LOGINจินฝูที่เห็นว่าตนเองรอดเงื้อมมือมารมาได้แล้ว จึงรีบกลับมาที่เรือนพักของตนตามที่พ่อบ้านตู้บอก เพราะพวกนางไม่ได้มีฐานะสูงส่งอันใด เรียกได้ว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยการดูสีหน้าผู้คนจึงไม่อาจเรียกร้องสิ่งใดได้ จินฝูเองไม่คิดหวังความโปรดปราณจากท่านอ๋องเช่นกัน แม้แต่ไก่ตัวเดียวเขายังเกือบจะฆ่านางตาย คนเช่นนี้จ้างนางด้วยทองนางยังไม่อยากจะไปรับใช้เขาเลย
"จินฝู ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่รอดกลับมาเสียแล้ว"
"นั่นสิ พวกเราสองคนตกใจแทบตายเจ้านี่ก็ช่างใจกล้านัก อยู่ๆ ไปจับข้าวของในจวนอ๋องส่งเดช เอาความกล้ามาจากที่ใดกัน"
จินฝูเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย สตรีน้อยสองนางนี้มีชื่อว่าฉินเซียงและซ่งเอ๋อร์เป็นสหายสนิทของเจ้าของร่างเดิม เมื่อนางเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วพบว่าฉินเซียงและซ่งเอ๋อร์นิสัยดี จินฝูจึงคบหาพวกนางได้อย่างสนิทใจ ฉินเซียงและซ่งเอ๋อร์เป็นหญิงสาวที่มาจากครอบครัวชาวนาเหมือนกันกับนาง ตอนที่นางมาเกิดใหม่ในร่างนี้ก็ได้สองคนนี้ช่วยในหลายๆ เรื่อง
นับว่าโชคดีที่พวกนางทั้งสามคนได้พักอยู่ห้องเดียวกัน
"ข้าหิว จึงตาลายไปหน่อย"
จินฝูเอ่ยตอบส่งๆเพื่อให้จบเรื่องจบราว ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกนางไม่อยากสนทนากันให้มากความเพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ทำงานในวันพรุ่งนี้ อีกทั้งยังต้องตื่นแต่เช้าด้วย หากตื่นไม่ทันเกรงว่าอาจจะถูกทำโทษเอาได้
ต้นยามเหม่าของเช้าวันต่อมา จินฝูก็ได้ยินเสียงไก่ขันพร้อมกับเสียงปลุกของพ่อบ้านตู้ พวกนางรีบลุกขึ้นมาจัดการตนเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงแยกย้ายกันไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
นางกำนัลที่ส่งมาครั้งนี้มีทั้งหมดยี่สิบคน พ่อบ้านตู้แบ่งสาวงามสิบคนแรกไปกวาดถูตามเรือนต่างๆ ส่วนอีกห้าคนให้ไปที่โรงครัว และกลุ่มสุดท้ายห้าคนที่เหลือคือกลุ่มของจินฝู ถูกส่งไปทำงานที่สวนหลังจวนเพื่อดูแลดอกไม้และกวาดเศษใบไม้ งานของนางนอกจากกวาดใบไม้ดูแลดอกไม้ใบหญ้าแล้ว ก็ไม่มีอันใดให้ทำอีก เรียกได้ว่าค่อนข้างสบายอยู่ไม่น้อยเลยเชียว
นางไม่อยากทำตัวโดดเด่น ไม่อยากกลายเป็นสตรีที่เขาหมายตาเลยแม้แต่น้อย นางขอเป็นเพียงนางกำนัลน้อยผู้แสนน่ารัก กิน นอน ปัดกวาดพื้นไปวันๆ ก็พอแล้ว
"เห้อ เสร็จเสียที"
จินฝูเอ่ยจบก็ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตนอย่างลวกๆ ยามนี้นางรดน้ำดอกไม้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงมีเวลามานั่งพัก ฉินเซียงกับซ่งเอ๋อร์ที่เพิ่งทำงานของตนเสร็จก็บอกว่าจะไปที่โรงครัวเพื่อหาขนมอร่อยๆ มากินและจะนำมาเผื่อนางด้วย จินฝูพยักหน้ารับแล้วจึงเดินไปตามทางที่ปูลาดด้วยหินอ่อนเรื่อยๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อน ดื่มด่ำกับธรรมชาติและความงามของดอกไม้อย่างช้าๆ ที่จวนอ๋องบรรยากาศดีมากจริงๆ อีกทั้งพ่อบ้านตู้ก็ใจดีมาก นางกำนัลคนไหนทำงานเสร็จแล้ว ก็สามารถไปรับขนมมากินได้ นี่คือความเมตตาจากท่านอ๋อง
คนอย่างเขาก็มีมุมที่สงสารเห็นใจคนเหมือนกันหรือนี่?
สายลมเย็นพัดเข้ามาประทะใบหน้านางทำให้รู้สึกดีมาก นางเดินมาเรื่อยๆ จนเจอต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จึงทิ้งกายนั่งพิงต้นไม้เพื่อพักเสียหน่อย
นางเข้าวงการตอนอายุสิบสี่ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะได้มายืนอยู่แถวหน้าของวงการบันเทิงท่ามกลางความกดดันที่มากมาย นางแทบจะไม่ได้นอนพักเต็มที่ ต้องตื่นเช้าไปเรียนและแบ่งเวลาไปทำงาน หาเงินมาเลี้ยงดูตนเอง นางเป็นเด็กกำพร้า แต่สามารถผลักดันตนเองจนมาถึงขั้นนั้นได้นับว่าไม่ง่ายแต่สุดท้ายกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า
จินฝูหลับตาเพื่อนอนพัก นานมากแล้วที่นางไม่ได้พักผ่อนอย่างสบายใจเช่นอย่างตอนนี้
นอนอยู่สักพัก ในขณะที่นางกำลังเคลิบเคลิ้ม ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจิกที่แขนของนาง เมื่อจินฝูลืมตาขึ้นมามองก็พบว่าเป็นไก่ตัวนั้นนั่นเอง ยามนี้มันกำลังมองนางด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ จินฝูรีบนั่งเหยียดตัวตรง แล้วมองไก่ตรงหน้าอย่างระแวง
"สหายไก่ ข้าไม่ได้อยากกินเจ้านะ เจ้าอย่าถือสาข้าได้หรือไม่ ข้าเพียงหิวจนตาลายเท่านั้น พวกเรามาดีกันเถอะนะ"
เจ้าไก่ตัวนั้นเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เดิมทีจินฝูคิดว่าเจ้าไก่นี้ต้องไล่ตีนางแน่ แต่ทว่ารออยู่นานมันกลับไม่ทำร้ายนางกลับกันยังทิ้งกายลงนอนข้างๆ นางด้วย จินฝูที่เห็นเช่นนั้นจึงยิ้มกว้าง แล้วจึงยื่นมือไปลูบหัวมันเบาๆ เจ้าไก่ตัวสีทองเองก็ไม่หวงเนื้อหวงตัวเลยแม้แต่น้อย
"เจ้าไก่ตัวนี้ ดูๆ ไปแล้วก็น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย น่ารักแบบนี้ข้ากินเจ้าไม่ลงหรอก"
จินฝูเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่นางจะหันมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใด จึงหันมาระบายกับเจ้าไก่ตัวนั้นทันที
"เจ้าคงเป็นไก่สุดที่รักของท่านอ๋องอารมณ์แปรปรวนคนนั้นสินะ เจ้ากล้าอยู่กับเขาไปได้อย่างไรกัน ข้ากลัวแทบตาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าสมองเจ้านายตนเองมีปัญหา ข้ายังไม่อยากอยู่ใกล้เขาเลยแม้แต่น้อย กลัวเขาจะโมโหแล้วเอามีดปาดคอข้า ได้ยินพ่อบ้านตู้บอกว่าหากนางกำนัลคนใดได้เป็นผู้หญิงของเขาจะสบายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ข้าน่ะไม่อยากเป็นหรอก ข้าอยากกวาดพื้น นอนใต้ต้นไม้ มีของกินอร่อยๆ ให้กินทุกวันก็พอแล้ว ข้าจะเอาของกินมาแบ่งเจ้าด้วย อ้อ ข้าสามารถเป็นเพื่อนกับเจ้าได้ ดีไหม"
จินฝูพูดเองเออเองเสียดิบดี นางคิดเช่นนี้จริงๆ นางไม่อยากได้ความโปรดปราณอันใดทั้งสิ้น ใครอยากแย่งความโปรดปราณจากเขาก็แย่งไปเถอะ นางไม่เอาด้วยคน
"เจ้านี่ช่างใจกล้านักนะ แอบวิจารณ์เจ้านายโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลย!"
ในขณะที่จินฝูกำลังสนทนากับไก่อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ทำเอาจินฝูสะดุ้งเฮือก นางหันมองซ้ายขวาหน้าหลังแต่กลับไม่พบใครสักคน หญิงสาวยกมือขึ้นทาบอกตนพลางเอ่ยขึ้นมาอย่างหวาดๆ
"ให้ตายเถอะ นี่ข้าหลอนจนได้ยินเสียงของท่านอ๋องประสาทคนนั้นเลยหรือนี่?"
"เจ้าอยากตายมากใช่หรือไม่?"
เอาอีกแล้ว!
จินฝูเริ่มลนลาน นางหันไปมองโดยรอบเพื่อหาต้นตอของเสียงนั้น อยู่ๆ ก็มีกิ่งไม้แห้งกิ่งเล็กๆ ร่วงลงมาใส่ศีรษะของนาง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นไปมองก็ถึงกับหน้าซีดเผือด
"ท่านอ๋อง!"
เวรเถอะ ตายแน่เลยงานนี้!
จินฝูเริ่มเข่าอ่อนขึ้นมาเสียดื้อๆ นึกอยากตีปากตนเองให้แตกเสีย ชายหนุ่มตรงหน้ากระโดดจากต้นไม้ลงมายืนอยู่เบื้องหน้านาง ดวงตาคมกริบตวัดมองนางอย่างไม่พอใจ
"เจ้านี่ น่าตัดลิ้นทิ้งจริงๆ"
จินฝูอับจนหนทางแล้ว นางปากสั่นตัวสั่นไปหมด คิดแผนการใดไม่ออกทั้งสิ้น หญิงสาวพยายามตั้งสติ อยู่ๆ สมองก็พลันคิดแผนการขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง
ไม่พูดให้มากความ นางก็กระโดดเข้าไปกอดขาข้างซ้ายของเขาทันที ไม่เพียงเท่านั้นนางยังใช้สองขาของตนเกี่ยวรัดขาของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย กู้เหยียนฉีชะงักไปชั่วขณะไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าจะใจกล้าถึงเพียงนี้
"ฮือ ท่านอ๋อง หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าเอ่ยวาจาส่งเดชอีกแล้ว ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันยินดีเป็นวัวเป็นม้าให้พระองค์โขลกสับไปชั่วชีวิตเพคะ"
เอ่ยไปพลางก็แอบเอานิ้วแตะน้ำลายในปากมาทาที่ขอบตาเพื่อให้ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น
กู้เหยียนฉีส่งเสียงเหอะออกมา เขาโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยเจอสตรีที่ไร้มรรยาทเช่นนางมาก่อนเลย
"ปล่อยข้า!"
"ไม่ปล่อยเพคะ หากพระองค์ไม่ยอมอภัยให้ หม่อมฉันก็จะกอดขาพระองค์ไม่ยอมจากไป ฮือ ท่านอ๋องสุดหล่อ ท่านอ่องสุดที่รักเพคะ โปรดไว้ชีวิตนางกำนัลตัวน้อยๆ อย่างหม่อมฉันด้วยเถิด"
กู้เหยียนฉีพยายามข่มกลั้นโทสะตน แม้เขาจะโมโหมากเพียงใด แต่ไม่คิดจะฆ่าแกงหรือทำร้ายนางเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็เพียงไล่ออกจากจวนเท่านั้น
จินฝูยังคงไม่ยอมแพ้ ไหนๆ ก็อาจจะไม่มีหนทางรอดแล้ว เช่นนี้จะปล่อยโอกาศเพียงน้อยนิดไปไม่ได้ นางต้องกอดขาทองคำนี้เอาไว้ให้แน่น
กู้เหยียนฉีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จะถีบนางก็ทำไม่ลง โชคดีที่พ่อบ้านตู้เดินมาทางนี้พ่อดี เขาจึงส่งสายตาให้พ่อบ้านตู้มาเอาตัวนางไป
"ตายแล้ว นางกำนัลผู้นี้เจ้าจะใจกล้าเกินไปแล้ว บังอาจมากอดขาท่านอ๋องเช่นนี้ได้อย่างไร ปล่อยนะ ไม่ปล่อยข้าตีมือนะ!"
จินฝูกลับกอดขากู้เหยียนฉีแน่นยิ่งกว่าเดิม สภาพนางและกู้เหยียนฉีตอนนี้ค่อนข้างทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง
"ไม่ปล่อยเพคะ ในเมื่อจะตายอยู่แล้ว หม่อมฉันก็จะกอดขาท่านอ๋องเอาไว้และขาดใจตายที่หว่างขาของท่านอ๋องซะ!"
กู้เหยียนฉียกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว พลางเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
"ข้าไม่ได้จะฆ่าเจ้า"
จินฝูเมื่อได้ยินก็รีบเงยหน้าไปมองเขาทันที
"จริงหรือเพคะ?"
กู้เหยียนฉีไม่เคยรู้สึกเหนื่อยใจเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เดิมทีสำหรับเขาโทษของนางเพียงสั่งสอนสักหน่อยก็พอแล้ว นางไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเขา เขารับรู้ได้ บางคราอาจเพราะนางไปได้ยินข่าวโสมมข้างนอกที่เล่าลือกันเพื่อใช้โจมตีเขาจึงมีอาการตอบสนองเช่นนี้ แม้เขาจะเป็นคนเย็นชา เจ้าอารมณ์เล็กน้อย แต่เขาไม่ใช่คนไร้คุณธรรมที่แยกแยะดีชั่วไม่ได้
จินฝูยังคงไม่วางใจ นางไม่ยอมปล่อยขาเขาและยังคงกอดขาเขาเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
“ปล่อยข้า”
“ท่านอ๋องจะไม่ทรงลงโทษจริงหรือเพคะ ลงโทษเสียหน่อยหม่อมฉันจะได้สบายใจ”
กู้เหยียนฉีมองจินฝูด้วยความสนใจ พลางเอ่ยถาม
“อ้อ เช่นนั้นอยากให้ข้าลงโทษแบบใดหรือ?”
จินฝูเอ่ยตอบทั้งที่ยังกอดขาเขาเอาไว้แน่น
“อย่างเช่นตบปากสั่งสอน แต่อย่าตบแรงนะเพคะ เดี๋ยวปากหม่อมฉันบวมมันจะไม่งาม หรือไม่ก็โบยเพคะ เอ่อ โบยสักสามไม้ก็พอ เอาพอระคายผิวอย่าให้เป็นแผลลึก หม่อมฉันไม่อยากนอนคว่ำเพคะ หม่อมฉันชอบนอนหงาย หรือว่าจะตีขา ไอหยา เกิดขาเบี้ยวคงไม่ดี เช่นนั้น...”
“ช้าก่อน!”
จินฝูเม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก กู้เหยียนฉีที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกปวดหัวนัก นางให้เขาลงโทษ แต่กลับเรื่องมากเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดเคยทำ
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงเอ่ยกับนางเสียงเข้ม
"ไปเลี้ยงไก่กับแมวให้ข้าเพื่อเป็นการไถ่โทษ หากเจ้าสามารถทำให้พวกมันเลิกตีกันได้ ข้าจะอภัยให้"
จินฝูกระพริบตาปริบๆ เลี้ยงไก่เลี้ยงแมวหรือ เหตุใดจึงทำโทษสถานเบาเช่นนี้เล่า อะโด่! แค่เลี้ยงไก่กับแมวมันจะไปยากอันใด สบายมาก!
จินฝูไม่กอดขากู้เหยียนฉีอีก นางรีบโขกศีรษะให้เขาทันที
"ท่านอ๋องใจดีมีเมตตา รูปงามสง่าน่าเกรงขาม หม่อมฉันจะตั้งใจเลี้ยงไก่เลี้ยงแมวให้พระองค์อย่างสุดความสามารถเพคะ"
"ดี หากมันยังไม่เลิกตีกัน เจ้านั่นแหละต้องถูกโบยแทน"
“รับทราบเพคะ"
กู้เหยียนฉีส่งเสียงหัวเราะหึหึ ในขณะที่กำลังจะเดินจากไปเขาก็หันมาเอ่ยกับนาง
“คราบน้ำลายใต้ดวงตาเจ้า เช็ดออกด้วย มันน่าเกียจ”
จินฝูที่กำลังยิ้มหน้าบานพลันหุบยิ้มในทันที ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดหน้าตนอย่างเก้อเขิน กู้เหยียนฉีไปแล้ว พ่อบ้านตู้ก็กำลังตามเจ้านายไป แต่นางกลับสังเกตุเห็นว่าพ่อบ้านตู้กำลังส่งสายตาสงสารเห็นใจมาให้นาง จินฝูที่เห็นอย่างนั้นจึงขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่ง
เหตุใดพ่อบ้านตู้จึงส่งสายตาเวทนามาให้นางเช่นนั้นด้วยเล่า!
กู้เหยียนฉีจำได้ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในตอนนั้นเขาและจินฝูยังเป็นเพียงข้ารับใช้และเจ้านาย ไม่ได้มีความรักลึกซึ้งอันใดต่อกันเลยแม้แต่น้อยอากาศเช้านี้ค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อยเลย หลังจากที่เตรียมอาหารมื้อเช้าให้กู้เหยียนฉีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จินฝูก็ตรงมายังห้องโถงใหญ่เพื่อปรนนิบัติเขากินอาหารมื้อเช้า นี่คืองานที่นางต้องทำในแต่ละวัน จะขาดตกบกพร่องไม่ได้ เมื่อมาถึงก็พบว่ากู้เหยียนฉีตื่นนอนแล้ว ชายหนุ่มกินอาหารเช้าและแบ่งให้นางกินเหมือนกับทุกวันที่เคยทำ จินฝูรู้สึกฟินมาก ท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่นางยังไม่ทันจะไปนอนก็ได้ยินกู้เหยียนฉีเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ตามข้าไปที่ห้องนอนด้วย"เอ่ยจบเขาก็เดินตรงไปรอนางที่ห้องนอนทันที จินฝูที่ได้ยินเช่นนั้นใจก็เต้นถี่ระรัว นางกำมือแน่น พลางครุ่นคิดในใจอย่างหวาดหวั่นนี่นางกับเขา ต้องทำเรื่องอย่างว่ากันแล้วอย่างนั้นหรือ?!แม้ในใจจะร้องโอดครวญ แต่กลับไม่อาจปฏิเสธ ในเมื่อนางเป็นคนของเขาแล้ว การที่เขาจะทำอันใดกับนางก็นับว่าไม่ผิด หญิงสาวถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แล้วจึงเดินตามเขาเข้าไปในห้องนอน เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้กู้เหยียนฉีกำลังนั่งอยู่บนเตี
วันคืนล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็กู้เหยียนฉีและจินฝูก็ได้แต่งงานกัน พิธีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะมีผู้คนมาร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างคึกคัก ก่อนที่เขาและนางจะแต่งงานกัน กู้เหยียนฉีพาจินฝูไปเที่ยวชมสถานที่งดงามและกินดื่มอย่างสำราญใจ นางจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่งการแต่งงานครั้งนี้มิใช่การแต่งงานธรรมดา แต่เป็นการสถาปนาการขึ้นครองราชย์ของกู้เหยียนฉีด้วยแม้จะไม่ต้องการสักเท่าไร่ แต่กู้เหยียนฉีรู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว มันคือหน้าที่ของเขา อย่างน้อยเขาก็ยังมีจินฝูที่เป็นแสงสว่างในชีวิตของเขา ขอเพียงมีนางในวังหลวงที่น่าเบื่อแห่งนี้ก็งดงามขึ้นมาทันตาหลังจากกู้เยียนฉีขึ้นครองราชย์ กู้ฟานก็สละราชบัลลังก์ เขาใช้บั้นปลายชีวิตไปกับการอ่านตำราและวาดภาพอยู่ที่ตำหนักท้ายวังหลวง ทุกวันผ่านไปอย่างมีความสุข กู้เหยียนฉีเองก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี ส่วนจินฝูนั้นเป็นเด็กร่าเริงอารมณ์ดี นางมักจะชอบมาเล่าเรื่องต่างๆให้เขาฟัง ทำให้เขาไม่เหงาเลยแม้แต่น้อยรัชศกฉีปีที่หนึ่ง กู้เหยียนฉีขึ้นครองราชย์ และแต่งตั้งจินฝูเป็นฮองเฮา เหล่าขุนนางไม่กล้าคัดค้าน เพราะฮองเฮาพระองค์ใหม่คือกำลังสำคัญเช่นกันที่ทำให้ฝ่าบาททรงได้ขึ้นค
กบฏตระกูลเจี่ยงถูกสังหารสิ้นแล้ว อีกทั้งราชสำนักยังประกาศความชั่วของพวกเขาให้ราษฏรทั่วทั้งใต้หล้าได้รับรู้เจีี่ยงฉยงอดีตแม่ทัพใหญ่ มีใจคิดไม่ซื่อ ลอบวางยาพิษเจ้าแผ่นดิน และลอบสังหารอดีตชินอ๋อง โชคดีที่สวรรค์เมตตาให้อดีตชินอ๋องทรงรอดชีวิตกลับมาได้ และกลับมาทวงคืนความยุติธรรมให้บ้านเมืองได้สำเร็จส่วนเจี่ยงหว่าน อดีตฮองเฮานั้น เพียงเพราะหลงใหลในอำนาจ จึงตบตาฮ่องเต้แต่งเข้าวังหลังมาทั้งที่ตั้งครรภ์บุตรกับชายอื่น และยังฆ่าปิดปากชายคนรักเพื่อไม่ให้เขากลับมาเปิดโปงความเลวทรามต่ำช้าของตน ซ้ำร้ายยังลอบส่งนักฆ่าไปสังหารกู้เหยียนฉีหลายต่อหลายครั้งด้วย กู้ม่อหลีแท้จริงแล้วไม่ใช่บุตรของโอรสสวรรค์ เขาเป็นองค์ชายตัวปลอม ส่วนองค์ชายใหญ่ที่แท้จริงซึ่งมีสายเลือดของฝ่าบาทไหลเวียนอยู่ในกายคือกู้เหยียนฉี องค์ชายใหญ่ตัวจริงที่ต้องปิดบังสถานะของตนเองเพื่อหาทางเอาตัวรอดและกำจัดคนชั่ว คนตระกูลเจี่ยงมีโทษหลอกลวงเบื้องสูง ให้ขายบ่าวในจวนทิ้งไปเสีย ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลังหลวง บุรุษให้สังหารทิ้งทั้งหมด ส่วนสตรีให้เนรเทศไปอยู่ที่ชายแดนแร้นแค้น ชั่วชีวิตนี้อย่าได้คิดจะกลับเข้าเมืองหลวงอีกผู้คนที่ได้รับรู้ต
กู้เหยียนฉีเดินเข้าไปในตำหนักที่กู้ฮ่องเต้พักรักษาตัวอยู่ด้วยใบหน้าที่เลื่อนลอย ครั้งนี้จินฝูไม่ได้ตามไปด้วย เพราะอยากให้พ่อลูกได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจกู้ฮ่องเต้ได้สติฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เพราะสำลักควันไฟเข้าไปเป็นจำนวนมาก และยังถูกพิษมาก่อนหน้านี้ ทำให้ร่างหายของเขาย่ำแย่ลงไปมาก เขาให้นางกำนัลประคองตนนอนเอนพิงหมอนบนเตียง แล้วจึงให้พวกนางออกไปให้หมด ยามนี้จึงเหลือเพียงกู้เหยียนฉีและกู้ฟานเพียงเท่านั้นกู้ฮ่องเต้กระแอมไออยู่ตลอดเวลา เขาพยายามฝืนประคองตนให้ยืนหยัดเอาไว้ แล้วจึงเงยหน้าไปมองกู้ฟานน้องชายของตน"น้องสี่ ขอบใจเจ้ามากนะ หากไม่มีเจ้า ข้าคงไร้สามารถไม่อาจทำสิ่งใดได้ แค่กแค่ก"กู้ฟานน้ำตาไหล เขารีบเดินเข้าไปจับมือพี่ชายตนเอาไว้"พี่สาม ท่านเก่งที่สุดแล้ว ถึงแม้พวกเราจะไมได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ข้าก็รักท่านมาก รักท่านเหมือนพี่ชายร่วมมารดาเดียวกัน"กู้ฮ่องเต้พยักหน้า ก่อนจะหันมามองกู้เหยียนที่ยืนอยู่ไม่ไกล กู้ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนแรงรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะไม่ไหวมากขึ้นทุกที"ฉีหลาง เจ้ายังโกรธพ่ออยู่หรือ แต่ช่างเถิด ยามนี้คนตระกูลเจี่ยงตายสิ้นแล้ว เจ้าโกรธพ่อนานอีกสักหน่อย พ่อก
กู้เหยียนฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองกู้ฟานด้วยความสงสัย ด้านจินฝูนั้นคิดว่าเรื่องที่พวกเขาจะพูดคุยกันย่อมเป็นเรื่องสำคัญ นางจึงบอกว่าจะไปรอเขาที่ด้านนอกตำหนักเสียก่อน แต่ทว่ากู้เหยียนฉีกลับยื่นมือของตนมารั้งตัวนางเอาไว้ จินฝูมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยปราดหนึ่ง แล้วจึงพบว่าเขากำลังมองนางด้วยแววตาอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง"เสด็จอา นางเป็นคนรักของหลานเป็นคนที่พวกเราไว้ใจได้พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งเรื่องที่เหล่ากองทัพเสริมของเจี่ยงฉยงถูกระเบิดจนล้มตายไปกว่าครึ่ง ก็เป็นฝีมือของนาง"กู้ฟานหันมามองจินฝูด้วยสายตาเอ็นดู"ที่แท้ก็เป็นหลานสะใภ้ของข้าเองหรือ"จินฝูยิ้มให้กู้ฟานอย่างนอบน้อม ตอนที่ได้ยินว่าเขายังไม่ตาย นางแอบตกใจอยู่ไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวต่างๆจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมายถึงเพียงนี้กู้ฟานเองเมื่อรู้ว่าจินฝูคือคนสำคัญของกู้เหยียนฉีก็ไม่ได้ระแวดระวังสิ่งใดอีกเขาทอดถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า"ฉีหลาง อารู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าคับแค้นใจมาก เจ้าคงรู้แล้วว่าเสด็จพี่คือบิดาของเจ้า อาเองก็มีส่วนผิดเช่นกันที่รู้เรื่องราวทุกอย่างแต่กลับไม่อาจบอกกล่าวกับเจ้าได้"กู้เหยียนฉีกำมือแน่น ใบหน้าฉายแววเย็
กู้เหยียนฉีและจินฝูรีบกลับเข้าเมืองหลวง ก่อนไปยังสั่งให้องค์รักษ์พาครอบครัวของจินฝูและคนในจวนอ๋องกลับเข้าเมืองหลวงโดยเร็ว ส่วนพ่อบ้านตู้และฉินเซียง ซ่งเอ๋อร์ก็เร่งรุดกลับไปที่จวนอ๋องเพื่อตรวจดูว่ามีตรงไหนเสียหายบ้างหรือไม่ ระหว่างทางที่กลับเข้าวังหลวง เขาและนางได้พบเจอกู้ม่อหลีเข้าเสียก่อน กู้ม่อหลีจ้องมองกู้เหยียนฉีด้วยความเคียดแค้น เขาไม่มีทางเชื่อว่าตนเองไม่ใช่บุตรของโอรสสวรค์ อีกทั้งยังคิดจะแย่งจินฝูมา กู้เหยียนฉีคร้านจะสนใจคนบัดซบนี่ เขาจึงยิงหน้าไม้เข้าใส่กู้ม่อหลีทันที กู้ม่อหลีไม่ทันระวังทำให้ลูกศรแทงเข้าที่ลำคอ กู้ม่อหลีสิ้นใจตายทั้งที่ดวงตายังเบิกกว่าง ไม่มีผู้ใดสนใจความเป็นตายของเขาเลยแม้แต่น้อยกู้เหยียนฉีได้เล่าให้จินฝูฟังแล้วว่า กู้ม่อหลีไม่ใช่บุตรแท้ๆของฮ่องเต้ จินฝูตกใจไม่น้อย แต่กลับดีใจมากกว่า คนเช่นนี้ไม่เหมาะจะเป็นองค์ชายเลยด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่ถูกสังหารเช่นนี้กู้เหยียนฉีและจินฝูวิ่งไปตามทางเดินในวังหลวงอย่างรีบร้อน เมื่อมาถึงตำหนักมังกรสวรรค์ก็พบว่าในตำหนักกำลังเกิดเพลิงไหม้โหมแรงมาก พวกเขาเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูอยู่ด้านนอก“ฝ่าบาทยังทรงประทับอยู่ด้านใน รีบช







