“ต้นหญ้า… เจ้าตื่นหรือยัง?” เหว่ยหยางเอ่ยถามเสียงไม่ดังนัก
ทางด้านฮวาอี้ ต้นหญ้าน้อย นางตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ครานี้นางไม่จำเป็นต้องหลับใหลในสภาพต้นไม้เหมือนแต่ก่อนอีก เพราะนางมีมิติส่วนตัวให้เข้าไปพักผ่อน ทั้งยังสามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกของตนเองภายในนั้นได้ด้วย สมุนไพรและพืชหายากล้วนเจริญเติบโตได้ดีขึ้นภายในมิติของนาง… เช้าวันใหม่อากาศสดชื่น ฮวาอี้เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงความชื้นบริเวณรอบลำต้นของตนเอง นางเงี่ยหูฟังแล้วรับรู้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังรดน้ำให้นางอยู่ แต่เมื่อมองขึ้นไปกลับพบว่าเป็นมารดาของเหว่ยหยางที่ยืนอยู่ตรงนั้น ‘หรือว่า… เหว่ยหยางเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังแล้ว?’ ฮวาอี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ทันใดนั้น เสียงเรียกจากเหว่ยหยางก็ดังขึ้นข้างต้นหญ้า ทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย “ข้าตื่นแล้ว มีเรื่องอันใด ถึงเรียกเสียงดังเช่นนี้?” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ “เจ้าตื่นนานหรือยัง? อย่าเพิ่งโกรธข้าเลย ข้ามีเรื่องจะถามความเห็นของเจ้า… พระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า ท่านแม่ของข้าอยากพบเจ้า” เขาพูดพลางจับจ้องรอคำตอบ ฮวาอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่วเบา “ได้ ข้าจะไปพบท่านแม่ของเจ้า” ในเมื่อได้อยู่อาศัยที่บ้านหลังนี้มานาน และยังไม่รู้ว่าจะกลับไปยังโลกเดิมได้หรือไม่ การไปพบเจ้าของบ้านเสียบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องเสียหาย “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปบอกท่านแม่เดี๋ยวนี้” เหว่ยหยางตอบออกไปด้วยความดีใจที่ปิดไม่มิด หลังจากที่เขาจากไป ฮวาอี้มองตามแผ่นหลังของเขาไปพลางยิ้มบาง ‘ดูเจ้าหนุ่มคนนี้สิ ดีใจเหมือนหมาน้อยได้ของถูกใจเชียว…’ ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ภายในห้องกินข้าวอันอบอุ่น ฮวาอี้นั่งอยู่ตรงข้ามมารดาของเหว่ยหยาง ความตึงเครียดเกาะกุมอยู่ในใจของนาง ภาพจำในวันนั้นที่อีกฝ่ายสังหารชายชุดดำอย่างไร้ความลังเล ยังติดตาอยู่จนถึงตอนนี้ เริ่นหรงฮวาจ้องเด็กสาววัยราวสิบขวบที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบงัน สายตาของนางกวาดมองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ‘นี่หรือต้นหญ้าวิเศษ… ช่างแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้มากนัก’ เหว่ยหยางเห็นว่าบรรยากาศเริ่มอึดอัด จึงเอ่ยขึ้นเพื่อคลายความตึงเครียด “ท่านแม่ขอรับ… นางคือฟางฮวาอี้ ต้นหญ้าที่ลูกเคยบอกท่านนั่นแหละ” หรงฮวาพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าไม่ต้องเกร็งนัก ข้ามิใช่คนใจร้ายหรอก” นางกล่าวพร้อมแย้มยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของฮวาอี้ “เจ้าค่ะ…” ฮวาอี้รับคำพร้อมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ท่านแม่ของเหว่ยหยางมีพลังบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกเกรงอยู่ไม่น้อย “ในเมื่อเจ้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มานาน และตอนนี้ข้าก็ได้รับรู้ตัวตนของเจ้าแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้าสำหรับเรื่องในวันนั้น… ที่ช่วยเราจัดการกับชายชุดดำ จากนี้ไป เจ้าก็ถือเป็นคนในครอบครัวของเราแล้ว” น้ำเสียงของหรงฮวานุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างยิ่ง คำพูดนั้นทำให้หัวใจของฮวาอี้สั่นไหว ความรู้สึกตื้นตันไหลเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางมาอยู่ที่นี่โดยไร้จุดหมายมาหลายปี และไม่มีใครในโลกนี้ที่นางรู้สึกผูกพันเท่าเหว่ยหยางอีกแล้ว น้ำตาคลออยู่ที่หางตา ริมฝีปากของนางสั่นเล็กน้อย “ข้าสามารถเป็นครอบครัวของท่านได้จริงหรือเจ้าคะ…? ท่านยังไม่รู้เลยว่าข้าเป็นใคร มาจากที่ใด…” หรงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอ่อนโยนมากขึ้น “ไม่ว่าเจ้าจะมาจากที่ไหน หรือเป็นใคร มันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าเป็นเด็กดี… เด็กดีก็ควรได้รับสิ่งดี ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าอาจมีบางเรื่องที่บอกใครไม่ได้ แต่ตราบใดที่เจ้าไม่เป็นภัยต่อครอบครัวนี้ เจ้าก็อยู่ร่วมกับพวกเราได้ และถ้าวันใดที่เจ้ากลับมาในร่างมนุษย์ ก็อย่าลืมแวะมาทักทาย กินข้าวด้วยกันบ้างนะ ว่าแต่… เจ้ากินอาหารแบบพวกเราได้หรือไม่?” นางถามด้วยเสียงที่นุ่มนวลอย่างที่สุด ฮวาอี้น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ นางรีบเช็ดมันออกและยิ้มกว้างทั้งน้ำตา “กินได้เจ้าค่ะ… ถ้าครั้งหน้าเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวง ข้าขอมากินข้าวกับพวกท่านอีกได้หรือไม่?” คำถามของนางเต็มไปด้วยความหวัง เหว่ยหยางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นน้ำตาของฮวาอี้แล้วก็รู้สึกอิ่มเอมใจไปด้วย เขายิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ได้สิ… เจ้าจะมากินข้าวกับครอบครัวของข้าเมื่อไรก็ได้” หลังจากวันที่ได้พูดคุยกับมารดาของเหว่ยหยาง ฮวาอี้ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างเงียบงัน นางช่วยงานปลูกผักและดูแลไก่ในบางครั้งเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวง แต่เวลาที่มีอยู่น้อยนิดนั้น กลับไม่เพียงพอให้นางได้ใช้ชีวิตในแบบที่ใจปรารถนาเลยแม้แต่น้อย ‘เหตุใดข้าจึงแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เพียงในคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น…’ นางได้แต่นึกสงสัยในใจ แม้ว่าตอนนี้ฮวาอี้จะสามารถเข้าออกมิติส่วนตัวของตนได้อย่างอิสระ แต่การออกมาใช้ชีวิตภายนอกกลับยังจำกัด และนั่นก็ทำให้นางรู้สึกหดหู่ไม่น้อย ค่ำคืนนี้ นางนั่งห้อยขาอยู่บนชานบ้าน มองพระจันทร์ที่ค่อย ๆ ถูกเงามืดบดบัง เสียงถอนหายใจเบา ๆ ของเด็กสาวดังพอให้เหว่ยหยางที่เดินเข้ามาได้ยิน “เจ้ามีเรื่องอะไรในใจหรือ ถึงได้ถอนหายใจเสียงดังเช่นนี้?” เขาถามพลางนั่งลงข้างนาง เหลือบมองใบหน้าของฮวาอี้ที่สว่างชัดอยู่ใต้แสงจันทร์ นางยังคงมองออกไปเบื้องหน้า ไม่หันมาทางเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเล็กน้อย “ข้ามีบางสิ่งที่ติดอยู่ในใจ ข้าเริ่มผูกพันกับเจ้าและท่านแม่ของเจ้าเข้าแล้ว แต่ข้ากลับสามารถพบเจอพวกท่านได้เพียงเดือนละไม่กี่ครั้ง… มันไม่เพียงพอเลย ข้าไม่อยากอยู่เพียงลำพังในดอกไม้เช่นนั้นอีกแล้ว” นางระบายความรู้สึกในใจอย่างตรงไปตรงมา เหว่ยหยางฟังแล้วก็เกิดความสงสัย เขาจึงถามขึ้น “แล้วในดอกไม้นั้นเป็นเช่นไรหรือ? ข้าเข้าไปดูได้ไหม?” ฮวาอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างไม่ปิดบัง “ในนั้นเหมือนกับบ้านของเจ้า เพียงแต่อากาศบริสุทธิ์กว่าเดิมมาก ที่แห่งนั้นเพิ่งถือกำเนิดพร้อมกับตอนที่ข้าแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะพาคนอื่นเข้าไปได้หรือไม่ เพราะพลังของข้ายังอ่อนนัก” นางพูดพร้อมกับคิดทบทวน หากพาคนเข้าไปได้จริง บางทีนางอาจจะไม่เหงาเช่นนี้อีกต่อไป เหว่ยหยางจินตนาการภาพตามคำพูดของนาง พลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาเมื่อคิดถึงฟ่านอิง เด็กน้อยก็คลานเข้ามาหานางพอดี เขายังดูน่ารักมากขึ้นทุกวัน ฮวาอี้อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน เดินชมร้านไปพลาง เด็กน้อยก็มองนางด้วยสายตาใสซื่อราวกับกำลังพยายามจดจำใบหน้าของผู้คนรอบตัวอย่างจริงจังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จนถึงกำหนดวันแต่งงาน ฮวาอี้กลับไปพักที่บ้านของเหว่ยหยาง และเข้าไปเตรียมตัวที่ร้านในเมืองหลวงเมื่อถึงวันงาน เหว่ยหยางส่งเกี้ยวแปดคนหามมาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรับตัวเจ้าสาว ผู้คนริมทางต่างพากันชื่นชมและยินดี เมื่อเกี้ยวหยุดหน้าบ้าน เขาก็เป็นผู้มารับตัวนางด้วยตนเองฮวาอี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดงดงาม ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันปิดบังใบหน้าไว้ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นที่เหว่ยหยางเคยมอบให้นางเมื่อครั้งก่อน แซมด้วยปิ่นหยกอันใหม่ที่ส่องประกายเจิดจรัสยิ่งนักหลังพิธีเสร็จสิ้น เหว่ยหยางพานางเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่นางเคยนอนป่วยอยู่ บัดนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสด ดูอบอุ่นและเป็นสิริมงคลยิ่งนัก“ฮวาอี้…” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ“เจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของนางนุ่มนวล เจือความเขินอาย“ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียเปรียบอีก คืนนี้เจ้าตรวจร่างกายของข้าได้เต็มที
“เจ้าเช็ดน้ำลายเสียหน่อยเถิด” เหว่ยหยางเอ่ยยิ้ม ๆฮวาอี้รีบยกมือเช็ดปากทันที ทว่ากลับไม่มีอะไรอย่างที่เขาว่า นางจึงหันมามองเขาตาขวางเหว่ยหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าการมีนางอยู่ให้หยอกเย้าเช่นนี้ คือความสุขที่แท้จริงของเขา“ข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว” ฮวาอี้รีบเปลี่ยนเรื่อง“ได้เลย หากทุกคนได้เห็นเจ้า คงดีใจกันไม่น้อย โดยเฉพาะท่านแม่ของข้า” เขาตอบก่อนจะเข้ามาพยุงนาง แม้นางจะเดินได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงห่วงใยอย่างไม่คลายฮวาอี้รับรู้ถึงความใส่ใจของเขา จึงยินยอมให้เขาช่วยพยุงโดยไม่ขัดขืน นางกลับรู้สึกอบอุ่น… อยากให้เขาเอาใจใส่เช่นนี้ตลอดไปจริง ๆเมื่อเดินออกมานอกเรือน กลับไม่พบผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีบ่าวมาคอยดูแล“ทุกคนไปไหนกันหมดหรือ?” ฮวาอี้ถามอย่างสงสัย“ตอนนี้ท่านแม่ไปช่วยงานที่อีกเรือนหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตนเอง”“ช่วยงานอะไรหรือ? ที่นี่มีงานให้ทำด้วยหรือ?” นางถามอย่างแปลกใจเหว่ยหยางไม่ปล่อยให้ความสงสัยนั้นอยู่นาน เขาจูงมือนางมายังเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีบ่าวรับใช้นั่งทำงานกันอยู่หลายคน และตรงกลางเรือนก็คือมารดาของเขาเมื่อสายตาของฮวาอี้มองไปยังสิ่งที่พวกเขา
“ข้าไม่ขอกลับไปยังโลกเดิมอีก… ในเมื่อที่แห่งนี้มีคนที่รักข้ารออยู่ ข้าย่อมไม่หนีเขาไปที่ใดได้อีก ท่านสามารถส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงสั่น น้ำตาไหลพรากลงมาตามพวงแก้มชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเลือกเช่นนี้ ตัวตนของเจ้าในโลกเดิมจะสูญสลายไปทันที… เจ้ายอมรับได้แล้วจริงหรือ?”“ข้ายอมรับ” ฮวาอี้ตอบด้วยแววตามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมความเชื่อมั่นเมื่อได้รับคำยืนยันอีกครั้ง ชายชราก็โบกมือเบา ๆ ภาพของร่างในโรงพยาบาลค่อย ๆ จางหาย พร้อมกับเรื่องราวในโลกเดิมที่นางเคยดำรงอยู่“บัดนี้ เจ้าหาได้มีตัวตนในโลกเดิมอีกต่อไปแล้ว… เจ้าจงใช้ชีวิตที่เจ้าเลือกให้คุ้มค่า ส่วนมิติที่ข้ามอบให้ จะยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเจ้า ขอให้เจ้าพบความสุขในสิ่งที่เลือกไว้เถิด”เมื่อกล่าวจบ ร่างของชายชราก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา เหมือนสายลมที่พัดผ่านฮวาอี้ตกใจ รีบร้องเรียกเสียงหลง “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ! ท่านยังไม่ส่งข้ากลับไปเลย ข้าจะกลับไปโลกนั้นได้อย่างไร!” นางโอดครวญอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงไม่เคยบอกอะไรให้นางรู้ล่วงหน้าสักครั้งแต่ไม่นานนัก เส้นทางสีขาวสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นตร
ไป๋จิ้งอวี่รับดาบนั้นไว้ แต่แรงปะทะรุนแรงจนเขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเองก็อ่อนแรงเต็มที ทว่าในห้วงสุดท้ายนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นนักฆ่าคนสนิทปรากฏตัวขึ้น เขาซ่อนรอยยิ้มไว้ในเงามืด ศึกครั้งนี้เขายังไม่แพ้!นักฆ่าในชุดดำที่เพิ่งมาถึง รีบพุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงมาเพื่อช่วยเจ้านายของตนโดยไม่ลังเลฮวาอี้ที่เห็นดังนั้น รีบผลักเหว่ยหยางให้พ้นทาง แล้วรับคมดาบแทน ร่างของนางทรุดลงทันทีตรงหน้าชายคนรัก“ไม่!!” เหว่ยหยางตะโกนลั่น ก่อนจะใช้ดาบในมือตวัดแทงทะลุร่างของไป๋จิ้งอวี่ทันที ศัตรูตัวฉกาจล้มลงในบัดดลเหว่ยหยางรีบโผเข้าประคองร่างของฮวาอี้ไว้ในอ้อมแขน “ฮวาอี้… เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่… อย่าเป็นอะไรไปเลย…” เสียงของเขาสั่นเครือ มือของเขากุมมือของนางไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นคมดาบเล่มนั้นปักกลางอกซ้ายของนางพอดี เลือดสีแดงไหลรินลงมาเปื้อนเสื้อคลุมสีอ่อนอย่างน่าสลดใจชายชุดดำอีกคนที่เหลืออยู่เห็นท่าไม่ดี พยายามหนีเอาตัวรอด แต่ยังไม่ทันพ้นระยะ ก็ถูกชายหน้าหวานผู้หนึ่งแทงร่างจนสิ้นใจไป๋เทียนวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนของเหว่ยหยาง เขา
“เจ้าช่างปากหวานเสียจริง…” ฮวาอี้ยิ้มบาง “แล้วเจ้าส่งคนไปดูทางขบวนเจ้าบ่าวหรือยัง?”“ข้าน้อยส่งไปแล้วตามที่นายหญิงสั่งเจ้าค่ะ” ลัวหยูตอบด้วยความเคารพ นางไม่เข้าใจนักว่านายหญิงกังวลสิ่งใด เพราะเหว่ยหยางเองก็เป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง ไม่มีใครกล้ารังแกได้ง่าย ๆ“ดี…ข้าค่อยวางใจได้หน่อย” ฮวาอี้พึมพำเบา ๆ พลางลูบต้นหญ้าปักกิ่งในมืออย่างแผ่วเบา หากเกิดเหตุร้ายใด ๆ ขึ้น นางยังมีวิธีช่วยเหลือเขาทางฝั่งของ เหว่ยหยางเขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มอย่างสง่างาม แววตาเต็มไปด้วยความสุข ในที่สุด…วันที่เขารอคอยก็มาถึงระหว่างทางขบวนขันหมากกำลังเคลื่อนตัวอย่างสงบ ผ่านเส้นทางแคบในหุบเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้ร่วมขบวนกระทั่ง…เงาดำหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!ชายในชุดดำกระโจนออกมายืนขวางทางรถม้าอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใด ๆ“นายท่าน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”เสียงอู๋หยวนดังขึ้นอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดปกติ…“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เหว่ยหยางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง“มีชายชุดดำขวางหน้ารถม้าของเราขอรับ!”“ถ้าเช่นนั้น ฆ่ามันเสีย!” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกร้าว โม
“เจ้า…ปลูกมันขึ้นมาได้เช่นไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าก็ปลูกมันลงในดินธรรมดาเท่านั้น มันก็ขึ้นมาเอง ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยขอรับ” เหว่ยหยางพูดออกมาด้วยท่าทางโอ้อวดเล็กน้อยเจ้าของร้านขายยามองทั้งสองด้วยสายตาเคลือบความหมั่นไส้ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอันใด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องธรรมดา ต้นโสมสวรรค์จะเติบโตได้ต้องอาศัยปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายดาย เช่นเดียวกับโชคชะตาและบุญวาสนา และแม้จะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใด แต่เรื่องนี้ก็ไม่สมควรถามออกไปตรง ๆ“แล้วต้นโสมต้นนี้… เจ้าจะนำกลับไปหรือไม่? หากไม่ ข้าขอซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าหลายเท่า” เขาถามพลางจับต้นโสมแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดมือเหว่ยหยางแย้มยิ้มบาง “หากไม่ใช่เพราะท่านมอบเมล็ดให้ข้า ข้าก็ไม่มีวันได้ต้นโสมต้นนี้มา ข้ามอบมันให้ท่านโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนใด ๆ ถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว และเมื่อสัญญานั้นสิ้นสุด ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาพบท่านอีกหรือไม่”เจ้าของร้านขายยาพลันยิ้มกว้างด้วยความยินดีที่ได้ต้นโสมสวรรค์มาโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่เมื่อได้ยินว่าเหว่ยหยางจะจากไป ก