Home / รักโบราณ / เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่ / ตอนที่ 11 ท่านแม่กับต้นหญ้าน้อย

Share

ตอนที่ 11 ท่านแม่กับต้นหญ้าน้อย

last update Last Updated: 2025-08-14 21:40:20

“ต้นหญ้า… เจ้าตื่นหรือยัง?” เหว่ยหยางเอ่ยถามเสียงไม่ดังนัก

ทางด้านฮวาอี้ ต้นหญ้าน้อย นางตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ครานี้นางไม่จำเป็นต้องหลับใหลในสภาพต้นไม้เหมือนแต่ก่อนอีก เพราะนางมีมิติส่วนตัวให้เข้าไปพักผ่อน ทั้งยังสามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกของตนเองภายในนั้นได้ด้วย สมุนไพรและพืชหายากล้วนเจริญเติบโตได้ดีขึ้นภายในมิติของนาง…

เช้าวันใหม่อากาศสดชื่น ฮวาอี้เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงความชื้นบริเวณรอบลำต้นของตนเอง นางเงี่ยหูฟังแล้วรับรู้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังรดน้ำให้นางอยู่ แต่เมื่อมองขึ้นไปกลับพบว่าเป็นมารดาของเหว่ยหยางที่ยืนอยู่ตรงนั้น

‘หรือว่า… เหว่ยหยางเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังแล้ว?’ ฮวาอี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ทันใดนั้น เสียงเรียกจากเหว่ยหยางก็ดังขึ้นข้างต้นหญ้า ทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย

“ข้าตื่นแล้ว มีเรื่องอันใด ถึงเรียกเสียงดังเช่นนี้?” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ

“เจ้าตื่นนานหรือยัง? อย่าเพิ่งโกรธข้าเลย ข้ามีเรื่องจะถามความเห็นของเจ้า… พระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า ท่านแม่ของข้าอยากพบเจ้า” เขาพูดพลางจับจ้องรอคำตอบ

ฮวาอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่วเบา

“ได้ ข้าจะไปพบท่านแม่ของเจ้า”

ในเมื่อได้อยู่อาศัยที่บ้านหลังนี้มานาน และยังไม่รู้ว่าจะกลับไปยังโลกเดิมได้หรือไม่ การไปพบเจ้าของบ้านเสียบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องเสียหาย

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปบอกท่านแม่เดี๋ยวนี้” เหว่ยหยางตอบออกไปด้วยความดีใจที่ปิดไม่มิด

หลังจากที่เขาจากไป ฮวาอี้มองตามแผ่นหลังของเขาไปพลางยิ้มบาง ‘ดูเจ้าหนุ่มคนนี้สิ ดีใจเหมือนหมาน้อยได้ของถูกใจเชียว…’

ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ภายในห้องกินข้าวอันอบอุ่น ฮวาอี้นั่งอยู่ตรงข้ามมารดาของเหว่ยหยาง ความตึงเครียดเกาะกุมอยู่ในใจของนาง ภาพจำในวันนั้นที่อีกฝ่ายสังหารชายชุดดำอย่างไร้ความลังเล ยังติดตาอยู่จนถึงตอนนี้

เริ่นหรงฮวาจ้องเด็กสาววัยราวสิบขวบที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบงัน สายตาของนางกวาดมองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ‘นี่หรือต้นหญ้าวิเศษ… ช่างแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้มากนัก’

เหว่ยหยางเห็นว่าบรรยากาศเริ่มอึดอัด จึงเอ่ยขึ้นเพื่อคลายความตึงเครียด

“ท่านแม่ขอรับ… นางคือฟางฮวาอี้ ต้นหญ้าที่ลูกเคยบอกท่านนั่นแหละ”

หรงฮวาพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าไม่ต้องเกร็งนัก ข้ามิใช่คนใจร้ายหรอก” นางกล่าวพร้อมแย้มยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของฮวาอี้

“เจ้าค่ะ…” ฮวาอี้รับคำพร้อมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ท่านแม่ของเหว่ยหยางมีพลังบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกเกรงอยู่ไม่น้อย

“ในเมื่อเจ้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มานาน และตอนนี้ข้าก็ได้รับรู้ตัวตนของเจ้าแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้าสำหรับเรื่องในวันนั้น… ที่ช่วยเราจัดการกับชายชุดดำ จากนี้ไป เจ้าก็ถือเป็นคนในครอบครัวของเราแล้ว”

น้ำเสียงของหรงฮวานุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างยิ่ง

คำพูดนั้นทำให้หัวใจของฮวาอี้สั่นไหว ความรู้สึกตื้นตันไหลเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางมาอยู่ที่นี่โดยไร้จุดหมายมาหลายปี และไม่มีใครในโลกนี้ที่นางรู้สึกผูกพันเท่าเหว่ยหยางอีกแล้ว น้ำตาคลออยู่ที่หางตา ริมฝีปากของนางสั่นเล็กน้อย

“ข้าสามารถเป็นครอบครัวของท่านได้จริงหรือเจ้าคะ…? ท่านยังไม่รู้เลยว่าข้าเป็นใคร มาจากที่ใด…”

หรงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอ่อนโยนมากขึ้น

“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากที่ไหน หรือเป็นใคร มันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าเป็นเด็กดี… เด็กดีก็ควรได้รับสิ่งดี ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าอาจมีบางเรื่องที่บอกใครไม่ได้ แต่ตราบใดที่เจ้าไม่เป็นภัยต่อครอบครัวนี้ เจ้าก็อยู่ร่วมกับพวกเราได้ และถ้าวันใดที่เจ้ากลับมาในร่างมนุษย์ ก็อย่าลืมแวะมาทักทาย กินข้าวด้วยกันบ้างนะ ว่าแต่… เจ้ากินอาหารแบบพวกเราได้หรือไม่?”

นางถามด้วยเสียงที่นุ่มนวลอย่างที่สุด

ฮวาอี้น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ นางรีบเช็ดมันออกและยิ้มกว้างทั้งน้ำตา

“กินได้เจ้าค่ะ… ถ้าครั้งหน้าเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวง ข้าขอมากินข้าวกับพวกท่านอีกได้หรือไม่?”

คำถามของนางเต็มไปด้วยความหวัง

เหว่ยหยางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นน้ำตาของฮวาอี้แล้วก็รู้สึกอิ่มเอมใจไปด้วย เขายิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ได้สิ… เจ้าจะมากินข้าวกับครอบครัวของข้าเมื่อไรก็ได้”

หลังจากวันที่ได้พูดคุยกับมารดาของเหว่ยหยาง ฮวาอี้ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างเงียบงัน นางช่วยงานปลูกผักและดูแลไก่ในบางครั้งเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวง แต่เวลาที่มีอยู่น้อยนิดนั้น กลับไม่เพียงพอให้นางได้ใช้ชีวิตในแบบที่ใจปรารถนาเลยแม้แต่น้อย

‘เหตุใดข้าจึงแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เพียงในคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น…’ นางได้แต่นึกสงสัยในใจ

แม้ว่าตอนนี้ฮวาอี้จะสามารถเข้าออกมิติส่วนตัวของตนได้อย่างอิสระ แต่การออกมาใช้ชีวิตภายนอกกลับยังจำกัด และนั่นก็ทำให้นางรู้สึกหดหู่ไม่น้อย

ค่ำคืนนี้ นางนั่งห้อยขาอยู่บนชานบ้าน มองพระจันทร์ที่ค่อย ๆ ถูกเงามืดบดบัง เสียงถอนหายใจเบา ๆ ของเด็กสาวดังพอให้เหว่ยหยางที่เดินเข้ามาได้ยิน

“เจ้ามีเรื่องอะไรในใจหรือ ถึงได้ถอนหายใจเสียงดังเช่นนี้?” เขาถามพลางนั่งลงข้างนาง เหลือบมองใบหน้าของฮวาอี้ที่สว่างชัดอยู่ใต้แสงจันทร์

นางยังคงมองออกไปเบื้องหน้า ไม่หันมาทางเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเล็กน้อย

“ข้ามีบางสิ่งที่ติดอยู่ในใจ ข้าเริ่มผูกพันกับเจ้าและท่านแม่ของเจ้าเข้าแล้ว แต่ข้ากลับสามารถพบเจอพวกท่านได้เพียงเดือนละไม่กี่ครั้ง… มันไม่เพียงพอเลย ข้าไม่อยากอยู่เพียงลำพังในดอกไม้เช่นนั้นอีกแล้ว”

นางระบายความรู้สึกในใจอย่างตรงไปตรงมา

เหว่ยหยางฟังแล้วก็เกิดความสงสัย เขาจึงถามขึ้น “แล้วในดอกไม้นั้นเป็นเช่นไรหรือ? ข้าเข้าไปดูได้ไหม?”

ฮวาอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างไม่ปิดบัง

“ในนั้นเหมือนกับบ้านของเจ้า เพียงแต่อากาศบริสุทธิ์กว่าเดิมมาก ที่แห่งนั้นเพิ่งถือกำเนิดพร้อมกับตอนที่ข้าแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะพาคนอื่นเข้าไปได้หรือไม่ เพราะพลังของข้ายังอ่อนนัก”

นางพูดพร้อมกับคิดทบทวน หากพาคนเข้าไปได้จริง บางทีนางอาจจะไม่เหงาเช่นนี้อีกต่อไป

เหว่ยหยางจินตนาการภาพตามคำพูดของนาง พลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 11 ท่านแม่กับต้นหญ้าน้อย

    “ต้นหญ้า… เจ้าตื่นหรือยัง?” เหว่ยหยางเอ่ยถามเสียงไม่ดังนักทางด้านฮวาอี้ ต้นหญ้าน้อย นางตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ครานี้นางไม่จำเป็นต้องหลับใหลในสภาพต้นไม้เหมือนแต่ก่อนอีก เพราะนางมีมิติส่วนตัวให้เข้าไปพักผ่อน ทั้งยังสามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกของตนเองภายในนั้นได้ด้วย สมุนไพรและพืชหายากล้วนเจริญเติบโตได้ดีขึ้นภายในมิติของนาง…เช้าวันใหม่อากาศสดชื่น ฮวาอี้เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงความชื้นบริเวณรอบลำต้นของตนเอง นางเงี่ยหูฟังแล้วรับรู้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังรดน้ำให้นางอยู่ แต่เมื่อมองขึ้นไปกลับพบว่าเป็นมารดาของเหว่ยหยางที่ยืนอยู่ตรงนั้น‘หรือว่า… เหว่ยหยางเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังแล้ว?’ ฮวาอี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ทันใดนั้น เสียงเรียกจากเหว่ยหยางก็ดังขึ้นข้างต้นหญ้า ทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย“ข้าตื่นแล้ว มีเรื่องอันใด ถึงเรียกเสียงดังเช่นนี้?” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ“เจ้าตื่นนานหรือยัง? อย่าเพิ่งโกรธข้าเลย ข้ามีเรื่องจะถามความเห็นของเจ้า… พระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า ท่านแม่ของข้าอยากพบเจ้า” เขาพูดพลางจับจ้องรอคำตอบฮวาอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่ว

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 10 ทำลายหลักฐาน

    “ใครส่งพวกเจ้ามา?” เริ่นหรงฮวาถามเสียงเข้มข้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นฮวาอี้ซึ่งอยู่ในกระถางต้นหญ้า มองเห็นสองแม่ลูกที่ยังไม่ลงมือเสียที นางจึงส่งเสียงเตือน“เหว่ยหยาง เจ้าควรรีบจัดการพวกมัน เดี๋ยวฤทธิ์เกสรจะเสื่อมเสียก่อน”เสียงจากต้นหญ้าทำให้เริ่นหรงฮวาหันขวับไปมอง สลับสายตาระหว่างต้นหญ้ากับลูกชาย นางอยากจะเอ่ยถามแต่สถานการณ์ตรงหน้าเร่งด่วนเสียยิ่งกว่า“ข้ารู้ว่าท่านแม่คงมีคำถามมากมาย เอาไว้จัดการพวกมันก่อนเถิด แล้วลูกจะอธิบายให้ฟังทุกอย่าง” เหว่ยหยางรีบพูดพลางส่งสายตาขอความเชื่อมั่นเริ่นหรงฮวาพยักหน้าแน่น พลันกระชับมีดในมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปปาดคอชายคนหนึ่งอย่างเยือกเย็นเหว่ยหยางเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่ามารดาผู้แสนอ่อนโยนจะสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล เขาจึงเร่งจัดการกับชายที่เหลือตามด้วยความเด็ดขาดชายชุดดำที่ยังพอรู้สึกได้มองเพื่อนของตนตายไปทีละคนด้วยความหวาดกลัว เขาพลาดไปแล้ว เขาควรระวังตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้เริ่นหรงฮวาหันไปเห็นสายตาหวาดหวั่นของอีกคนที่ยังเหลืออยู่ นางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้ากลัวหรือ? เจ้าคงไม่รู้สินะว่าการฆ่าสามีของข้า ทำ

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 9 บุกรุก

    ลูกน้องทั้งสี่พยักหน้ารับคำ ต่างแยกย้ายปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวตามบ้านเรือน เมื่อได้ข้อมูลที่อยู่ของสองแม่ลูกชัดเจนแล้ว ทั้งห้าคนก็กลับมารวมตัวและซุ่มดูอยู่หน้าบ้านเงียบ ๆ อย่างมีพิรุธด้านฮวาอี้ ขณะนั้นนางเริ่มชินกับพลังเวทที่สามารถใช้สอดส่องสิ่งรอบตัวผ่านต้นหญ้าชนิดเดียวกัน เมื่อนางตรวจสอบพื้นที่รอบหมู่บ้าน ก็พบกับชายแปลกหน้าห้าคนที่กำลังแอบซุ่มดูบ้านของเหว่ยหยางอย่างน่าสงสัย กลิ่นอายของพวกมันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย นางขมวดคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนความกังวลเริ่มกัดกินใจ ฮวาอี้รู้ว่าเหว่ยหยางคงไม่สามารถต่อกรกับคนทั้งห้าได้ หากพวกมันบุกเข้ามาจริง นางจึงตั้งใจจะเตือนเขาให้เตรียมตัวรับมือ และคิดหาทางช่วยอีกแรงหนึ่งระหว่างที่นางกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น เหว่ยหยางก็กลับมาจากการล่าสัตว์บนเขา เขาเดินมาหาต้นหญ้าน้อยเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อเห็นว่าต้นหญ้าเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความห่วงใย“เจ้าต้นหญ้าน้อย วันนี้ดูเจ้าจะไม่สดใสเลยนะ”ฮวาอี้ไม่รอช้า นางรีบบอกสิ่งที่พบให้เขารับรู้ทันที “เหว่ยหยาง รอบ ๆ บ้านของเจ้าตอนนี้ ข้าตรวจพบชายแปลกหน้าห้าคน ข้าเชื่อว่า

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 8 พบเจอ

    ผ้าแพรแทบกลั้นยิ้มไม่ได้ นางดีใจยิ่งนักที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้เสียที “เจ้าช่วยขุดข้าไปปลูกที่อื่นได้ไหม ข้าเบื่อเจ้าไก่พวกนี้เต็มที!”เมื่อได้ยินคำขอร้องแรก เหว่ยหยางหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ “ได้สิ ข้าจะย้ายเจ้าไปปลูกในกระถางดี ๆ สักใบ…แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นอะไร?”“เจ้าขุดพร้อมกับดินที่ข้าอยู่ด้วยก็แล้วกัน ข้าอาจจะเงียบไปสักพักหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าพลังของข้ากำลังอ่อนลง” เสียงของผ้าแพรเบาลงตามแรงวิญญาณที่ค่อย ๆ ถดถอยเหว่ยหยางไม่รอช้า เขารีบหากระถางพร้อมตักดินโดยรอบต้นหญ้ามาด้วยอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มือขุดดินอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอบอุ่นบางอย่างจากต้นหญ้า หรือเขาจะคิดไปเอง?เมื่อจัดการย้ายต้นหญ้าเสร็จแล้ว เขานำกระถางไปวางไว้ใต้ชายคา ให้แสงแดดอ่อนส่องถึงอย่างพอดี ขณะนั้นเอง มารดาเดินผ่านมาเห็นเข้าโดยบังเอิญเริ่นหรงฮวาเลิกคิ้ว มองกระถางในมือของลูกชายด้วยความฉงน “เจ้าปลูกต้นหญ้าไปทำไมกัน?”เหว่ยหยางหันมายิ้มบาง ๆ “ต้นหญ้าต้นนี้เป็นเพื่อนของข้าน่ะขอรับ ข้ารู้สึกผูกพันกับมันเหลือเกิน ว่าแต่…ท่านแม่รู้จักชื่อของต้นหญ้านี้หรือไม่?”เริ่นหรงฮวาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วพยักหน

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 7 มิติที่เปิดออก

    “เจ้าช่างโชคดีนัก ที่มีลูกชายกตัญญูเช่นนี้…” ฟ่านหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว สายตามองไปยังแม่ลูกอย่างเงียบงัน ความทรงจำถึงลูกที่จากไปทำให้นางรู้สึกอ้างว้างในหัวใจ ฤดูหนาวปีนี้ นางต้องอยู่เพียงลำพังอีกครั้งเริ่นหรงฮวาจับความรู้สึกของนางได้ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านป้า หากท่านไม่รังเกียจ มาอยู่กับพวกเราก็ได้นะเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เราสองแม่ลูกยินดีต้อนรับท่านเสมอ”ฟ่านหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วย “ขอบใจในความหวังดีของพวกเจ้านะ… แต่ข้ายังละทิ้งบ้านที่เคยมีครอบครัวอยู่ด้วยกันไม่ลง หากวันใดข้าตัดใจได้ ข้าจะย้ายมาอยู่กับพวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้… ดูแลตัวเองให้ดี หิมะกำลังตกหนักขึ้นทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”นางกล่าวลาทั้งสอง และหันหลังกลับไปด้วยแววตาที่ยังมีรอยเศร้าทางด้านผ้าแพรที่ยังคงสิงอยู่ในต้นหญ้า มองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกปนเป ความอบอุ่นระหว่างคนและบ้านใหม่ทำให้นางยิ่งรู้สึกเดียวดาย ‘นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกินเดือนแล้วสินะ…’ ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น ทำให้จิตใจของผ้าแพรยิ่งหม่นหมอง ดอกหญ้าสีม่วงที่นางสิงสถิตอยู่ก็พลอยเหี่ยวเฉาลงด้วยอารมณ์ที่แปรเปลี

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 6 สร้างบ้าน

    วันต่อมา เหว่ยหยางทำกิจวัตรเหมือนเดิม เขาพยุงมารดาไปทำธุระส่วนตัว ให้อาหารไก่ แล้วอาบน้ำยามเช้า ก่อนจะมานั่งลงข้างเล้าไก่ เอ่ยทักต้นหญ้าสีม่วงที่เติบโตขึ้นกว่าเดิม“เจ้าต้นหญ้าน้อย เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุด” เขาระบายความรู้สึกในใจอย่างผ่อนคลาย จ้องมองดอกไม้พลางเอื้อมมือแตะปลายใบอ่อนแผ่วเบาเขารู้สึก… สบายอย่างประหลาด ทุกครั้งที่สัมผัสต้นหญ้านี้ผ้าแพรที่สถิตอยู่ในต้นหญ้าเงียบฟังเรื่องราวของเด็กชายอย่างตั้งใจ นางอยากจะปลอบโยน อยากจะโอบกอดเขา แต่ก็ทำไม่ได้ ได้เพียงแค่สั่นไหวใบอ่อนเพื่อตอบรับอย่างสุดกำลังวันแล้ววันเล่า เหว่ยหยางมักจะมานั่งพูดคุยกับต้นหญ้าสีม่วงต้นนี้เป็นประจำ เขาระบายสิ่งต่าง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนผ้าแพรก็เฝ้าฟังและเผลอผูกพันกับเด็กชายมากขึ้นทุกที… และในวันที่ไม่เห็นเขา นางก็รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก…ก่อนที่ฤดูหนาวจะย่างกรายมาถึง เริ่นเหว่ยหยางได้ขอให้ป้าฟ่างหนิงช่วยแนะนำช่างที่ไว้ใจได้เพื่อมาสร้างบ้านหลังใหม่ ท่านป้าจึงพาเขาเข้าเมืองซานเฉิง และในที่สุดก็สามารถว่าจ้างช่างฝีมือคนหนึ่งตกลงราคากันที่สามตำลึงทองฟ่านหนิงถึงกับตาโต เมื่อได้ยินราคาที

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status