LOGINหมิวที่ตอนนี้เข้ามาอยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงได้สามวันแล้ว ทำให้ได้รู้ว่าองค์หญิงหลิงเซียงเป็นบุตรลำดับที่เก้าของอดีตฮ่องเต้หลงเฉิน และเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวของอดีตฮ่องเต้ที่เกิดจากอดีตฮองเฮาหลินเจิน องค์หญิงหลิงเซียงไม่มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ด้วยความที่เป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียว จึงไม่ค่อยสนิทกับบรรดาพระเชษฐาเท่าไหร่
แต่ส่วนใหญ่ที่เหล่าลูกชายลูกสาวเหล่าขุนนางตระกูลใหม่มักเข้าหาองค์หญิง ก็เพราะท่านตาขององค์หญิงคือท่านแม่ทัพใหญ่ของกองทัพแคว้นเว่ยและผู้นำตระกูลเกาคนปัจจุบัน ตระกูลถือเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากจนใคร ๆ ก็ยำเกรง
ด้วยความที่เป็นธิดาเพียงพระองค์เดียวและยังประสูติจากฮองเฮา จึงทำให้เป็นที่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้หลงเฉิน ฮองเฮาเองก็ทรงรักองค์หญิงมาก จนกลัวในอนาคตหากพระมารดาและพระบิดาไม่อยู่แล้ว จะได้รับอนาคตจากเหล่าผู้คนที่ไม่หวังดี และไม่อยากให้ธิดาเพียงคนเดียวต้องมาต้องในวังวนของความแกร่งแย่งชิงดี จึงทูลขออดีตฮ่องเต้สร้างตำหนักส่วนพระองค์ไว้นอกกำแพงวังหลวง มีเพียงประตูขนาดสองคนเดินได้เป็นทางเชื่อมเท่านั้น
พอเริ่มโตขึ้นจนอายุได้สิบขวบหนาวองค์หญิงก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ มีความคิดแปลกประหลาดต่างไปจากเด็กวัยเดียวกัน ชอบประดิษฐ์ของเล่นแปลก ชอบพูดคนเดียวเป็นเด็กหน้านิ่ง นิสัยเงียบขรึม ไม่ค่อยชอบเล่นกับใคร
พออายุได้สิบห้าปีองค์หญิงหลิงเซียงเป็นเด็กหญิงผู้มีท่าทีสงบนิ่งและสำรวมอยู่เสมอ เขาไม่ชอบความวุ่นวายหรือเสียงจอแจรอบข้าง มักเลือกที่จะอยู่ในมุมเงียบ ๆ ของวัง มากกว่าจะเข้าร่วมการละเล่นหรือการสนทนาของเหล่าสตรีในตำหนักอื่น ๆ เวลาเรียน องค์หญิงหลิงเซียงก็มักนั่งอยู่ท้ายห้อง เงียบ ฟังอาจารย์อย่างตั้งใจ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น และแทบไม่มีเพื่อนสนิทนัก
เพื่อนร่วมชั้นหลายคนมองว่าเธอเย็นชา จึงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่แท้จริงแล้วองค์หญิงเซียงเป็นเพียงคนที่ชอบใช้เวลาอยู่กับความคิดของตนเองมากกว่า เธอชอบอ่านหนังสือ ฟังเสียงลม และมองดูสวนดอกไม้มากกว่าการพูดคุยเรื่องไร้สาระในวัง ความเงียบของเธอจึงไม่ใช่เพราะหยิ่งยโส หากแต่เป็นความสุขุมและละเอียดอ่อนที่ซ่อนอยู่ภายใน
องค์หญิงหลิงเซียงเป็นหญิงที่สงบเงียบและโดดเดี่ยวจนแทบไม่มีผู้ใดเข้าใจ นางไม่ชอบความวุ่นวายของวังหลวง ไม่ชอบเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยการเสแสร้ง หรือคำพูดที่มีแต่เล่ห์เหลี่ยมของเหล่าสตรีในตำหนักอื่น ๆ นางเลือกจะอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางสวนดอกเหมยหรือในห้องหนังสือ นั่งอ่านตำราเก่าด้วยแววตาเรียบเฉย
แต่ด้วยความที่นางเงียบเกินไป และมักพูดคุยกับตัวเองเบา ๆ ยามอยู่ลำพัง บางครั้งราวกับกำลังสนทนากับใครที่ไม่มีตัวตน ผู้คนในวังเริ่มซุบซิบว่า องค์หญิงหลิงเซียงทรงวิปลาส บ้างก็กล่าวว่านางโดนวิญญาณร้ายสิงสู่ บ้างว่าถูกสาปให้จิตหลงลืมโลกมนุษย์
แต่แท้จริงแล้ว ในความเงียบและรอยยิ้มบางเบาของนางนั้น กลับซ่อนความเศร้าลึกและความคิดมากมายที่เกินกว่าผู้ใดจะเข้าถึง เสียงที่นางพูดกับตัวเองอาจเป็นเพียงการปลอบโยนหัวใจ หรือบางทีอาจเป็นการพูดกับใครบางคนที่จากไปนานแล้ว
เมื่อองค์หญิงหลิงเซียงมีพระชันษาเพียงสิบหกปี โลกอันเงียบสงบของนางก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง พระมารดา ผู้เป็นอดีตฮองเฮาผู้ทรงกล้าหาญ ต้องสิ้นพระชนม์ในสนามรบ
พระมารดาของนางมิใช่สตรีอ่อนโยนเช่นสตรีในวังทั่วไป แต่เป็นผู้ที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กับฮ่องเต้ในยามศึก เพื่อช่วยพระบิดาของตน ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ในการรบใหญ่ครั้งสุดท้ายของราชวงศ์ ทว่าในศึกนั้น พระนางกลับพลีชีพกลางสมรภูมิ ท่ามกลางไฟสงครามครั้งนั้น
ข่าวการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮองเฮาได้ถูกส่งถึงวังในยามราตรี ฝนโปรยบาง ๆ และเสียงสายฟ้าดังก้อง พระพักตร์ขององค์หญิงหลิงเซียงในวันนั้นเรียบนิ่งจนคนรับสั่งยังไม่กล้าเอ่ยปลอบ เพียงเห็นนางยืนอยู่หน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้ามืดมิด พลางกระซิบกับตนเองว่า
"พระมารดา… หม่อมฉันบอกแล้วว่าอย่าไป…" หลิงเซียง
นับแต่นั้นมาองค์หญิงยิ่งเงียบงันกว่าเดิม มักพูดกับอากาศราวกับยังมีผู้ฟังอยู่ข้าง ๆ หลายครั้งที่ขันทีหรือนางกำนัลเห็นนางยืนอยู่ในสวน ทรงพูดเสียงแผ่วราวกับตอบโต้ใครบางคน บ้างว่าองค์หญิงหลิงเซียงคลุ้มคลั่งเพราะเสียพระมารดา บ้างว่าพระวิญญาณอดีตฮองเฮายังมิได้จากไป
แท้จริงแล้วอาจไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์หญิงหลิงเซียงยังคงเห็น พระมารดาอยู่ในห้วงความทรงจำ และในความเงียบนั้นเสียงของมารดายังดังก้องอยู่ในใจของนางเสมอ
เมื่อย่างเข้าสู่ปีที่สิบแปดของชีวิต องค์หญิงหลิงเซียงต้องเผชิญกับความสูญเสียอีกครั้ง คราวนี้คือบุคคลผู้เป็นเสาหลักสุดท้ายของนางในโลกนี้
อดีตฮ่องเต้หลงเจิน พระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาและปัญญา อันเคยเป็นทั้งที่พึ่งและที่ปลอบโยนในยามนางอ่อนแอ หลังการสิ้นพระชนม์ของพระมารดา พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคร้ายเรื้อรังมาหลายปี แม้จะพยายามเข้มแข็งเพื่อพระธิดาเพียงองค์เดียว แต่ในที่สุด โรคร้ายก็พรากพระองค์ไปอย่างสงบในคืนเดือนดับ
คืนนั้นวังเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงลมหวิวผ่านระเบียงยาว องค์หญิงหลิงเซียงยืนอยู่ข้างพระแท่นบรรทม จับพระหัตถ์ที่เริ่มเย็นเฉียบด้วยน้ำตาที่ไม่ยอมร่วง นางเพียงจ้องมองพระพักตร์อันสงบของพระบิดาผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยยิ้มให้นางเสมอ
"เสด็จพ่อ อย่าทิ้งหม่อมฉันไว้เพียงลำพังอีกเลย…" หลิงเซียง
เสียงกระซิบของนางสั่นแผ่วจนแทบไม่เป็นคำ
หลังจากวันนั้น องค์หญิงหลิงเซียงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เงียบกว่าที่เคย เศร้าลึกกว่าเดิม และแทบไม่ออกจากตำหนักของตนอีกเลย ผู้คนในวังต่างพูดกันว่า นาง อยู่กับความตายมากเกินไป จนจิตใจมิอาจกลับมาเป็นเช่นเดิม
แต่ในยามค่ำคืนหากผู้ใดเดินผ่านตำหนักเยียบเย็นขององค์หญิง จะได้ยินเสียงนางพูดเบา ๆ ราวกับกำลังสนทนากับใครบางคน บางคืนเป็นเสียงอ่อนโยนราวกับพูดกับพระมารดา บางคืนกลับเป็นเสียงสะอื้น เรียกหาพระบิดาอย่างโหยหา…
แต่ยังดีที่มีคนสนิทผู้ซื่อสัตย์และเข้าใจองค์หญิงอย่าง ไป๋กงกง หม่ากูกู นางกำนัลอาวุโสที่เคยรับใช้อดีตฮองเฮา ยังมีขันทีหนุ่มอีกสอง เสี่ยวถังจือกับเสี่ยวผิงจื่อ นางกำนัลรุ่นเยาว์ ซินเหมยกับจูซิง พร้อมองครักษ์เงาประจำพระองค์ ห่าวเฉิงกับเฟิงหวง ทุกคนล้วนแล้วแต่จงรักภักดีกับองค์หญิงทุกคน
พอได้รู้รับเรื่องขององค์หญิงหลิงเซียง และรู้ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ด้วยที่ว่าเขาทำเรื่องวิจัยเกี่ยวกับราชวงศ์เว่ยย่อมรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญมากในราชวงศ์ มีทั้งการทรยศหักหลังที่แสนจะวุ่นวาย และการชิงอำนาจของบรรดาเหล่าพี่ชายต่างมารดา นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้มันเกิดเหตุการณ์รุนแรงจะพยายามช่วยให้มันเบาบางลง แต่ก็จะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเด็ดขาด ถ้าทำสำเร็จจะขอเร้นกายออกจากวังไปเปิดร้านอาหารนอกวังใช้ชีวิตแบบสามัญชน
หมิวพอรู้เรื่องราวต่าง ๆ ขององค์หญิงหลิงเซียง ยอมรับว่าสงสารมาก เขาสัญญาว่าจะดูแลร่างขององค์หญิงให้ดี จะใช้ชีวิตแทนองค์หญิงให้คุ้มค่า
"คอยดูนะข้าจะออกจากวังหลวงนี้ให้ได้" หลิงเซียง
ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห
ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย
ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ
มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ







