Home / แฟนตาซี / เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส / บทที่ 3 โดนเรียกตัวเข้าเฝ้า

Share

บทที่ 3 โดนเรียกตัวเข้าเฝ้า

last update Huling Na-update: 2025-11-01 01:08:49

เช้าวันนั้นในตำหนักไฉ่หง อากาศสดชื่นหลังสายหมอกจาง ๆ ลอยเหนือสระน้ำ เสียงนกเล็กเจื้อยแจ้วบนต้นเหมยกลายเป็นบทดนตรีอ่อนโยนของยามเช้า องค์หญิงหลิงเซียงเสด็จออกมาจากครัวเล็กด้านหลังตำหนักด้วยถ้วยโจ๊กร้อน ๆ ในมือ กลิ่นหอมของหมูสับและเห็ดหอมลอยอบอวลจนทุกคนที่อยู่ในลานต้องหันมามอง

ไป๋กงกงกับหม่ากูกู ผู้เคยรับใช้อดีตฮองเฮานั่งอยู่ใต้ศาลาไม้ รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของทั้งคู่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจและความคิดถึงในวันเก่า ๆ ที่ยังเคยอยู่ในวัง เสี่ยวถังจื่อกับเสี่ยวผิงจื่อ ขันทีหนุ่มทั้งสองช่วยกันจัดชามและตะเกียบอย่างคล่องแคล่ว ส่วนซินเหมยกับจูซิงนางกำนัลรุ่นเยาว์ ก็ตักโจ๊กร้อน ๆ แจกจ่ายด้วยใบหน้ายิ้มละไม เมื่อทุกคนได้ชิมต่างก็ส่งเสียงชมไม่ขาดปาก

"โอ้...กลิ่นหอมชวนกินแท้ ๆ เพค่ะ" หม่ากูกู

"เนื้อหมูนุ่มละลายในปาก เห็ดหอมก็หั่นบางได้พอดีคำ ฝีมือองค์หญิงยอดเยี่ยมจริง ๆ พะย่ะค่ะ" ไป๋กงกง

หม่ากูกูพูดพลางยิ้มตาหยี ส่วนไป๋กงกงเอ่ยพร้อมพยักหน้าอย่างชื่นชม ขันทีหนุ่มทั้งสองก้มหน้าซดโจ๊กร้อน ๆ ด้วยความพึงพอใจ ส่วนซินเหมยกับจูซิงหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเฟิงหวงองครักษ์เงาผู้เย็นชา ยกช้อนขึ้นอย่างลังเลแต่สุดท้ายเมื่อได้ชิม เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า

"อร่อย...มาก" เฟิงหวง

คำพูดสั้น ๆ นั้นทำให้ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กันทั้งโต๊ะ ห่าวเฉิงที่ยืนเฝ้าอยู่มุมศาลาก็แอบยิ้มบาง ๆ เช่นกัน

เช้านั้นตำหนักไฉ่หงไม่ได้อบอวลเพียงกลิ่นโจ๊กร้อน แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ความรู้สึกของบ้าน ที่ห่างหายไปนานภายในกำแพงแห่งอำนาจ

หลังอาหารเช้าอบอุ่นในตำหนักไฉ่หง ผ่านไปไม่นานนัก ความเงียบก็กลับมาอีกครั้งเงียบจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดใบเหมยกระทบกันเบา ๆ ภายในศาลาไม้หลังเดิม เฟิงหวงกับห่าวเฉิงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าองค์หญิงหลิงเซียง ทั้งสองสวมชุดองครักษ์สีดำที่เต็มไปด้วยรอยขาดและคราบเลือดเก่าซึ่งยังซึมอยู่ตามชายแขนเสื้อ แววตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด

องค์หญิงมองทั้งสองอยู่นานก่อนจะถอนหายใจแผ่ว นางสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีขาวเรียบ ผมดำยาวถูกรวบขึ้นอย่างง่าย ๆ แต่กลับทำให้ดูสง่างามเหนือใคร เฟิงหวงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน เสียงทุ้มของเขาสั่นเครือแม้พยายามควบคุม

"กระหม่อม…ไร้ความสามารถ ปกป้องพระองค์ไม่ได้ ปล่อยให้พวกมันจับพระองค์ไป" เฟิงหวง

"พอแล้ว" หลิงเซียง

องค์หญิงเอ่ยเสียงนุ่มแต่เด็ดขาด ดวงตาสงบคู่นั้นสะท้อนแสงเช้าจาง ๆ

"ข้ากลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วไง ไม่ต้องคิดมาก ข้ารู้ว่าพวกพี่ทำเต็มที่กันที่สุดแล้ว เอาเวลาที่โทษตัวเองไปตจามสืบหาคนร้ายดีกว่า" หลิงเซียง

ห่าวเฉิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยดวงตาแดงเรื่อ

"แต่หม่อมฉัน…ยังจำได้ทุกวินาทีที่เห็นร่างพระองค์นอนแน่นิ่งไป ข้าไม่อาจลืมภาพนั้นได้เลย" ห่าวเฉิง

เฟิงหวงกำมือแน่น เสียงพูดต่ำลงแทบเป็นเสียงพึมพำ

"ถ้าในตอนนั้นข้าพลาดหลงกลพวกมัน…" เฟิงหวง

องค์หญิงหลิงเซียงยื่นมือออกมาเบา ๆ วางบนไหล่ของทั้งสอง

"ความผิดนั้นมิได้อยู่ที่พวกพี่ แต่ที่โชคชะตา ข้าไม่อยากให้พวกพี่จมอยู่ในความโทษตัวเองอีกต่อไป จากนี้เรามีเพียงทางเดียวคือใช้ชีวิตที่เหลือ เพื่อทวงคืนความจริงและศักดิ์ศรีที่ถูกพรากไป" หลิงเซียง

เสียงลมพัดผ่านศาลาอีกครั้ง กลีบดอกเหมยปลิวร่วงตกบนพื้นใกล้เท้าองครักษ์ทั้งสอง พวกเขาก้มศีรษะพร้อมกัน ดวงตาเปี่ยมด้วยคำมั่นที่ไม่มีวันเปลี่ยน เฟิงหวงกับห่าวเฉิงกล่าวเสียงหนักแน่น

"ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด กระหม่อมจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องพระองค์อีก" เฟิงหวง

"ชีวิตของกระหม่อม มีไว้เพื่อปกป้องพระองค์เท่านั้น" ห่าวเฉิง

องค์หญิงหลิงเซียงมองทั้งคู่ด้วยแววตาอ่อนโยนปนเศร้า

"ข้ารู้… และข้าจะไม่ยอมให้พวกพี่หรือใครในตำหนักไฉ่หงต้องสูญเสียเพราะข้าอีกเช่นกัน" หลิงเซียง

เงียบงันนั้นงดงามและหนักแน่น เหมือนคำสัญญาที่ผูกพันด้วยเลือดและความภักดีในสายลมฤดูใบไม้ผลิ

รุ่งเช้าวันถัดมาหมอกบางยังคลอรอบตำหนักไฉ่หงไม่ทันจางดี ขันทีจากวังหลวงก็มาถึงพร้อมตราประทับทองคำของราชสำนัก เสียงเรียกนั้นดังก้องในลานเงียบราวกับเสียงระฆังปลุกใจ

"มีรับสั่ง ฮ่องเต้จิ้งอู่โปรดเกล้าให้ องค์หญิงหลิงเซียงเข้าเฝ้า เป็นการส่วนตัวที่ตำหนักเฉียนชิงกงในยามเซินนี้!"

เหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนักไฉ่หงต่างชะงัก มือที่ถือถาดชาและผ้าเช็ดหน้าสั่นระริกไปชั่วครู่ ความเงียบเข้าปกคลุมราวกับแม้แต่เสียงลมหายใจก็หนักเกินไป องค์หญิงหลิงเซียงนั่งอยู่ใต้ชายคาไม้ นางวางถ้วยชาลงอย่างช้า ๆ สายตาสงบนิ่ง แต่ในความนิ่งนั้นแฝงประกายที่ใครก็มองออกความเยือกเย็นและระแวดระวัง

"องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ… นี่มิใช่เรื่องเล็ก ฮ่องเต้ทรงเรียกหาโดยกะทันหัน เหตุใดถึงต้องเป็นตอนนี้..." ไป๋กงกง

"หรือว่าพวกเขาเริ่มสงสัยเรื่องในตำหนักเย็น..." หม่ากูกู

องค์หญิงยกมือขึ้นให้ทั้งคู่เงียบนางยืนขึ้นช้า ๆ ชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนปลิวเบาในสายลม แสงแดดยามเช้าสาดต้องดวงหน้าที่งามสงบเย็นจนยากจะอ่านความคิดได้

"อย่ากังวล ข้าอยู่ในเงามืดมานาน ถึงเวลาต้องออกมาพบแสงบ้างแล้ว" หลิงเซียง

เฟิงหวงกับห่าวเฉิงคุกเข่าข้างหน้า ดวงตาทั้งคู่ส่องประกายแข็งกร้าว

"กระหม่อมจะติดตามไปด้วยพะย่ะค่ะ/พะย่ะค่ะ"

"ไม่ต้อง...ตำหนักหลวงมีสายตานับร้อย ข้าไปเพียงลำพังย่อมปลอดภัยกว่า พวกเจ้าจงคอยที่นี่ หากข้าไม่กลับภายในยามอิ่ว จงเตรียมทำตามแผนที่ข้าเคยสั่งไว้ ออกไปให้ไกลจากวังหลวงซะ" หลิงเซียง

คำพูดนั้นทำให้ลานทั้งลานนิ่งงัน ความเงียบของเฟิงหวงและห่าวเฉิงมีเพียงเสียงกำมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดเป็นคำตอบ แต่ในใจหลิงเซียงนั้นกลับตื่นเต้นที่จะได้เจอบุคคลที่เคยเจอเพียงแค่ในหนังสือหรือบทความเท่านั้น วันนี้จะได้เจอตัวจริงสักทีรู้สึกตื่นเต้นมากเลย

องค์หญิงหลิงเซียงหันกลับไปมองตำหนักไฉ่หงเพียงครู่ แววตาอ่อนโยนฉายขึ้นเพียงวูบเดียว ก่อนที่นางจะก้าวขึ้นเกี้ยวเรียบที่ขันทีนำมารอไว้ อยากรู้จริง ๆ ว่าฮ่องเต้ตัวจริงจะหล่อเหมือนในละครที่เคยดูไหมนะ

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 76 เผชิญหน้ากับองค์รัชทายาท

    ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 75 ขอย้ายเข้าจวนตระกูลมู่

    หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 74 เทศกาลไหว้พระจันทร์

    ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 73 เข้าปีที่ 2

    ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 72 กลับเมืองหลวง

    เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 71 ฮูหยินข้าสุดยอดมาก

    มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status