดงด้วยความอับอาย ก่อนจะเดินจากไปอย่างหัวเสียเหว่ยหยางหันไปกล่าวขอบคุณชาวบ้านที่ช่วยพูดให้ ฮวาอี้ที่อยู่ในตะกร้าสังเกตทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น นางรู้สึกไม่พอใจจนต้องจัดการกับอีกฝ่ายด้วยวิ
“ถ้าข้าเข้าไปไม่ได้ เจ้าลองเอาสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ อย่างลูกไก่เข้าไปเลี้ยงดูดีไหม? อย่างน้อยเจ้าจะได้มีเพื่อนคลายเหงาในวันที่ไม่อาจออกมาด้านนอกได้”ดวงตาของฮวาอี้สว่างวาบด้วยความดีใจ “จริงสิ! ข้าทำไมถึงคิดไม่ออกกันนะ ข้ายังไม่เคยลองพาสัตว์เข้าไปเลย หากทำได้ ข้าก็จะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป”นางยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง ในเมื่อนางออกไปข้างนอกไม่ได้ ก็คงต้องสร้างโลกของตนเองขึ้นภายในมิติ ตอนนี้นางเลิกหวังที่จะได้กลับไปยังโลกเดิมแล้ว เพราะนับตั้งแต่ทะลุมายังที่แห่งนี้ ก็ไม่มีสัญญาณใดบอกเลยว่าจะได้กลับ คำพูดสุดท้ายที่นางจำได้ก็มีเพียง…“สิทธิ์พิเศษของผู้โดดเดี่ยว”‘สิทธิ์บ้าอะไรกัน ข้าไม่ได้โดดเดี่ยวขนาดนั้นเสียหน่อย! ระบบนั่นต้องมีปัญหาแน่…’ขณะคิดเพลิน เสียงเรียกของเหว่ยหยางก็ดังขึ้นหลายครั้ง แต่นางกลับยังคงเหม่อลอย จนเขาต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้ แล้วตะโกนข้างหู“ฮวาอี้! เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”เสียงที่ดังจนใกล้เกินไปทำให้นางสะดุ้งตกใจ หันไปหาต้นเสียงทันที จังหวะนั้นเองที่ใบหน้าของนางเกือบปะทะกับใบหน้าของเหว่ยหยางทั้งสองสะดุ้งเฮือก รีบถอยออกจากกันด้วยความตกใจ“เจ้า… เรียกข้าทำไมหรือ?” ฮวาอี้พูดออ
“ต้นหญ้า… เจ้าตื่นหรือยัง?” เหว่ยหยางเอ่ยถามเสียงไม่ดังนักทางด้านฮวาอี้ ต้นหญ้าน้อย นางตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ครานี้นางไม่จำเป็นต้องหลับใหลในสภาพต้นไม้เหมือนแต่ก่อนอีก เพราะนางมีมิติส่วนตัวให้เข้าไปพักผ่อน ทั้งยังสามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกของตนเองภายในนั้นได้ด้วย สมุนไพรและพืชหายากล้วนเจริญเติบโตได้ดีขึ้นภายในมิติของนาง…เช้าวันใหม่อากาศสดชื่น ฮวาอี้เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงความชื้นบริเวณรอบลำต้นของตนเอง นางเงี่ยหูฟังแล้วรับรู้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังรดน้ำให้นางอยู่ แต่เมื่อมองขึ้นไปกลับพบว่าเป็นมารดาของเหว่ยหยางที่ยืนอยู่ตรงนั้น‘หรือว่า… เหว่ยหยางเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังแล้ว?’ ฮวาอี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ทันใดนั้น เสียงเรียกจากเหว่ยหยางก็ดังขึ้นข้างต้นหญ้า ทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย“ข้าตื่นแล้ว มีเรื่องอันใด ถึงเรียกเสียงดังเช่นนี้?” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ“เจ้าตื่นนานหรือยัง? อย่าเพิ่งโกรธข้าเลย ข้ามีเรื่องจะถามความเห็นของเจ้า… พระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า ท่านแม่ของข้าอยากพบเจ้า” เขาพูดพลางจับจ้องรอคำตอบฮวาอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่ว
“ใครส่งพวกเจ้ามา?” เริ่นหรงฮวาถามเสียงเข้มข้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นฮวาอี้ซึ่งอยู่ในกระถางต้นหญ้า มองเห็นสองแม่ลูกที่ยังไม่ลงมือเสียที นางจึงส่งเสียงเตือน“เหว่ยหยาง เจ้าควรรีบจัดการพวกมัน เดี๋ยวฤทธิ์เกสรจะเสื่อมเสียก่อน”เสียงจากต้นหญ้าทำให้เริ่นหรงฮวาหันขวับไปมอง สลับสายตาระหว่างต้นหญ้ากับลูกชาย นางอยากจะเอ่ยถามแต่สถานการณ์ตรงหน้าเร่งด่วนเสียยิ่งกว่า“ข้ารู้ว่าท่านแม่คงมีคำถามมากมาย เอาไว้จัดการพวกมันก่อนเถิด แล้วลูกจะอธิบายให้ฟังทุกอย่าง” เหว่ยหยางรีบพูดพลางส่งสายตาขอความเชื่อมั่นเริ่นหรงฮวาพยักหน้าแน่น พลันกระชับมีดในมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปปาดคอชายคนหนึ่งอย่างเยือกเย็นเหว่ยหยางเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่ามารดาผู้แสนอ่อนโยนจะสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล เขาจึงเร่งจัดการกับชายที่เหลือตามด้วยความเด็ดขาดชายชุดดำที่ยังพอรู้สึกได้มองเพื่อนของตนตายไปทีละคนด้วยความหวาดกลัว เขาพลาดไปแล้ว เขาควรระวังตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้เริ่นหรงฮวาหันไปเห็นสายตาหวาดหวั่นของอีกคนที่ยังเหลืออยู่ นางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้ากลัวหรือ? เจ้าคงไม่รู้สินะว่าการฆ่าสามีของข้า ทำ
ลูกน้องทั้งสี่พยักหน้ารับคำ ต่างแยกย้ายปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวตามบ้านเรือน เมื่อได้ข้อมูลที่อยู่ของสองแม่ลูกชัดเจนแล้ว ทั้งห้าคนก็กลับมารวมตัวและซุ่มดูอยู่หน้าบ้านเงียบ ๆ อย่างมีพิรุธด้านฮวาอี้ ขณะนั้นนางเริ่มชินกับพลังเวทที่สามารถใช้สอดส่องสิ่งรอบตัวผ่านต้นหญ้าชนิดเดียวกัน เมื่อนางตรวจสอบพื้นที่รอบหมู่บ้าน ก็พบกับชายแปลกหน้าห้าคนที่กำลังแอบซุ่มดูบ้านของเหว่ยหยางอย่างน่าสงสัย กลิ่นอายของพวกมันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย นางขมวดคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนความกังวลเริ่มกัดกินใจ ฮวาอี้รู้ว่าเหว่ยหยางคงไม่สามารถต่อกรกับคนทั้งห้าได้ หากพวกมันบุกเข้ามาจริง นางจึงตั้งใจจะเตือนเขาให้เตรียมตัวรับมือ และคิดหาทางช่วยอีกแรงหนึ่งระหว่างที่นางกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น เหว่ยหยางก็กลับมาจากการล่าสัตว์บนเขา เขาเดินมาหาต้นหญ้าน้อยเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อเห็นว่าต้นหญ้าเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความห่วงใย“เจ้าต้นหญ้าน้อย วันนี้ดูเจ้าจะไม่สดใสเลยนะ”ฮวาอี้ไม่รอช้า นางรีบบอกสิ่งที่พบให้เขารับรู้ทันที “เหว่ยหยาง รอบ ๆ บ้านของเจ้าตอนนี้ ข้าตรวจพบชายแปลกหน้าห้าคน ข้าเชื่อว่า
ผ้าแพรแทบกลั้นยิ้มไม่ได้ นางดีใจยิ่งนักที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้เสียที “เจ้าช่วยขุดข้าไปปลูกที่อื่นได้ไหม ข้าเบื่อเจ้าไก่พวกนี้เต็มที!”เมื่อได้ยินคำขอร้องแรก เหว่ยหยางหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ “ได้สิ ข้าจะย้ายเจ้าไปปลูกในกระถางดี ๆ สักใบ…แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นอะไร?”“เจ้าขุดพร้อมกับดินที่ข้าอยู่ด้วยก็แล้วกัน ข้าอาจจะเงียบไปสักพักหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าพลังของข้ากำลังอ่อนลง” เสียงของผ้าแพรเบาลงตามแรงวิญญาณที่ค่อย ๆ ถดถอยเหว่ยหยางไม่รอช้า เขารีบหากระถางพร้อมตักดินโดยรอบต้นหญ้ามาด้วยอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มือขุดดินอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอบอุ่นบางอย่างจากต้นหญ้า หรือเขาจะคิดไปเอง?เมื่อจัดการย้ายต้นหญ้าเสร็จแล้ว เขานำกระถางไปวางไว้ใต้ชายคา ให้แสงแดดอ่อนส่องถึงอย่างพอดี ขณะนั้นเอง มารดาเดินผ่านมาเห็นเข้าโดยบังเอิญเริ่นหรงฮวาเลิกคิ้ว มองกระถางในมือของลูกชายด้วยความฉงน “เจ้าปลูกต้นหญ้าไปทำไมกัน?”เหว่ยหยางหันมายิ้มบาง ๆ “ต้นหญ้าต้นนี้เป็นเพื่อนของข้าน่ะขอรับ ข้ารู้สึกผูกพันกับมันเหลือเกิน ว่าแต่…ท่านแม่รู้จักชื่อของต้นหญ้านี้หรือไม่?”เริ่นหรงฮวาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วพยักหน