เช้าวันนี้ในจวนของจวินอ๋องไป๋หลินยังคงตื่นแต่เช้าเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน เพราะไป๋หลินจะเป็นคนทำอาหารเช้าให้ทุกคนในจวนทาน โดยที่มีอี้กงกงและนางกำนัลคอยช่วยอีกแรง ทั้งยังให้อี้กงกง นางกำนัล และพ่อครัวแม่ครัวมาดูวิธีทำใกล้ ๆ พร้อมกับให้จดสูตรไว้อีกด้วย เพื่อจะได้ทำให้จวินอ๋อง พระชายาและองค์ชายแฝดได้ดื่มบำรุงร่างกายทุกเช้า เขาเริ่มจากการทำน้ำเต้าหู้ก่อนแต่ที่แตกต่างออกไปวันนี้มีคนมาช่วยไป๋หลินบดถั่วเหลือง จึงทำให้ขั้นตอนนี้ไวขึ้นและได้ถั่วเหลืองบดเป็นจำนวนมาก ไป๋หลินตั้งใจว่าจะต้มให้ดื่มกันทั้งจวนเลย ที่สำคัญสูตรน้ำเต้าหู้วันนี้แตกต่างจากที่เคยทำทุกวัน ตรงที่นอกจากจะมีน้ำเต้าหู้สูตรธรรมดาที่เคยทำแล้ว ไป๋หลินยังทำน้ำเต้าหู้สูตรงาดำและน้ำเต้าหู้สูตรใบเตยอีกด้วย โชคดีที่มีโม่หินตั้งสี่อันไม่เช่นนั้นไม่ทันกินแน่
พอเตรียมน้ำเต้าหู้เสร็จก็มีขันทีมาแจ้งข่าวว่าจวินอ๋อง พระชายาและแขกทุกท่านเริ่มตื่นกันแล้ว ไป๋หลินจึงให้อี้กงกงกับนางกำนัลนำน้ำเต้าหู้ไปถวายจวินอ๋องกับพระชายาก่อน แล้วค่อยทยอยนำไปให้คนอื่นในจวนได้ดื่ม จากนั้นไป๋หลินก็เริ่มทำเมนูอาหารเช้าง่าย ๆ อย่างไข่ดาวทรงเครื่องที่มีหมูสับแครอทและต้นหอมผักชีโรยบนไข่ดาวหยดซีอิ๊วขาวแล้วทานพร้อมกันอร่อยมาก
อีกเมนูก็เป็นโจ๊กหมูสับเห็ดหอม พอทุกอย่างเสร็จดีทุกคนก็แต่งตัวกันเรียบร้อยพร้อมออกมารอทานอาหารเช้าแล้ว หลัวฟางวันนี้ทำหน้าที่อาบน้ำแต่งตัวให้ลูกทั้งสี่แทนไป๋หลิน แต่งตัวให้ลูกทั้งสี่เสร็จก็พาเด็ก ๆ รอที่โต๊ะพร้อมกับคนอื่น
ถึงเวลาอาหารเช้าอาหารก็ถูกยกขึ้นว่างบนโต๊ะ สี่แฝดบ้านถานรองเห็นก็ร้องบอกว่านี่คือเมนูโปรดที่ท่านแม่ชอบทำให้กินทุกเช้าอร่อยมาก จวินอ๋องที่ได้ยินคำโอ้อวดของหลานแฝดทั้งสี่ก็ทนไม่ไหวลงมือทานทันที พอทุกคนได้ทานก็บอกว่าอร่อยมากไม่เคยทานไข่แบบนี้มาก่อนเลย
"เจ้านี้ช่างคิดอาหารที่แสนอร่อยออกมาได้หลายอย่างเลยนะไป๋หลิน น้ำที่ข้าดื่มเมื่อตอนอยู่ที่ห้องก็หอมอร่อยยิ่งที่มันมีงาดำผสมด้วยยิ่งอร่อย" จวินอ๋อง
"จริงขอรับ ท่านพี่ ดื่มแล้วรู้สึกร่างกายอบอุ่นดีมากเลย มันเรียกว่าอะไร พี่ขอสูตรจากเจ้าได้ไหม หรือไม่เจ้าก็ถ่ายทอดให้พ่อครัวแม่ครัวในจวนให้พี่หน่อยเถอะ" พระชายาเหนียนฉี
"เรียกว่าน้ำเต้าหู้ขอรับ มีทั้งสูตรธรรมดา สูตรเติมงาดำกับสูตรใบเตย ข้าได้ให้อี้กงกง นางกำนัล และพ่อครัวแม่ครัว จดวิธีการทำพร้อมกับดูข้าทำไปด้วยเรียบร้อยแล้วขอรับ เพื่อจะให้พวกเขาทำให้จวินอ๋อง พระชายาและองค์ชายแฝดได้ดื่มบำรุงร่างกายทุกเช้าขอรับ" ไป๋หลิน
"ดี ๆ พี่ชายคนนี้จะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม ฮ่า ฮ่า" จวินอ๋อง
"พี่รองข้าได้ลองทำน้ำเต้าหู้ตามสูตรที่น้องเล็กจดให้ ทำให้คนในบ้านดื่มมาสักระยะแล้วขอรับ รู้สึกร่างกายแข็งแรงมีแรงทำงานเยอะขึ้นในแต่วันละเลยนะขอรับ" หลิงฉี
"จริงอันนี้ข้ายืนยันได้ เมื่อก่อนข้าขุดดินทำสวนเล็ก ๆ เพื่อปลูกผัก ขุดแปลงไม่ได้ใหญ่แต่กลับรู้สึกเหนื่อยมากเจ้าค่ะ แต่พอได้สูตรทำน้ำเต้าหู้ไปดื่มทุกเช้ารู้สึกว่า ขุดดินไม่เหนื่อยมากสามารถขุดแปลงอื่นได้อีกเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ" เถียนเหมย
"คงจะจริง ดูเจ้าสองคนสิรู้สึกมีน้ำมีนวลขึ้น ผิวพรรณก็ดูสุภาพดี แบบนี้คงต้องลองให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาลองบ้างแล้วละท่านพี่" พระชายาเหนียนฉี
"ได้ ๆ ข้าจะลองนำสูตรไปให้พ่อครัวประจำพระองค์ ให้ทำถวายทุกเช้า" จวินอ๋อง
"ถ้าอย่างนั้นหลังจากเดินชมโรงหมอเสร็จ ลองให้ไป๋หลินเข้าเฝ้าถวายการตรวจฮองเฮาดีไหม พ่ะย่ะค่ะ จวินอ๋อง" เหลียนฉี
"เหลียนฉี เจ้านี้หยุดพูดเป็นทางการกับข้าสักที เจ้าสหายคนนี้" จวินอ๋อง
"ฮ่า ฮ่า ก็แกล้งเจ้าเล่นสนุกดี" เหลียนฉี
ทุกคนทานอาหารแสนอร่อยที่ไป๋หลินทำ พร้อมกับพูดคุยหยอกล้อกัน จนทำให้อาหารเช้ามื้อนี้นอกจากได้ทานของอร่อยยังได้ยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุขทำให้สุขภาพกายสุขภาพใจดีขึ้นไปอีก
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จทุกคนก็เตรียมตัวออกจากจวนจวินอ๋อง เพื่อไปโรงหมอตระกูลหวง การไปโรงหมอครั้งนี้ไปกันหลายคนต้องใช้รถม้าทั้งหมดจำนวนสี่คัน คันแรกมีจวินอ๋อง เหลียนฉี หลัวฟาง และก็ไป๋หลิน คันที่สองมีพระชายาเหนียนฉี องค์ชายแฝดเซียวจ้าน เซียวหลาน และสี่แฝดบ้านถานรอง คันที่สามมีพี่สะใภ้ใหญหลิงฉีกับลูกทั้งสามคน คันสุดท้ายมีพี่สะใภ้รองเถียนเหมยกับลูกอีกสามคนเช่นกัน ส่วนพี่ใหญ่นั้นทำหน้าที่องครักษ์เงาไปมาไร่ร่องรอย ส่วนพี่รองนั้นวันนี้ไม่ว่างตามไปด้วยเนื่องจากถูกเรียกตัวด่วนจากรุ่ยอ๋องให้ไปเข้าเฝ้า
ระหว่างทางจวินอ๋องกับพี่เหลียนฉีได้เล่าประวัติความเป็นมาของโรงหมอตระกูลหวงให้ฟัง จวินอ๋องเล่าว่าโรงหมอแห่งนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยอดีตฮ่องเต้องค์ก่อนแล้ว ผู้ก่อตั้งก็คืออดีตฮ่องเต้ฉางหลงนั้นเองตระกูลหวงก็คือตระกูลผู้ก่อตั้งแคว้นต้าเว่ย คนในแคว้นน้อยคนนักที่จะรู้จักแซ่จริง ๆ ของอดีตฮ่องเต้ตั้งแต่พระองค์แรกจนถึงปัจจุบัน
จวินอ๋องบอกว่าที่จริงแล้วเหตุผลที่ก่อตั้งโรงหมอนั้นเอาไว้รักษาหน่วยลับเท่านั้น แต่กลัวเป็นที่สงสัยจึงสร้างด้านหน้าของโรงหมอเป็นที่รักษาคนทั่วไป ส่วนด้านหลังมีประตูลับเพื่อเข้าไปโรงหมอด้านในจะเป็นพื้นที่สำหรับหน่วยลับ องครักษ์เงา และมือสังหาร ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนของฮ่องเต้ทั้งหมด พี่เหลียนฉียังเล่าเสริมอีกว่าเอาเข้าจริง ๆ หมอที่โรงหมอตระกูลหวงเองก็ไม่มีหมอเก่ง ๆ มากนัก เพราะคัดคนที่เฉพาะไว้ใจได้เท่านั้น บางคนก็เป็นสายลับด้วยเป็นหมอด้วย สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมาจากหมอส่วนใหญ่ที่เรียนจนสำเร็จการศึกษาต่างก็อยากเข้าทำงานสำนักหมอหลวงทั้งนั้น จึงทำให้หาหมอฝีมือดียากมาก ขนาดพี่เหลียนฉีเองเป็นหมอใหญ่ก็จริงแต่ยังเป็นหัวหน้าหน่วยลับอีกด้วย พี่เหลียนฉีบอกว่าเขาเป็นหัวหน้าหน่วยลับก่อนที่จะมาเป็นหมอซะอีก เพราะทรงมีรับสั่งจากฮ่องเต้ให้เขาไปศึกษาที่สำนักหมอเพื่อปกปิดฐานะที่แท้จริง เพื่อสะดวกต่อการปฏิบัติหน้าที่สืบราชการลับ เขาได้แต่บ่นกับสหายอย่างจวินอ๋อง ทำไมต้องมอบหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ให้ด้วย พี่เหลียนฉีบ่นเหมือนตัดพ้อออกมาน่าสงสารจริง ๆ
"แสดงว่าหมอหลวงใหญ่กุมอำนาจหมอทุกคนในเมืองหลวงใช่ไหมขอรับ" หลัวฟาง
"ใช่ เขาอาศัยความที่เป็นพี่ชายของสนมกุ้ยเฟยตระกูลสุ่ย หลานเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา จึงใช่อำนาจเหล่ายุยงปลุกปั่นให้หมอเข้าใจผิดว่าหากทำงานในเมืองหลวงจากก้าวหน้ากว่า หากใครอยากเลื่อนตำแหน่งก็ติดสินบนได้ ที่จริงก็มีการตรวจสอบหลายครั้งนะ แต่ก็รอดมาได้เพราะอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาออกหน้าแทน" เหลียนฉี
"ตระกูลนี้ทำไมดูมีอำนาจมากเลยขอรับ" ไป๋หลิน
"ก็เป็นหนึ่งในตระกูลผู้ร่วมก่อตั้งแคว้นเว่ย ขุนนางบางส่วนจึงให้ความยำเกรง แต่เสด็จพ่อก็เคยพูดไว้ว่าหากหมดรัชสมัยของท่านเมื่อไหร่ให้จับตาคนตระกูลสุ่ยให้ดี" จวินอ๋อง
"แสดงว่าอดีตฮ่องเต้ทรงไม่ไว้วางใจตระกูลสุ่ย แน่เลยขอรับ" หลัวฟาง
"เสร็ดพ่อเคยเล่าว่าตอนแรกตระกูลสุ่ยก็ดูเหมือนจงรักภักดีเหมือนจะเป็นคนดี แต่พอมีอำนาจเงินทองมากขึ้นก็เริ่มออกลาย ท่านพ่อจึงให้คนคอยจับตาดูมาตลอด แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำผิดอะไร แต่เมื่อถึงคราวที่ท่านพ่อสละบัลลังก์ให้พี่ใหญ่ ตระกูลก็เริ่มแผ่ขยายอำนาจคงคิดว่าพี่ใหญ่อ่อนหัด แต่หารู้ไม่ว่าพี่ใหญ่แค่รอเวลาถอนรากถอนโคนทั้งตระกูลเลยต่างหาก" จวินอ๋อง
"คงคิดว่าถ้าหมอทั้งเมืองอยู่ในกำมือหากต้องการก่อกบฏจะลงมือตอนไหนก็ได้" ไป๋หลิน
"เป็นอย่างที่เจ้าคิด พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ นั้นถูกลอบปลงพระชนม์มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จส่วนพยานหรือคนลงมือก็ถูกฆ่าตายปิดปากหมดจับมือใครดมไม่ได้" จวินอ๋อง
"ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนคนเลวมักได้ดีตลอด" ไป๋หลิน
"เจ้าว่าอะไรนะข้าได้ยินไม่ชัด" หลัวฟาง
"ไม่มีอะไรหรอกข้าแค่บ่นไปเรื่อยเปื่อยอย่าใส่ใจเลย" ไป๋หลิน
ไป๋หลินได้ฟังที่จวินอ๋องกับพี่เหลียนฉีเล่าก็ทำให้ตัวเองนึกถึงประเทศบ้านเกิดของตัวเองเมื่อตอนอยู่โลกก่อน คนดีมักถูกรังแกส่วนคนชั่วก็ได้ดิบได้ดีกันมากมาย ไม่นึกว่าพอได้ย้อนยุคมาในยุคโบราณแบบนี้ก็ยังมีอยู่ แสดงว่าคนชั่วก็สามารถฉ้อโกงจนได้ดีเต็มบ้านเต็มเมืองนั้นมีทุกยุคทุกสมัย คิดแล้วก็ได้แต่เหนื่อยใจเท่านั้นแหละ
ทุกคนเดินทางมาถึงโรงหมอตระกูลหวงเป็นที่เรียบร้อย แค่มองผ่านรถเข้าไปด้านในก็เห็นด้านหน้าที่ใช้รักษาผู้คนทั่วไป คนมารอรักษาเยอะมากมีตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา พี่เหลียนฉีเล่าว่าบางคนเดินทางมารอตั้งแต่ยามอิ๋นก็มี ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านในเมืองหลวงกับชาวบ้านจากหมิงโจว เพราะเมืองอื่นถึงไม่มีหมอหลวงไปประจำการที่สำนักหมอประจำเมือง แต่ก็มีโรงหมอที่ตระกูลพ่อค้าสมุนไพรก่อตั้งขึ้นและจ้างหมอที่มีฝีมือมาคอยรักษาผู้ป่วย
จวินอ๋องพาทุกคนเข้าทางประตูลับของโรงหมอแทน หากเข้าด้านหน้าคงต้องวุ่นวายทำความเคารพจนชาวบ้านจะไม่เป็นอันรักษากันพอดี พอเข้าไปด้านในพี่เหลียนฉีก็ได้อธิบายหน้าที่รับผิดชอบและว่าในโรงหมอนั้นต้องมีอะไรบ้างที่ต้องใช้ในการรักษาคน อันไหนสำคัญพี่เหลียนฉีจะเน้นเป็นพิเศษ ส่วนด้านโครงสร้างวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการสร้างก็ให้ผู้ช่วยที่คุมการสร้างมาอธิบายให้ฟังโดยตรง พร้อมกับมอบแบบแปลงตัวอย่างให้ไป๋หลินเอาไปปรับใช้อีกด้วย คนที่จะสร้างไป๋หลินนั้นมีในใจอยู่แล้วนั้นก็คือท่านพ่อสามีจะให้มาคุมการสร้าง แต่ที่ดินจะสร้างเอาไว้กลับไปที่หมิงโจวค่อยไปดูอีกทีว่ามีที่ดินเปล่าตรงไหนประกาศขายบ้างจะได้รีบซื้อไว้
"ทั้งหมดใช้เงินสร้างเท่าไหร่ขอรับพี่เหลียนฉี" ไป๋หลิน
"ก็เกือบเจ็ดหมื่นตำลึงทองเลยล่ะ" เหลียนฉี
"โห! ก็ค่อนข้างเยอะเลยนะ" หลัวฟาง
"ไม่เป็นไร ท่านพี่ลืมไปแล้วเหรอว่าเรามีเงินที่ได้จากกราขายบัวหิมะอยู่นะ" ไป๋หลิน
"จริงด้วยข้าลืมไป ข้าเองก็พอมีเงินเก็บมาสมทบกับเจ้าด้วยเช่นกัน" หลัวฟาง
"เดี๋ยวนะ ไป๋หลินเจ้าบอกว่าเจ้าขายบัวหิมะอย่างนั้นเหรอ" จวินอ๋อง
"ใช่ขอรับ" ไป๋หลิน
"ขายให้กับร้านยาตระกูลเผิงใช่หรือไหม" พระชายาเหนียนฉี
"จริงด้วย เรื่องนี้ข้าลืมส่งข่าวบอกพี่ใหญ่พี่รองกับพี่เขยไปเลย" หลิงฉี
"ทุกคนมัวแต่ดีใจเลยลืมสอบถามนายท่านเผิงว่ามาหาได้อย่างไร" เหลียนฉี
"ข้าว่านะน่าจะเป็นโชคชะตาที่กำหนดไว้ให้ไป๋หลินเป็นผู้ค้นพบบัวหิมะ อีกทั้งยังมาช่วยตระกูลเผิงรอดพ้นจากภัยที่ถูกคู่แข่งกำลังเล่นงานกลั่นแกล้ง พอตระกูลเผิงได้บัวหิมะนำมาถวายทำให้ได้สิทธิ์การค้ายาสมุนไพรไปครึ่งหนึ่งและมีอำนาจต่อรองมากกว่าคู่แข่งหลายเท่า ไม่แน่ข้าว่าไป๋หลินนี้แหละอาจสามารถรักษาอาการของฮองเฮาได้แน่" เถียนเหมย
เถียนเหมยพี่สะใภ้รองของไป๋หลิงเอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนก็เริ่มคิดตาม เพราะเถียนเหมยเก่งด้านวิชาทำนายทายทักหรือทำนายดวง เมื่อคืนเขาลองตรวจดูดวงของน้องสามีดูเหมือนว่าไป๋หลินจะมีดวงนำโชคมาสู่คนรอบข้างและครอบครัว จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอันแสนวุ่นวายต่าง ๆ ในบ้านเมืองได้ ถ้าได้ไป๋หลินช่วยคงจะสามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ตอนนี้ได้แน่ ก่อนหน้าที่น้องเล็กจะหมดสติไปตอนนั้นดวงบอกว่าจะมีดับลงเกิดใหม่ พอไป๋หลินตื่นมาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น เถียนเหมยจึงเชื่อว่าไป๋หลินนี้แหละผู้ที่ช่วยเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองได้ แต่จะเปลี่ยนอย่างไรนั้นต้องรอดูกันอีกที
"ถ้าเป็นตามพี่สะใภ้รองพูดก็ดีสิ ข้าอยากช่วยเหลือทุกคนเลย" ไป๋หลิน
"ดี ถือว่าเป็นคำทำนายที่ดีนะเถียนเหมย ข้าเชื่อเจ้าเพราะเจ้าทำนายทีไรไม่เคยพลาด ไป๋หลินพี่ชายคนนี้จะช่วยเจ้าสร้างโรงหมอเอง ข้าจะออกทุนให้ทั้งหมดทั้งซื้อที่และออกทุนสร้างให้ด้วย ดีหรือไม่" จวินอ๋อง
"ข้าขอบอกว่าไม่ดีขอรับ ข้าว่าออกครึ่งหนึ่งพอเพราะข้าไม่อยากให้ใครมองว่าข้าต้องการเกาะบารมีท่านกับพระชายาเพื่อหวังเงิน อีกอย่างคนที่ชอบอิจฉาอาจว่าร้ายข้าได้ขอรับ ข้าขอให้พี่ชายออกแค่ครึ่งหนึ่งนะขอรับ" ไป๋หลิน
"จริงด้วย ไม่แน่พวกขุนนางโลภอาจเข้าหาเพื่อหวังผลประโยชน์กับบ้านถานรองของเราแน่ ๆ " หลัวฟาง
"ข้าก็ลืมคิดไปเลย ถ้าเช่นนั้นข้าออกให้ครึ่งหนึ่งก็ได้ ส่วนที่ดินนั้นมีที่หนึ่งว่างอยู่เป็นที่ของข้าเองอยู่ข้างสำนักเซาหยางสาขาหมิงโจว เป็นที่ว่างโล่งไม่ได้ทำอะไรข้ายกให้เป็นของขวัญต้อนรับแล้วกัน ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด" จวินอ๋อง
"ก็ได้ขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าจะตอบแทนด้วยการทำยาบำรุงผิวทั้งแบบทาและแบบกินให้นะขอรับ จะได้บำรุงทั้งพี่สะใภ้พระชายาและท่านด้วย" ไป๋หลิน
"ดีเลย ข้ารับรองอีกคนว่ายาที่น้องเล็กทำนั้นดีจริง" หลิงฉี
"ข้าก็ด้วย ท่านดูนี้สิรอยแดงจากแผลที่ถูกน้ำมันกระเด็นใส่ยังจางลงเลย" เถียนเหมย
"ทาทุกวันเช้าเย็นรอยจะหายไปแน่นอนขอรับ" ไป๋หลิน
เดินดูโรงหมอกันไปสักพักก็มีรับสั่งด่วนจากทางวังหลวงว่าอาการของฮองเฮากำเริบอีกแล้ว ฮ่องเต้ต้องการตัวท่านหมอใหญ่เหลียนฉีโดยด่วน ทุกคนจึงต้องเดินทางเข้าวังหลวงทันที
พอไปถึงวังหลวงพระชายาเหนียนฉี พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองพาเด็ก ๆ ไปรอที่พระตำหนักรับรอง ส่วนจวินอ๋อง พี่เหลียนฉี หลัวฟางและไป๋หลิน รีบไปที่พระตำหนักคุนหนิงซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮา เมื่อถึงขันทีก็เรียกขานขออนุญาตเข้าเฝ้าทันที
"น้องรอง เหลียนฉี พวกเจ้ามาแล้วหรือ" ฮ่องเต้หลงเห่อ
"เสด็จพี่ พี่สะใภ้ทรงเป็นอย่างไรบ้าง พ่ะย่ะค่ะ" จวินอ๋อง
"ปวดท้องขึ้นมาอีกตามเคย พอได้ดื่มยาที่สกัดจากบัวหิมะก็พอทุเลา แล้วทั้งสองคนด้านหลังคือใคร" ฮ่องเต้หลงเห่อ
"ถานหลัวฟางกับถานไป๋หลิน พ่ะย่ะค่ะ" เหลียนฉี
"ทั้งสองคนคือสามีภรรยาที่เคยช่วยชีวิตกระหม่อมไว้ ที่สำคัญไป๋หลินเป็นหมอที่เก่งมากและเป็นคนที่หาบัวหิมะมาขายให้ตระกูลเผิง พ่ะย่ะค่ะ" จวินอ๋อง
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าสามารถช่วยตรวจดูอาการของฮองเฮาได้หรือไม่" ฮ่องเต้หลงเห่อ
"ได้พ่ะย่ะค่ะ แต่ฟังจากที่พี่เหลียนฉีเล่าอาการมาคร่าว ๆ ระหว่างเดินทางมา ฮองเฮาน่าจะเป็นโรคกระเพาะอักเสบ การตรวจจะต้องมีการถอดอาภรณ์ กระหม่อมขอให้บุรุษรอด้านนอกเหลือไว้เพียงนางกำนัลกับหมัวมัวสักสามสี่คนก็พอ พ่ะย่ะค่ะ" ไป๋หลิน
"ได้ ๆ ฟู่กงกงรีบไปเตรียมการเร็วเข้า" ฮ่องเต้หลงเห่อ
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท" ฟู่กงกง
"ข้าไปด้วยดีกว่าขอรับ ไปกันเถอะฟู่กงกง" ไป๋หลิน
จากนั้นไป๋หลินกับฟู่กงกงก็รีบเข้าไปเตรียมการรักษาทันที เมื่อทุกอย่างพร้อมไป๋หลินก็ตรวจดูชีพจรของฮองเฮา ก็พบว่าเป็นโรคกระเพาะจริง สาเหตุหลักของโรคกระเพาะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคที่พบมากคือ การใช้ชีวิต ความเครียด ความกังวล รวมถึงวิถีชีวิตในด้านการรับประทานอาหารที่ไม่ดีและการละเลยสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การอดอาหาร การรับประทานอาหารรสจัดเป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง เพราะหากละเลยอาการจนในที่สุดจากอาการปวดท้องเพราะกรดในกระเพาะอาหารอาจมีภาวะแทรกซ้อนเลือดออกในกระเพาะอาหารและกระเพาะลำไส้เป็นแผลทะลุได้ แต่ด้วยความที่ในยุคนี้การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้าหมอไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ อาศัยเพียงแค่ดูอาการและจัดยาที่น่าจะพอบรรเทาอาการให้ผู้ป่วยได้เท่านั้น นี้อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่มักทำให้ผู้ป่วยอาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ
ไป๋หลินได้ทำการฝังเข็มบรรเทาอาการปวดให้ฮองเฮา พร้อมจัดเทียบยาสมุนไพรที่สามารถรักษาโรคกระเพาะโดยตรง มีขมิ้นชัน มะตูม ว่านหางจระเข้ และลูกยอ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายวิธีปรุงก็ง่ายและล้วนแต่มีสรรพคุณเยียวยาโรคกระเพาะอาหาร เพียงแค่ทานทุกวันประจำอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ทั้งยังตรวจพบว่าร่างกายของฮองเฮาค่อนข้างที่จะขาดสารอาหารด้วย ไป๋หลินจึงจัดทำตารางทานอาหารให้อย่างละเอียด ที่สำคัญยังจะทำเมนูที่สำหรับคนเป็นโรคกระเพาะอักเสบสามารถทานได้ให้ฮองเฮาเสวยวันนี้ด้วย และจะจดสูตรให้พร้อมกำกับว่าอาหารเมนูนี้ทานเวลาไหนมื้อไหนบ้างด้วย
ฮองเฮาพอได้เจอหน้าไป๋หลินทรงยิ้มด้วยความเอ็นดูเหมือนมีอะไรหลายอย่างอยากจะพูดด้วย แต่เนื่องจากพระอาการประชวรจึงทำให้เหนื่อยมากไม่ค่อยมีแรง ฮองเฮาจึงทำได้เพียงพูดเบา ๆ และพยักหน้าตอบเวลาที่ไป๋หลินถามอาการ ฮองเฮาเกาเฟยหย่าทรงเป็นเกอคนแรกที่ได้อยู่ในตำแหน่งฮองเฮาของแคว้นต้าเว่ย ทรงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หลงเห่อและทรงเป็นรักแรกอีกด้วย ทั้งยังทรงเคยออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของบิดามาก่อนที่จะได้รับตำแหน่งฮองเฮา ด้วยการศึกระหว่างแคว้นที่ค่อนข้างตึงเครียดจึงทำให้ทานอาหารไม่ตรงเวลาและมักทานอาหารที่ไม่สะอาด จึงส่งผลระยะยาวมาในปัจจุบันทำให้เกิดโรคกระเพาะอักเสบได้
ฮองเฮาเกาเฟยหย่าพระองค์ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระสนมเอกเกาเถียนเจินกับพี่สะใภ้รองเกาเถียนเหมย ฮองเฮาอายุ 32 ปี พระสนมเอกเกาเถียนเจินอายุ 31 ปี เป็นพระสนมเกอที่ทรงโปรดของฮ่องเต้เช่นกัน ส่วนฮ่องเต้หลงเห่อ 33 ปี ทั้งสองพระองค์เป็นที่รักของฮ่องเต้มาก ฮองเฮาเกาเฟยหย่ามีพระโอรสหนึ่งพระองค์คือไท่จื่อเฟยหลงอายุ 15 ปี ดำรงตำแหน่งรัชทายาทในตอนนี้ มีพระโอรสเกออีกหนึ่งพระองค์องค์ชายเฟยซินอายุ 14 ปี พระสนมเอกเกาเถียนเจินทรงมีองค์ชายแฝดคนพี่เป็นบุรุษองค์ชายเถียนอัน คนน้องเป็นเกอองค์ชายเถียนไป๋ ทั้งคู่อายุ 9 ขวบกำลังน่ารักน่าเอ็นดู
พอรักษาเสร็จไป๋หลินก็ออกมาบอกข่าวดีกับทุกคนพร้อมทั้งยังตรวจชีพจรของฮ่องเต้กับพระสนมเอกที่ตามมาทีหลังอีกด้วย พบว่าทั้งสองพระองค์เองก็มีอาการเครียดมากเช่นกัน ทั้งร่างกายก็ขาดสารอาหาร ไป๋หลินจึงจัดการเมนูบำรุงให้ทั้งสองพระองค์อีกด้วย ขาทองคำเพิ่มมาอีกสามขาขนาดนี้ต้องกอดแน่น ๆ เข้าไว้
ทุกคนอยู่พูดคุยในวังจนถึงช่วงเย็นฮ่องเต้หลงเห่อไป๋หลินจึงเข้าครัวทำอาหารให้ทุกคนได้ทาน ฮองเฮาที่อาการดีขึ้นพระองค์ทรงมาร่วมเสวยอาหารเย็นพร้อมกับทุกคนด้วย แต่ไป๋หลินปรุงแบบจืดรสไม่จัดให้ฮองเฮาโดยเฉพาะ แต่ฮองเฮาเฟยหย่าทรงทานได้เยอะกว่าปกติมาก จนฮ่องเต้เอ่ยปากชมไป๋หลินว่าเก่งที่สามารถปรุงอาหารได้ถูกปากคนป่วย นอกจากฮองเฮาแล้ว ฮ่องเต้ พระสนมเอกและพระโอรสต่างก็เจริญอาหารเป็นพิเศษ เนื่องด้วยทรงดีใจที่อาการของฮองเฮาดีขึ้นทั้งมีอาหารที่แปลกตาแต่รสชาติอร่อยจึงทำให้ทานกันได้ค่อนข้างเยอะ มื้ออาหารเย็นผ่านไปทุกคนต่างก็ร่วมฉลองกันต่อในวังแต่จะขาดพี่รองที่ยังคงอยู่ที่จวนของรุ่ยอ๋อง
"อาหารวันนี้ที่เจ้าทำอร่อยมากเลย ข้าทานได้เยอะกว่าปกติมาก" ฮ่องเต้หลงเห่อ
"นั้นสิ กระหม่อมก็ชอบมากหน้าตาแปลกไม่เคยเห็นที่ไหน แต่อร่อยอย่างเหลือเชื่อ เจ้าเก่งขึ้นมากทำอาหารก็อร่อย ยังเป็นหมอฝีมือดีอีก ยิ่งโตก็ยิ่งงาม ดูสิสี่แฝดก็น่ารักมาก" ฮองเฮาเฟยหย่า
"นั้นสิ ตระกูลจางต้องภูมิใจในตัวเจ้าแน่ เห็นว่าเป็นหมอขั้นสามใช่หรือไม่" พระสนมเอกเถียนเจิน
"ใช่ขอรับ" ไป๋หลิน
"ท่านพี่ทั้งสองน้องขอให้เลื่อนขั้นกับไป๋หลินได้ไหมขอรับ" พระสนมเอกเถียนเจิน
"ได้สิ พี่คิดไว้อยู่แล้วว่าจะเลื่อนขั้นให้เป็นหมอขั้นสอง ได้ยินว่าเซียวเห่อรับเจ้าเป็นน้องบุญธรรม ก็เท่ากับว่าเจ้าก็เป็นน้องบุญธรรมของข้าด้วย ต่อไปมีปัญหาอะไรมาปรึกษาข้าได้ตลอด" ฮ่องเต้หลงเห่อ
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" ไป๋หลิน
ฮ่องเต้หลงเห่อ ฮองเฮาเฟยหย่าและพระสนมเอกเถียนเจินต่างก็เคยพบเจอไป๋หลินมาแล้วเมื่อตอนยังเด็ก ทุกคนต่างก็ตกหลุมรักในความขี้อ้อนของไป๋หลินน้อยในตอนนั้น มีคนรักมากมายขนาดนี้ทำไมเจ้ายังทำตัวไม่ดีอีกนะไป๋หลิน ทุกคนรอบกายเจ้าก็มีแต่คนดีทั้งรักและเอ็นดูเจ้ามาก แต่เพียงแค่ผู้ชายคนเดียวที่มาหลอกหวังผลประโยชน์จากเจ้าก็เชื่อไปซะทุกอย่าง ดีนะว่าคนบ้านลี่ไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของตระกูลจางไม่เช่นนั้นคงจะวุ่นวายมากแน่
ไป๋หลินจึงได้เลื่อนขั้นเป็นหมอขั้นสองตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ส่วนหนังสือแต่ตั้งและป้ายประจำตำแหน่งจะมอบให้ภายหลังก่อนกลับไปหมิงโจว แต่ฝ่าบาทได้มอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้เป็นของขวัญไว้ก่อน โดยไป๋หลินและครอบครัวสามารถเข้าออกวังหลวงได้ตามสบาย ทั้งยังจะมอบที่ดินทำกินให้บ้านตระกูลถานกับตระกูลจางอีกด้วย ชอบจังพี่ชายบุญธรรมสายเปย์ ไป๋หลินคิดว่าอย่างน้อยที่ดินที่ทางการมอบให้ส่วนของเขา ไป๋หลินจะเก็บไว้ให้ลูก ๆ ส่วนเงินประจำตำแหน่งเขาจะแบ่งให้บ้านถานใหญ่ บ้านสวี บ้านอู๋ และบ้านจูเพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยเหลือในทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมา
หลัวฟางคิดในใจนี้เขามีพี่เมียเพิ่มอีกแล้วคราวนี้นับญาติกันไม่หวาดไม่ไหวแน่ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาพอเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ดูเหมือนโชคลาภจะเข้าหาภรรยาเขาตลอด หรือเรื่องที่ท่านเจ้าอาวาสเฉียนกงไต้ซือเคยทักจะเป็นจริง ตอนที่แต่งงานกับไป๋หลินช่วงแรก ๆ ท่านแม่พาเขากับไป๋หลินไปทำบุญที่วัดซ่งซาน จู่ ๆ ท่านเจ้าอาวาสเฉียนกงไต้ซือก็พูดกับหลัวฟางแปลก ๆ ว่า อีกไม่นานเขาก็จะดับไปตามกรรมแล้วกลับมาใหม่และดีกว่าเดิม ถึงคราวนั้นเขาจะเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริงของโยม รออีกสักหน่อยนะผ่านอุปสรรคตรงนี้ไปได้โยมจะเจอกับความสุขที่แท้จริง จะเจอกับคนที่รักโยมและโยมรักเขาโดยไม่มีข้อแม้
สงสัยสิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสทักในวันนั้นจะเป็นจริง ไป๋หลินคือคู่แท้ของเขาจริง ๆ เขาเองก็เชื่อสนิทใจ ถึงแม้เมื่อก่อนจะไม่ชอบในตัวของไป๋หลินมากแค่ไหน แต่เขาเองก็ตัดใจหย่าขาดไม่ลงสักที เหมือนใจหายทุกครั้งพอนึกถึงหรือคิดที่หย่าขาดกับอีกฝ่าย อาจเป็นส่วนลึกในใจที่เขามีความรู้สึกดี ๆ ให้กับไป๋หลินในตอนนั้น แต่ถูกวันนี้ต่อให้ไป๋หลินเป็นฝ่ายมาขอหย่าเขาก็ไม่ยอมหย่าเด็ดขาด
เมื่อการฉลองจบลงทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันพักผ่อน ทุกคนตกลงว่าคืนนี้จะพักกันในวัง อีกทั้งองค์รัชทายาททรงจะเอ็นดูสี่แฝดกับพี่ ๆ บ้านจางทั้งน่ารักสดใสและขี้อ้อนแบบนี้ใครจะไม่หลงกันละ จึงอยากให้อยู่เล่นและพูดคุยด้วยกันก่อนสักหลายวันยิ่งดี
พอรุ่งเช้าทุกคนกำลังทานอาหารที่ไป๋หลินทำ การมาเมืองหลวงครั้งนี้นอกจากเป็นหมอแล้วยังเป็นพ่อครัวประจำจวนจวินอ๋องแล้วยังเป็นพ่อครัวประจำวังหลวงอีก ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุกที่ได้ทำอาหารเพราะตอนที่เป็นหน่วยรบพิเศษเขามักจะหาเวลาว่างทำอาหารทำขนมแจกจ่ายคนในค่ายอาสา บางครั้งก็ทำแจกชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่เขตชายแดนเป็นประจำ เหมือนเป็นการฝึกไปไหนตัวและทบทวนสูตรของคุณยายไปด้วย
ระหว่างที่ทานอาหารเช้าก็มีข่าวด่วนจากศาลต้าเว่ยมารายงานจวินอ๋องกับพี่เหลียนฉี มีคนพบศพชาวบ้านห้าคนลอยมาติดท่าน้ำที่ชานเมือง อีกทั้งยังมีข่าวลือเกี่ยวกับผีน้ำออกอาละวาดอีกด้วย จึงอยากให้ท่านหมอใหญ่เหลียนฉีไปดูศพ พอไป๋หลินได้ยินก็ขอตามไปด้วยเพราะเขาสามารถวินิจฉัยการตายของศพได้ เพราะตอนอยู่โลกเดิมภัสกรยังได้เรียนด้านนิติเวชมาด้วยคงจะช่วยงานทั้งสองท่านได้มากแน่นอน หลัวฟางเมื่อรู้ว่าไป๋หลินไปเขาก็ต้องไปด้วยแน่นอน ส่วนลูก ๆ สามารถฝากพี่สะใภ้ดูแลได้ ทั้งสี่คนจึงรีบเดินทางไปที่ศาลต้าเว่ยทันที ข้าว่าแล้วทำไมเมื่อเช้าถึงมีลางสังหรณ์แปลก ๆ ที่แท้ก็มีเรื่องที่ต้องช่วยคนนี้เอง หลัวฟางเองก็คิดในใจว่าตั้งแต่มาเมืองหลวงภรรยาเขายังไม่ได้พักเลยมีเรื่องให้ต้องช่วยคนทุกวัน
"ไม่น่าละตอนทำอาหารเช้าในใจมีลางสังหรณ์แปลก ๆ มีเรื่องต้องทำความดีนี่เอง เอาละงานนี้คงต้องขุดเค้นเอาวิชาความรู้ออกมาให้ได้มากที่สุด" ไป๋หลิน
"วิชาอะไรเหรอ" หลัวฟาง
"ก็วิชาที่ท่านเซียนสอนข้านะสิท่านพี่ ท่านสอนข้าดูบาดแผลบนร่างกายของศพด้วย ว่าตายธรรมดาหรือถูกทำร้ายจนตาย ท่านเซียนสอนให้ข้าแยกแยะให้ออกเพื่อสามารถช่วยสืบคดีได้ ท่านคงเห็นว่าข้าต้องมาช่วยทางการอย่างในวันนี้ ท่านถึงได้สอนให้ข้า" ไป๋หลิน
หลัวฟางถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมเชื่อภรรยาทุกอย่าง ตอนนี้หลัวฟางหลงเมียมาก็ว่าได้เขาอยากกลับหมิงโจวเร็วจังเพราะเขาอยากหลอกกินเต้าหู้ไป๋หลินจะแย่ หลัวฟางยอมรับว่าหลังจากคืนที่เขาได้ร่วมรักกับไป๋หลินในอ่างน้ำที่จวนจวินอ๋องในหัวตอนนี้เขาอยากมีเวลากับภรรยาสองต่อสองมากขึ้นอยากกอดอยากดมกลิ่นหอมของดอกถาวฮวามาก แต่ก็ต้องทำใจในเมื่อมีภรรยาเก่งจึงทำให้เวลาว่างน้อยลง
พระตำหนักลิ่วกง
"เจ้าว่าอย่างไรนะอาการของฮองเฮาดีขึ้นแล้ว ใครเป็นคนรักษา" สุ่ยกุ้ยเฟย
"เป็นน้องชายบุญธรรมของจวินอ๋อง พ่ะย่ะค่ะพระสนม" จั่วกงกง
"ตายยากตายเย็นจริง ๆ ส่งข่าวไปบอกพี่ข้าเร็วเข้า ว่าจะทำอะไรก็รีบทำก่อนจะสายเกินไป" สุ่ยกุ้ยเฟย
"พ่ะย่ะค่ะพระสนม" จั่วกงกง
"ค่อยดูเถอะตำแหน่งฮองเฮาต้องเป็นของข้าให้ได้" สุ่ยกุ้ยเฟย
สุ่ยกุ้ยเฟยน้องสาวของหมอหลวงใหญ่และเป็นหลานสาวของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา ผู้ที่คอยหาจังหวะจะแย่งตำแหน่งฮองเฮาตลอดเวลา นางต้องการอำนาจฝ่ายในเพื่อผลประโยชน์ต่อตระกูลสุ่ย ไม่ว่าวิธีไหนก็ตามหรือจะเลวร้ายสักเพียงใดนางก็ยอมทำเพื่ออำนาจเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่นางใฝ่ฝัน
เมื่อถึงกำหนดวันเดินทางกลับเมืองหมิงโจวทุกคนออกเดินทางกันแต่เช้า ฮ่องเต้เปลี่ยนใจจากที่ตอนแรกจะมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง แต่ทรงเปลี่ยนพระทัยไปเมืองหมิงโจวก่อนแล้วค่อยกลับเมืองหลวง พี่หลงเห่อต้องการไปดูการเปลี่ยนแปลงของสำนักหมอหลวงประจำเมืองด้วย ทั้งยังจะเดินทางไปที่วัดซ่งซานเพื่อทำบุญขอพรให้ราษฎรแคว้นเว่ยมีความสุขกินดีอยู่ดีไม่อดอยาก ขอให้ประชาชนสุขกายสุขใจ ไป๋หลินได้ฟังเหตุผลของพี่หลงเห่อแล้ว ก็ได้แต่ชื่นชมว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีมีเมตตาและรักราษฎรเป็นห่วงราษฎรอย่างแท้จริงพอถึงเมืองหมิงโจวทุกคนก็แยกย้ายกับกลับบ้านไปพักผ่อน เพราะร่างกายเหนื่อยล้าจากการเดินทางเป็นอย่างมาก สี่แฝดที่พอกลับถึงบ้านหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยไม่ออกไปเล่นกับพี่ ๆ บ้านใหญ่เลย บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าขอนอนกลางวันก่อน พอตื่นถึงจะเอาของเล่นไปให้พี่ชายพี่สาวบ้านใหญ่ บ้านอู๋ บ้านสวี และบ้านจู ไป๋หลินจึงบอกว่าจะพาสี่แฝดไปเองจะเอาของฝากไปให้บ้านใหญ่ และยังแบ่งไปให้พี่สามพี่สี่และพี่ห้าอีกด้วยเมื่อพักผ่อนเต็มที่ทุกคนก็กลับมาทำหน้าที่ทำงานของตัวเอง พอไป๋หลินเข้าเมืองไปที่โรงหมอก็ได้ยินข่าวลือแปลก ๆ จากชาวบ้านที่มารักษา เล่ากันว่ามีคนพบ
เมื่อปิดคดีผีน้ำได้สำเร็จพี่หลงเห่อบอกว่าจะพาอยู่เที่ยวที่หลางโจวต่ออีกสักสองอาทิตย์ค่อยเดินทางกลับเมืองหลวง ไป๋หลินได้ยินแบบนั้นก็ดีใจมากเพราะยังเดินสายกินของอร่อยยังไม่ครบทั่วเมืองหลางโจวเลย สี่แฝดบ้านถานรองพอได้ยินว่าท่านลุงฮ่องเต้จะพาอยู่เที่ยวต่อก็ดีใจกันยกใหญ่ รีบไปอ้อนท่านพ่อท่านแม่พาออกไปเที่ยวตลาดพร้อมบอกว่าอยากได้ของเล่นที่มีขายในเมืองนี้และขนมไปฝากพี่ ๆ บ้านใหญ่ ทั้งอยากได้ของฝากไปให้ท่านปู่ท่านย่า ฝากท่านลุงท่านป้าทุกคนด้วย นับวันสี่แฝดก็ยิ่งฉายแววฉลาดและกตัญญูรู้คุณจริง ๆ รู้จักแบ่งปันและนึกถึงผู้มีพระคุณว่าใครที่เคยดีกับพวกเขา หลัวฟางกับไป๋หลินเห็นลูกทั้งสี่เป็นเด็กดีแบบนี้ก็ยิ่งปลื้มใจมากหลังมื้ออาหารเช้าครอบครัวบ้านถานรองก็ขอตัวออกมาเดินเที่ยวย่อยอาหารที่ตลาดท่าเรือ วันนี้ไป๋หลินตั้งจะไปหาเคยมาทำกะปิเอากลับไปหมิงโจวด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจดสูตรเอาไว้ให้พี่จงเห่อหาคนช่วยทำให้ แล้วค่อยส่งกะปิที่ได้ไปให้เขาที่เมืองหมิงโจวอีกที หรือไม่ก็ให้พี่จงเห่อช่วยหาคนตากเคยแตกส่งไปให้ก็ได้ ถึงจะทำไว้ใช้เองจำนวนมากแต่คนที่ชอบอาหารทำจากกะปิแบบเขามันต้องหมดภายในไม่กี่สัปดาห์แน่นอน หาก
เมื่อองครักษ์วิ่งเข้ามาถวายการรายงานว่ามีคนพบร่างนางกำนัลในจวนเสียชีวิตที่แม่น้ำท้ายจวนอีกแล้ว ไป๋หลินและทุกคนที่เคยไขคดีผีน้ำที่วังหลวงพร้อมด้วยตวนอ๋อง ทั้งหมดพากันตรงไปที่ท้ายจวนทันทีเพื่อไปดูศพของเหยื่อ พอไปถึงก็เห็นว่าเป็นนางกำนัลของจวนตวนอ๋องที่ชื่อว่าหนิงจิงไป๋หลิน หลัวฟางและจวินอ๋องไม่รอช้าเขาไปตรวจดูศพ แล้วก็พบว่าที่คอของเหยื่อมีรอยเข็มปักอยู่ที่คอจริง ๆ เหมือนกับศพในคดีผีน้ำที่เมืองหลวงเลย แต่ต้องตรวจดูก่อนว่าพิษที่ใช้นั้นเป็นตัวเดียวกันกับในคดีของอดีตหมอหลวงใหญ่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นพิษตัวนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้เนื่องจากคนปรุงยาได้ถูกประหารชีวิตและถูกจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว ไป๋หลินกลัวจะเป็นคดีเลียนแบบและน่าจะเป็นพิษตัวใหม่ที่คิดค้นขึ้นมา อย่างไรก็ต้องเจาะเลือดไปตรวจก่อน หากเป็นพิษตัวใหม่จริงงานนี้คงต้องทำยาถอดเตรียมไว้หลายชุดแล้วสิ"ข้าว่าคนร้ายคงใช้วิธีซัดเข็มพิษเข้าตัวเหยื่อ ในตอนที่เหยื่อยังไม่ทันตั้งตัว แค่เข็มเดียวก็สามารถตายได้ขนาดนี้ ดูท่าพิษน่าจะร้ายแรงกว่าพิษของคดีผีน้ำที่เมืองหลวงนะขอรับ" หลัวฟาง"ข้าคิดว่าน่าจะเป็นคดีเลียนแบบ ส่วนตัวพิษน่าจะเป็นพิษตัวใหม่ที่คิดค้นขึ
เมื่อถึงกำหนดเดินทางออกจากเมืองฝูโจวเพื่อไปเมืองหลางโจว ก็ใช้เวลาเดินทางสี่วันสี่คืนก็ถึงเมืองหลางโจว พอถึงจวนเจ้าเมืองตวนอ๋องก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับพระชายาและองค์ชายน้อยทั้งสามพระองค์ คณะพ่อค้าตระกูลหวงถึงเมืองหลางโจวในยามมื้อเที่ยงพอดี ตลอดทางมีแวะพักตามอำเภอต่าง ๆ เพื่อไม่เร่งรีบจนเกินไปอาจทำให้ทุกคนเหนื่อยได้ตวนอ๋องหรืออดีตองค์ชายห้า จงเห่อ อายุ 27 ปี พระโอรสร่วมอุทรเดียวกันกับฮ่องเต้ จวินอ๋อง รุ่ยอ๋อง และฉินอ๋อง ตวนอ๋องมีพระชายาเป็นญาติกับฮองเฮาเฟยหย่า พระชายาเกาเจียวจิน อายุ 26 ปี ทรงมีพระโอรสแฝดและพระธิดาหนึ่งพระองค์ โอรสองค์โตแฝดพี่เป็นเอกบุตร องค์ชายจงเอิน อายุ 10 ขวบ แฝดน้องเป็นบุตรเกอ องค์ชายจงหมิง อายุ 10 ขวบ และคนสุดท้ายเป็นพระธิดา องค์หญิงจงฝู อายุ 8 ขวบตวนอ๋องเป็นสหายรักของพี่ใหญ่ไป๋อัน จึงไม่แปลกที่จะเอ็นดูไป๋หลินเหมือนน้องชายแท้ ๆ พอรู้ว่าฮ่องเต้ จวินอ๋องและรุ่ยอ๋องรับไป๋หลินเป็นน้องบุญธรรม ตวนอ๋องจะน้อยหน้าได้อย่างไรก็ต้องรับไป๋หลินเป็นน้องบุญธรรมด้วยอีกคน สี่แฝดที่คิดในใจว่าแล้วว่าพวกเขาทั้งสี่ต้องมีท่านลุงเพิ่มมาอีกแน่นอน ญาติเยอะจริง ๆ แค่นี้ก็นับกันไม่ไหวแล้วว่า
ขบวนพ่อค้าตระกูลหวงได้ออกจากอำเภอหลินจือในยามเหมา เพื่อที่วันนี้ตั้งใจจะพากันไปแวะเที่ยวและหยุดพักค้างคืนที่อำเภอซินเจิ้งในเมืองฝูโจว เพราะที่นั่นมีน้ำตกที่ไหลมาจากภูเขาฝังเข็มชะลอยงซานทิวทัศน์สวยงาม ยังมีบ่อน้ำพุร้อนได้ให้แช่คลายเหนื่อยหลายบ่อ ไป๋หลินได้ยินที่พี่หลงเห่อบอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อน เขาก็ถึงกับตาโตอยากให้ถึงอำเภอซินเจิ้งแล้วสิ อยากไปแช่น้ำร้อนคลายเหนื่อยเหมือนกัน สมัยยังเป็นภัสกรหากมีโอกาสได้หยุดพักร้อนเขามักจะบินไปเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อไปแช่ออนเซ็นคลายปวดเมื่อยตามร่างกาย เพราะงานของภัสกรนั้นมีทั้งความเครียดและใช้ร่างกายอย่างหนัก จึงต้องหาวิธีบำบัดที่ทำให้ร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นตัวเร็วขึ้นในที่สุดไป๋หลินกับขบวนก็เดินทางถึงอำเภอซินเจิ้งในช่วงเที่ยงพอดี จึงได้เข้าพักโรงเตี๊ยมประจำอำเภอที่ใกล้กับบ่อน้ำพุมากที่สุด บ่อน้ำพุที่อำเภอซินเจิ้งนั้นเกิดโดยธรรมชาติ ใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปแช่ได้แต่ถ้าบ้านใครโชคดีหน่อยมีบ่อน้ำพุในพื้นที่ของตัวเองก็สามารถเปิดโรงเตี๊ยมให้แขกมาพัก พร้อมใช้บริการแช่น้ำพุงร้อนได้ วันนี้ขบวนพ่อค้าตระกูลหวงเลือกพักที่โรงเตี๊ยมเฉิงไฉ โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่สุดในอำเภอซินเจ
หลัวฟางกับไป๋หลินช่วงนี้ไม่ว่างเลยงานรัดตัวไปหมด ทั้งงานที่โรงหมอก็ยุ่งมากผู้คนมารักษากันเยอะส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่ไม่ค่อยมีเงินมารักษา แต่ไป๋หลินก็ไม่ได้เก็บค่ารักษาแต่อย่างใด เพราะไป๋หลินประกาศไปแล้ว ชาวบ้านยากจน คนเร่ร่อนหรือแม้แต่ขอทาน หากเจ็บป่วยมารักษาได้ไม่คิดเงิน แถมโรงหมอกังอันยังมีน้ำแกงกับหมั้นโถแจกให้กินอิ่มท้องอีกด้วย บางวันก็จะเป็นโจ๊กไก่หรือโจ๊กหมูสลับหมุนเวียนกันไป หากถามว่ารักษาแล้วไม่เอาเงินกับผู้ป่วยจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าแรงของหมอกับคนงานกันล่ะ เงินของไป๋หลินกับหลัวฟางมีมากอยู่แล้ว ไป๋หลินได้เงินจากการเป็นขุนนางระดับสูงและการรักษาพวกขุนนางกับเศรษฐีรักษาครั้งหนึ่งก็ได้เงินหลายตำลึงทองส่วนหลัวฟางก็ได้เงินจากการค้าสมุนไพรมาช่วยภรรยาอีกแรง เพราะก่อนที่โรงหมอจะสร้างเสร็จแล้วเปิดทำการ หลัวฟางได้มีกิจการการค้าสมุนไพรขายโดยที่หลัวฟางเป็นคนปลูกสมุนไพรเอง เอาไว้รักษาคนไข้ในโรงหมอกังอันและเอาไว้ขายให้กับโรงหมอเจ้าอื่น ๆ และส่งขายให้กับร้านยาตระกูลเผิงอีกด้วย แต่ตั้งได้ฝึกพลังลมปราณคลื่นบูรพาหลัวฟางรู้สึกว่ามีพละกำลังมากขึ้น บวกกับการทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ภรรยาทำให้ทานทุกเ