Home / แฟนตาซี / เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส / บทที่ 2 อาหารจานแรกในโลกใหม่

Share

บทที่ 2 อาหารจานแรกในโลกใหม่

last update Last Updated: 2025-10-28 00:47:20

เมื่อทำใจยอมรับที่จะอยู่ในฐานะองค์หญิงหลิงเซียงได้แล้ว สิ่งแรกที่ทำคือตรวจดูทรัพย์สินมีค้าว่าพอที่จะนำไปขายหรือมีเงินอยู่บ้างไหม เพราะเขาจะนำไปซื้อที่ดินเก็บไว้สักหน่อย เนื่องจากตั้งใจจะออกจากวังแล้วต้องมีกิจการเป็นของตัวเองเพื่อเลี้ยงชีพสักหน่อย ไหนจะผู้ติดตามอีกหลายคน ตั้งใจแล้วว่าจะเปิดเหลาอาหาร เพราะอาชีพเดิมที่บ้านแซ่ลิ้มในโลกเดิมนั้น พ่อแม่เขาเปิดร้านอาหารและขายดีมากจนขยายสาขาไปถึงห้าสาขาแล้ว เมนูส่วนใหญ่จะเป็นสูตรอาหารไทยจากคุณยายที่เคยทำงานในวังมาก่อน และยังมีสูตรอาหารจีนจากบ้านคุณพ่ออีกด้วย ซึ่งเขาเองก็เคยช่วยงานในครัวเป็นประจำจนจำสูตรได้ทั้งหมด ขนมไทยก็ยังทำได้จนเพื่อนหลายคนในสาขาประวัติศาสตร์ไทยและสากลเคยถามว่า ทำอาหารอร่อยขนาดนี้ทำไมไม่เรียนคหกรรม แต่เขาชอบประวัติศาสตร์และสาขาที่เรียนยังได้เรียนประวัติศาสตร์ของจีนอีกด้วย 

แสงจันทร์รินผ่านช่องหน้าต่างไม้ลายฉลุ ส่องต้องฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศ ภายในห้องลับของตำหนักไฉ่หงเงียบงันราวกับเวลาหยุดหมุน เสียงฝีเท้าเบา ๆ สามคู่ก้าวเข้ามาทีละก้าว องค์หญิงหลิงเซียงถือโคมไฟกระจกทรงกลมไว้ในมือ แสงส้มอ่อนสะท้อนเงาเรียวยาวบนพื้นหินเย็น 

"ที่นี่... ข้าจำได้ว่าเป็นห้องนี่เป็นห้องที่เสด็จแม่แอบสร้างไว้ให้ข้า" หลิงเซียง

พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความสั่นไหว ไป๋กงกงโค้งคำนับ 

"พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง เมื่อครั้งนั้นอดีตฮองเฮาหลินเจินทรงโปรดให้สร้างห้องลับไว้ใต้ตำหนักไฉ่หง เพื่อเก็บของสำคัญและทรัพย์สินที่ทรงสะสมไว้เพคะ" ไป๋กงกง

หม่ากูกูซึ่งถือเทียนเล่มเล็กเดินนำไปตรงกลางห้อง ก่อนใช้ปลายเทียนเคาะที่พื้นไม้สามครั้ง เสียง "กึก" เบา ๆ ดังขึ้น แล้วพื้นตรงหน้าก็แยกออกเผยบันไดหินแคบ ๆ ที่ทอดลงไปสู่ใต้ดิน กลิ่นไม้เก่าผสมกลิ่นกำยานจาง ๆ ลอยคลุ้งเมื่อทั้งสามก้าวลงไปข้างล่าง ภายในห้องลับมีโคมไฟหยกติดผนัง ด้านในเรียงรายไปด้วยหีบไม้หอมประดับทองหลากขนาด ผ้าไหมบางผืนยังห่อด้วยริบบิ้นแดงเก่า บางหีบประทับตราประจำพระองค์ของอดีตฮองเฮาหลินเจิน ผู้เป็นมารดาของหลิงเซียง

ไป๋กงกงเปิดหีบใบหนึ่งเผยให้เห็นถุงผ้าไหมบรรจุทองแท่งและหยกเนื้อใสหลายสิบชิ้น ส่วนหม่ากูกูเปิดอีกหีบหนึ่ง ภายในเต็มไปด้วยอัญมณีและแผ่นหยกที่จารึกอักษรโบราณ องค์หญิงหลิงเซียงมองสิ่งเหล่านั้นอย่างนิ่งงัน 

"เสด็จแม่คงรู้... ว่าสักวันจะเกิดเรื่องไม่ดีกับ จึงซ่อนทุกสิ่งไว้ในที่ที่ไม่มีใครนึกถึง" หลิงเซียง

ขณะนั้นเองหม่ากูกูพบกล่องไม้ดำขนาดเล็กซ่อนอยู่ใต้หีบ 

"องค์หญิงเพคะ กล่องนี้... ไม่มีตราเลยเจ้าค่ะ" หม่ากูกู

องค์หญิงหลิงเซียงรับมา พอเปิดออกเสียง "แกร๊ก" ดังขึ้นภายในมีกล่องหยกสีขาวแกะลายดอกเหมย เมื่อเปิดออกปรากฏพัดทองคำอันหนึ่ง ปักลายมังกรคู่และนกฟีนิกซ์พันกัน พร้อมจดหมายเก่าแผ่นหนึ่งผูกด้วยด้ายแดง เขาค่อย ๆ คลี่ออก ลายอักษรเป็นลายมือของพระมารดา

 "หากวันใดเจ้าพบจดหมายนี้ จงทำตามที่แม่เคยสอนให้ออกไปไกลห่างจากวังหลวงนี้แล้วไปเริ่มต้นชีวิต หรือให้ไปหาท่านตาเจ้าที่เมืองหยางโจวอย่าพึ่งกลับตระกูลเกา ยิ่งเจ้าไกลจากวังหลวงเท่าไหร่เจ้ายิ่งปลอดภัย ถ้าให้ดีอย่าได้ห่างจากท่านตาและเหล่าญาติผู้พี่ของเจ้าเด็ดขาด" หลินเจิน

องค์หญิงหลิงเซียงคนใหม่ยิ่งอ่านยิ่งงงกับจดหมายของอดีตฮองเฮามาก แต่ก็ช่างเถอะอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะออกจากวังอยู่แล้ว แต่ก่อนออกขออยู่ช่วยคนในวังก่อนแล้วกันช่วยให้สถานการณ์เบาบางลงก็ยังดี ไม่นึกของเลือกทำวิจัยราชวงศ์เว่ยเลย พอรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรก็อดช่วยไม่ได้อยู่ดี

"องค์หญิง… นี่หมายความว่า..." ไป๋กงกง

"ใช่ ท่านแม่อยากให้พวกเราออกไปเริ่มต้นใหม่ที่นอกวังกัน" หลิงเซียง

"แล้วเรื่องคนที่ทำร้ายองค์หญิง พระองค์ทรงจะทำเช่นไร เพค่ะ" หม่ากูกู

"ข้ายังไม่ปักใจเชื่อว่าฝ่าบาทจะทรงสั่งลงมือทำร้ายข้าได้ อย่างไรฝ่าบาทก็ทรงยำเกรงท่านตาอยู่มาก ทางฝ่ายรัชทายาทจิ้งไฉก็ไม่น่าจะใช่ เอาไว้ค่อยสืบทีหลังแล้วกัน แต่ตอนนี้ดึกแล้วแยกย้ายกันไม่นอนเถอะ ข้าง่วงมากแล้ว" หลิงเซียง

"เพค่ะ" หม่ากูกู

"พ่ะย่ะค่ะ" ไป๋กงกง

ตำหนักไฉ่หงที่อยู่นอกกำแพงวังมิได้โอ่อ่าฟุ้งเฟ้อดังตำหนักชั้นใน หากงดงามด้วยความเรียบสงบอ่อนโยนดุจลมหายใจของยามรุ่งอรุณ ตัวตำหนักสร้างด้วยไม้หอมเก่าที่สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่กลับเพิ่มเสน่ห์อย่างประหลาด หลังคามุงกระเบื้องเขียวหม่น มีเถาวัลย์ดอกเล็ก ๆ เลื้อยเกาะอยู่ตามชายคา เมื่อลมพัดกลีบดอกจะโปรยลงเบา ๆ เหมือนหิมะกลางฤดูใบไม้ผลิ ลานหน้าตำหนักปูด้วยศิลาเรียบ มีต้นเหมยสองต้นยืนอยู่ข้างประตู ไม่มากเกินไม่ขาดเกิน กลีบดอกสีจางร่วงโรยอยู่บนพื้นหินขาวให้ความรู้สึกสงบงามอย่างเรียบง่าย ริมลานมีสระน้ำตื้นที่เลี้ยงปลาทองไม่กี่ตัว น้ำในสระใสจนเห็นเงาไม้สะท้อนชัด

ภายในตำหนัก ไม่มีเครื่องประดับหรูหรา มีเพียงโต๊ะไม้เรียบหนึ่งตัว แจกันเคลือบสีขาวบรรจุดอกไม้สดไม่กี่กิ่ง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยคลอไปกับเสียงลมที่ลอดเข้าทางหน้าต่างไม้ฉลุ เสียงนั้นผสมกับเสียงผ้าแพรบางไหวเบา ๆ กลายเป็นทำนองแห่งความสงบที่ยากจะหาได้ในวังหลวง ยามสายหมอกคลอรอบตำหนัก ไฉ่หงดูประหนึ่งหลบซ่อนอยู่ในฝัน งดงามไม่ด้วยความหรูหรา แต่ด้วยความเรียบและความนิ่ง ที่ทำให้ผู้พบเห็นเผลอลดเสียงฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว

เช้าวันต่อมาองค์หญิงหลิงเซียงตื่นแต่เช้าเข้าครัวเพื่อทำอาหาร ถึงตำหนักไฉ่หงจะอยู่กำแพงวังหลวงแต่ก็มีเหล่าองครักษ์ค่อยดูแลอยู่ไม่ขาด แต่ทำไมถึงโดนจับตัวได้กันนะแถมยังไปตายไกลถึงตำหนักเย็นเลยแปลกมาก แต่ช่างเถอะค่อยสืบหาความจริงอีกที ตอนนี้ทำกับข้าวก่อนแต่จะว่าไปห้องครัวก็ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย แบบนี้ขอแสดงเสน่ห์ปลายจวักให้เหล่าคนในตำหนักชิมก่อนแล้วกัน

วันนี้หลิงเซียงจะทำเมนูที่มีวัตถุดิบที่มีอยู่ในครัวนั้นก็คือโจ๊กหมูสับเห็ดหอม เป็นเมนูที่จะสั่งกินทุกเช้าไม่ก็ทำกินเองในวันหยุดถือเป็นเมนูโปรดเลยก็ว่าได้ ส่วนผสม โจ๊กหมูสับ ข้าวสาร หมูสับ ต้นหอมซอย ขิงซอย ขิงหั่นแว่น เห็ดหอม และไข่ลวก

เริ่มจากนำข้าวสารข้าวเจ้ามาต้มพร้อมน้ำแกงผักให้พอเม็ดข้าวแตกบานออกหน่อย ปิดไฟ แช่ข้าวทิ้งไว้ประมาณหนึ่งถึงสองเค่อ (15-30 นาที) เพื่อให้ข้าวอืดจากการดูดน้ำเข้าไป พอเราเอามาไฟอุ่นอีกรอบก็จะเปื่อยเละเป็นเนื้อโจ๊ก ตั้งหม้อใส่น้ำต้มจืดลงไปอุ่น จากนั้นเติมน้ำเปล่าเพิ่มลงไปใส่หมูสับต้มจนสุก ใส่ขิงหั่นแว่นเพราะจะได้โจ๊กหอมขึ้น จากนั้นก็ตักใส่ชามโรยขิงซอยและต้นหอม ตอกไข่ใส่ลงไป เหยาะซีอิ๊วนิดและพริกไทยป่นหน่อยแค่นี้ก็อร่อยแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 2 อาหารจานแรกในโลกใหม่

    เมื่อทำใจยอมรับที่จะอยู่ในฐานะองค์หญิงหลิงเซียงได้แล้ว สิ่งแรกที่ทำคือตรวจดูทรัพย์สินมีค้าว่าพอที่จะนำไปขายหรือมีเงินอยู่บ้างไหม เพราะเขาจะนำไปซื้อที่ดินเก็บไว้สักหน่อย เนื่องจากตั้งใจจะออกจากวังแล้วต้องมีกิจการเป็นของตัวเองเพื่อเลี้ยงชีพสักหน่อย ไหนจะผู้ติดตามอีกหลายคน ตั้งใจแล้วว่าจะเปิดเหลาอาหาร เพราะอาชีพเดิมที่บ้านแซ่ลิ้มในโลกเดิมนั้น พ่อแม่เขาเปิดร้านอาหารและขายดีมากจนขยายสาขาไปถึงห้าสาขาแล้ว เมนูส่วนใหญ่จะเป็นสูตรอาหารไทยจากคุณยายที่เคยทำงานในวังมาก่อน และยังมีสูตรอาหารจีนจากบ้านคุณพ่ออีกด้วย ซึ่งเขาเองก็เคยช่วยงานในครัวเป็นประจำจนจำสูตรได้ทั้งหมด ขนมไทยก็ยังทำได้จนเพื่อนหลายคนในสาขาประวัติศาสตร์ไทยและสากลเคยถามว่า ทำอาหารอร่อยขนาดนี้ทำไมไม่เรียนคหกรรม แต่เขาชอบประวัติศาสตร์และสาขาที่เรียนยังได้เรียนประวัติศาสตร์ของจีนอีกด้วย แสงจันทร์รินผ่านช่องหน้าต่างไม้ลายฉลุ ส่องต้องฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศ ภายในห้องลับของตำหนักไฉ่หงเงียบงันราวกับเวลาหยุดหมุน เสียงฝีเท้าเบา ๆ สามคู่ก้าวเข้ามาทีละก้าว องค์หญิงหลิงเซียงถือโคมไฟกระจกทรงกลมไว้ในมือ แสงส้มอ่อนสะท้อนเงาเรียวยาวบนพื้นหินเย็น

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 1 โลกใบใหม่

    หมิวที่ตอนนี้เข้ามาอยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงได้สามวันแล้ว ทำให้ได้รู้ว่าองค์หญิงหลิงเซียงเป็นบุตรลำดับที่เก้าของอดีตฮ่องเต้หลงเฉิน และเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวของอดีตฮ่องเต้ที่เกิดจากอดีตฮองเฮาหลินเจิน องค์หญิงหลิงเซียงไม่มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ด้วยความที่เป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียว จึงไม่ค่อยสนิทกับบรรดาพระเชษฐาเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ที่เหล่าลูกชายลูกสาวเหล่าขุนนางตระกูลใหม่มักเข้าหาองค์หญิง ก็เพราะท่านตาขององค์หญิงคือท่านแม่ทัพใหญ่ของกองทัพแคว้นเว่ยและผู้นำตระกูลเกาคนปัจจุบัน ตระกูลถือเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากจนใคร ๆ ก็ยำเกรงด้วยความที่เป็นธิดาเพียงพระองค์เดียวและยังประสูติจากฮองเฮา จึงทำให้เป็นที่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้หลงเฉิน ฮองเฮาเองก็ทรงรักองค์หญิงมาก จนกลัวในอนาคตหากพระมารดาและพระบิดาไม่อยู่แล้ว จะได้รับอนาคตจากเหล่าผู้คนที่ไม่หวังดี และไม่อยากให้ธิดาเพียงคนเดียวต้องมาต้องในวังวนของความแกร่งแย่งชิงดี จึงทูลขออดีตฮ่องเต้สร้างตำหนักส่วนพระองค์ไว้นอกกำแพงวังหลวง มีเพียงประตูขนาดสองคนเดินได้เป็นทางเชื่อมเท่านั้น พอเริ่มโตขึ้นจนอายุได้สิบขวบหนาวองค์หญิงก็เริ่มมีพฤติกรรมแป

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทนำ วันสุดท้าย

    แจวมาแจวจ่ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคนแจวว... เจ้ามา จากเมืองขอนแก่น หรือว่ามาจากแดน อุดรฯ กาฬสินธ์ หนองคาย บุรีรัมย์ เลย สุรินทร์... มัดหมี่ มัดหมี่ มัดหมี่ มัดหมี่ ขูดมะพร้าวทำกับข้าวอยู่ในครัว... จากอีสานบ้านนา มาอยู่กรุง. จากเมืองทุ่งลุยลาย. ชัยภูมิบ้านเดิม ถิ่นเกิดไกล. บ่ได้หมายจากจร... เสียงเพียงเชียร์ที่ดังเกือบตลอดสองข้างตาคณะต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยทำให้ผู้คน นักศึกษาทุกระดับชั้นรู้ว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงงานกีฬาสีของมหาวิทยาลัยที่จะจัดขึ้นในทุกปีเมื่อเปิดภาคเรียนที่สอง จะเห็นเหล่านิสิตนักศึกของแต่ละคณะรวมกันซ้อมเชียร์ซ้อมกีฬา ถึงจะเป็นกีฬาที่แข่งขันกันภายในมหาวิทยาลัย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องเล่นใหญ่ไว้ก่อนอยู่แล้ว แต่สำหรับ หมิว หรือ เปรมมิกา แซ่ลิ้ม นักศึกษาชั้นปีที่สี่ สาขาประวัติศาสตร์ไทยและสากล เทอมสุดท้าย เขาไม่มีเวลามาร่วมสนุกกับกีฬาสีหรอกเพราะงานวิจัยอันแสนโหดรอเขาอยู่ ขนาดก่อนเปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์หมิวและเพื่อนทั้งสาขาได้มาพบอาทิตย์หน้าเพื่อฟังแนวทางการทำงานวิจัย แค่ฟังยังไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรลึกมากมายยังแทบปวดหัว นี้เปิดเทอมมา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status