LOGINเมื่อทำใจยอมรับที่จะอยู่ในฐานะองค์หญิงหลิงเซียงได้แล้ว สิ่งแรกที่ทำคือตรวจดูทรัพย์สินมีค้าว่าพอที่จะนำไปขายหรือมีเงินอยู่บ้างไหม เพราะเขาจะนำไปซื้อที่ดินเก็บไว้สักหน่อย เนื่องจากตั้งใจจะออกจากวังแล้วต้องมีกิจการเป็นของตัวเองเพื่อเลี้ยงชีพสักหน่อย ไหนจะผู้ติดตามอีกหลายคน ตั้งใจแล้วว่าจะเปิดเหลาอาหาร เพราะอาชีพเดิมที่บ้านแซ่ลิ้มในโลกเดิมนั้น พ่อแม่เขาเปิดร้านอาหารและขายดีมากจนขยายสาขาไปถึงห้าสาขาแล้ว เมนูส่วนใหญ่จะเป็นสูตรอาหารไทยจากคุณยายที่เคยทำงานในวังมาก่อน และยังมีสูตรอาหารจีนจากบ้านคุณพ่ออีกด้วย ซึ่งเขาเองก็เคยช่วยงานในครัวเป็นประจำจนจำสูตรได้ทั้งหมด ขนมไทยก็ยังทำได้จนเพื่อนหลายคนในสาขาประวัติศาสตร์ไทยและสากลเคยถามว่า ทำอาหารอร่อยขนาดนี้ทำไมไม่เรียนคหกรรม แต่เขาชอบประวัติศาสตร์และสาขาที่เรียนยังได้เรียนประวัติศาสตร์ของจีนอีกด้วย
แสงจันทร์รินผ่านช่องหน้าต่างไม้ลายฉลุ ส่องต้องฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศ ภายในห้องลับของตำหนักไฉ่หงเงียบงันราวกับเวลาหยุดหมุน เสียงฝีเท้าเบา ๆ สามคู่ก้าวเข้ามาทีละก้าว องค์หญิงหลิงเซียงถือโคมไฟกระจกทรงกลมไว้ในมือ แสงส้มอ่อนสะท้อนเงาเรียวยาวบนพื้นหินเย็น
"ที่นี่... ข้าจำได้ว่าเป็นห้องนี่เป็นห้องที่เสด็จแม่แอบสร้างไว้ให้ข้า" หลิงเซียง
พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความสั่นไหว ไป๋กงกงโค้งคำนับ
"พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง เมื่อครั้งนั้นอดีตฮองเฮาหลินเจินทรงโปรดให้สร้างห้องลับไว้ใต้ตำหนักไฉ่หง เพื่อเก็บของสำคัญและทรัพย์สินที่ทรงสะสมไว้เพคะ" ไป๋กงกง
หม่ากูกูซึ่งถือเทียนเล่มเล็กเดินนำไปตรงกลางห้อง ก่อนใช้ปลายเทียนเคาะที่พื้นไม้สามครั้ง เสียง "กึก" เบา ๆ ดังขึ้น แล้วพื้นตรงหน้าก็แยกออกเผยบันไดหินแคบ ๆ ที่ทอดลงไปสู่ใต้ดิน กลิ่นไม้เก่าผสมกลิ่นกำยานจาง ๆ ลอยคลุ้งเมื่อทั้งสามก้าวลงไปข้างล่าง ภายในห้องลับมีโคมไฟหยกติดผนัง ด้านในเรียงรายไปด้วยหีบไม้หอมประดับทองหลากขนาด ผ้าไหมบางผืนยังห่อด้วยริบบิ้นแดงเก่า บางหีบประทับตราประจำพระองค์ของอดีตฮองเฮาหลินเจิน ผู้เป็นมารดาของหลิงเซียง
ไป๋กงกงเปิดหีบใบหนึ่งเผยให้เห็นถุงผ้าไหมบรรจุทองแท่งและหยกเนื้อใสหลายสิบชิ้น ส่วนหม่ากูกูเปิดอีกหีบหนึ่ง ภายในเต็มไปด้วยอัญมณีและแผ่นหยกที่จารึกอักษรโบราณ องค์หญิงหลิงเซียงมองสิ่งเหล่านั้นอย่างนิ่งงัน
"เสด็จแม่คงรู้... ว่าสักวันจะเกิดเรื่องไม่ดีกับ จึงซ่อนทุกสิ่งไว้ในที่ที่ไม่มีใครนึกถึง" หลิงเซียง
ขณะนั้นเองหม่ากูกูพบกล่องไม้ดำขนาดเล็กซ่อนอยู่ใต้หีบ
"องค์หญิงเพคะ กล่องนี้... ไม่มีตราเลยเจ้าค่ะ" หม่ากูกู
องค์หญิงหลิงเซียงรับมา พอเปิดออกเสียง "แกร๊ก" ดังขึ้นภายในมีกล่องหยกสีขาวแกะลายดอกเหมย เมื่อเปิดออกปรากฏพัดทองคำอันหนึ่ง ปักลายมังกรคู่และนกฟีนิกซ์พันกัน พร้อมจดหมายเก่าแผ่นหนึ่งผูกด้วยด้ายแดง เขาค่อย ๆ คลี่ออก ลายอักษรเป็นลายมือของพระมารดา
"หากวันใดเจ้าพบจดหมายนี้ จงทำตามที่แม่เคยสอนให้ออกไปไกลห่างจากวังหลวงนี้แล้วไปเริ่มต้นชีวิต หรือให้ไปหาท่านตาเจ้าที่เมืองหยางโจวอย่าพึ่งกลับตระกูลเกา ยิ่งเจ้าไกลจากวังหลวงเท่าไหร่เจ้ายิ่งปลอดภัย ถ้าให้ดีอย่าได้ห่างจากท่านตาและเหล่าญาติผู้พี่ของเจ้าเด็ดขาด" หลินเจิน
องค์หญิงหลิงเซียงคนใหม่ยิ่งอ่านยิ่งงงกับจดหมายของอดีตฮองเฮามาก แต่ก็ช่างเถอะอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะออกจากวังอยู่แล้ว แต่ก่อนออกขออยู่ช่วยคนในวังก่อนแล้วกันช่วยให้สถานการณ์เบาบางลงก็ยังดี ไม่นึกของเลือกทำวิจัยราชวงศ์เว่ยเลย พอรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรก็อดช่วยไม่ได้อยู่ดี
"องค์หญิง… นี่หมายความว่า..." ไป๋กงกง
"ใช่ ท่านแม่อยากให้พวกเราออกไปเริ่มต้นใหม่ที่นอกวังกัน" หลิงเซียง
"แล้วเรื่องคนที่ทำร้ายองค์หญิง พระองค์ทรงจะทำเช่นไร เพค่ะ" หม่ากูกู
"ข้ายังไม่ปักใจเชื่อว่าฝ่าบาทจะทรงสั่งลงมือทำร้ายข้าได้ อย่างไรฝ่าบาทก็ทรงยำเกรงท่านตาอยู่มาก ทางฝ่ายรัชทายาทจิ้งไฉก็ไม่น่าจะใช่ เอาไว้ค่อยสืบทีหลังแล้วกัน แต่ตอนนี้ดึกแล้วแยกย้ายกันไม่นอนเถอะ ข้าง่วงมากแล้ว" หลิงเซียง
"เพค่ะ" หม่ากูกู
"พ่ะย่ะค่ะ" ไป๋กงกง
ตำหนักไฉ่หงที่อยู่นอกกำแพงวังมิได้โอ่อ่าฟุ้งเฟ้อดังตำหนักชั้นใน หากงดงามด้วยความเรียบสงบอ่อนโยนดุจลมหายใจของยามรุ่งอรุณ ตัวตำหนักสร้างด้วยไม้หอมเก่าที่สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่กลับเพิ่มเสน่ห์อย่างประหลาด หลังคามุงกระเบื้องเขียวหม่น มีเถาวัลย์ดอกเล็ก ๆ เลื้อยเกาะอยู่ตามชายคา เมื่อลมพัดกลีบดอกจะโปรยลงเบา ๆ เหมือนหิมะกลางฤดูใบไม้ผลิ ลานหน้าตำหนักปูด้วยศิลาเรียบ มีต้นเหมยสองต้นยืนอยู่ข้างประตู ไม่มากเกินไม่ขาดเกิน กลีบดอกสีจางร่วงโรยอยู่บนพื้นหินขาวให้ความรู้สึกสงบงามอย่างเรียบง่าย ริมลานมีสระน้ำตื้นที่เลี้ยงปลาทองไม่กี่ตัว น้ำในสระใสจนเห็นเงาไม้สะท้อนชัด
ภายในตำหนัก ไม่มีเครื่องประดับหรูหรา มีเพียงโต๊ะไม้เรียบหนึ่งตัว แจกันเคลือบสีขาวบรรจุดอกไม้สดไม่กี่กิ่ง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยคลอไปกับเสียงลมที่ลอดเข้าทางหน้าต่างไม้ฉลุ เสียงนั้นผสมกับเสียงผ้าแพรบางไหวเบา ๆ กลายเป็นทำนองแห่งความสงบที่ยากจะหาได้ในวังหลวง ยามสายหมอกคลอรอบตำหนัก ไฉ่หงดูประหนึ่งหลบซ่อนอยู่ในฝัน งดงามไม่ด้วยความหรูหรา แต่ด้วยความเรียบและความนิ่ง ที่ทำให้ผู้พบเห็นเผลอลดเสียงฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันต่อมาองค์หญิงหลิงเซียงตื่นแต่เช้าเข้าครัวเพื่อทำอาหาร ถึงตำหนักไฉ่หงจะอยู่กำแพงวังหลวงแต่ก็มีเหล่าองครักษ์ค่อยดูแลอยู่ไม่ขาด แต่ทำไมถึงโดนจับตัวได้กันนะแถมยังไปตายไกลถึงตำหนักเย็นเลยแปลกมาก แต่ช่างเถอะค่อยสืบหาความจริงอีกที ตอนนี้ทำกับข้าวก่อนแต่จะว่าไปห้องครัวก็ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย แบบนี้ขอแสดงเสน่ห์ปลายจวักให้เหล่าคนในตำหนักชิมก่อนแล้วกัน
วันนี้หลิงเซียงจะทำเมนูที่มีวัตถุดิบที่มีอยู่ในครัวนั้นก็คือโจ๊กหมูสับเห็ดหอม เป็นเมนูที่จะสั่งกินทุกเช้าไม่ก็ทำกินเองในวันหยุดถือเป็นเมนูโปรดเลยก็ว่าได้ ส่วนผสม โจ๊กหมูสับ ข้าวสาร หมูสับ ต้นหอมซอย ขิงซอย ขิงหั่นแว่น เห็ดหอม และไข่ลวก
เริ่มจากนำข้าวสารข้าวเจ้ามาต้มพร้อมน้ำแกงผักให้พอเม็ดข้าวแตกบานออกหน่อย ปิดไฟ แช่ข้าวทิ้งไว้ประมาณหนึ่งถึงสองเค่อ (15-30 นาที) เพื่อให้ข้าวอืดจากการดูดน้ำเข้าไป พอเราเอามาไฟอุ่นอีกรอบก็จะเปื่อยเละเป็นเนื้อโจ๊ก ตั้งหม้อใส่น้ำต้มจืดลงไปอุ่น จากนั้นเติมน้ำเปล่าเพิ่มลงไปใส่หมูสับต้มจนสุก ใส่ขิงหั่นแว่นเพราะจะได้โจ๊กหอมขึ้น จากนั้นก็ตักใส่ชามโรยขิงซอยและต้นหอม ตอกไข่ใส่ลงไป เหยาะซีอิ๊วนิดและพริกไทยป่นหน่อยแค่นี้ก็อร่อยแล้ว
ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห
ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย
ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ
มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ







