หน้าหลัก / แฟนตาซี / เกิดใหม่เป็นเมียยักษ์ในวรรณคดี / เจ้าจันทร์เมียยักษ์ บทที่ ๑ เจ้าจันทร์คือสนมเอกของกรุงยักษา (๑)

แชร์

เจ้าจันทร์เมียยักษ์ บทที่ ๑ เจ้าจันทร์คือสนมเอกของกรุงยักษา (๑)

ผู้เขียน: Madam Hangover
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-12-31 00:40:37

มธุรสแทบจับต้นชนปลายไม่ถูก มารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเจ้าจันทร์ที่ตัวเองอยู่ในร่างขายตัวเองให้ผู้ชายโครงสร้างใหญ่โตท่าทางน่ากลัวบนบัลลังก์เสียแล้ว ตอนนี้เธออยู่บนหลังคชสารศึก ผู้ชายร่างใหญ่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ความองอาจแตะเข้ากับแผ่นหลังเปลือยที่มีแต่สไบหุ้มไว้บางๆ มือหนาถืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกับไม้หวายขนาดใหญ่ พอเห็นว่าคชสารใหญ่หยุดเดิน เขาก็ใช้ไม้นั้นฟาดแรงๆ โดยไร้ความปราณี

มธุรสนั่งช็อกซีนีม่าอยู่ท่ามกลางหลังช้าง ที่รอบๆ มีผู้ชายโครงสร้างใหญ่หลายคนขี่ม้า บ้างก็เดินอยู่ด้านล่าง มองรวมๆ ก็เป็นพันคนได้ นอกซะจากโครงสร้างที่ใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไป รอบข้างยังเป็นเหล่าบ้านเมืองที่ถูกเหยียบด้วยรอยเท้ามหึมาจนจมดิน มีศพเลอะดินเกลื่อนกลาด

ในความฝัน มันชัดเจนขนาดนี้เชียวหรือ

มธุรสได้แต่ถามตัวเองในใจ จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของลมหายใจเคียงข้างแก้ม

“เจ้าเห็นศพเกลื่อนกลาดพวกนี้หรือไม่ เจ้าจันทร์ของข้า” เสียงทุ้มต่ำดูทรงอำนาจดังข้างแก้มนวล เธอหน้าซีดจนไม่กล้าหันกลับไป ผู้ชายด้านหลังนั่นดูน่ากลัวราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไปตลอดเวลา “คนพวกนี้ยอมเสียชีวันเพื่อให้ข้าได้เคียงเจ้า”

“...”

“ถ้าเจ้าไม่ยอมเคียงกายข้า ทั้งที่ข้าพยายามมากมายเหลือคณานับ ได้เห็นดีกันแน่”

คนตัวเล็กตัวชาไปทั้งแถบ ภาวนาในใจว่าถ้านี่เป็นความฝันก็เป็นความฝันที่น่ากลัวเหลือแสน ผู้ชายข้างหลังเปรียบเสมือนไอ้โรคจิตซาดิสต์ที่ฆ่าคนเป็นเบือเพื่อให้ได้เจ้าจันทร์ที่อยู่ในฝันมาเป็นเมีย

การเดินทางผ่านไปสามวันสองคืน เป็นช่วงเวลาที่ทรมานเหลือเกิน เนื่องจากต้องนั่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนอิฐทับระหว่างต้นขาใหญ่โตมีแต่มัดกล้ามของชายทรงอำนาจผู้นั้น โดยที่เขาพยายามหอมหัว จูบหลัง ลูบแขนอยู่ตลอดเวลา

เรียกได้ว่าพอซื้อสาวมาได้แล้ว ก็ลวนลามตามใจอยากซะเลย โดยที่สาวเจ้าก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เพราะกลัวว่าเขาจะใช้มือใหญ่ๆ นั่นหักคอให้ตายในฝัน

ยังไงก็ตามถ้าฝันมันจะยาวนานขนาดนี้ ก็ช่วยให้แม่เจ้าจันทร์ในฝันนี้ง่วงเร็วๆ แล้วรีบตื่นด้วยเถิดนะ!

พร่ำภาวนาในใจอย่างหวาดหวาน จนมาถึงเมืองที่โอ่อ่า บ้านเมืองที่ใหญ่โต ประตูบ้านทุกเรือนที่สูงและใหญ่กว่าร่างกายมนุษย์ทั่วไป จนไปถึงเรือนประสาทหลังงามที่อยู่กลางเมืองใหญ่

ประตูวังถูกเปิดออก พร้อมกับเหล่าสาวงามที่ออกมาต้อนรับชายที่ซ้อนหลังเธอ

“ท่านสุวรรณราพณ์เจ้าขา ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ!” เสียงหวานระงมแทบเป็นเสียงเดียวกัน เท่าที่นับดูก็น่าจะสิบคนได้

“พี่จะอุ้มน้องลงเอง” หากแต่ชายด้านหลังที่ชื่อสุวรรณราพณ์กลับไม่ใส่ใจสาวงามเหล่านั้นแม้เพียงนิด เขากระโดดลงจากหลังช้างที่ค่อนข้างสูงลงอย่างสง่างาม และพนมมือท่องคาถาจนตัวขยายใหญ่เท่าช้างอย่างน่าอัศจรรย์

“ลงมาในมือพี่ เจ้าจันทร์” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากริมฝีปากที่มีเขี้ยวขนาดใหญ่ผุดขึ้นสองข้างมุมปาก และไพรเหงือกที่มักจะเป็นสัญลักษณ์ข้างมุมปากของอสุราในละครจักร์ๆ วงศ์ๆ มธุรสกลัวแสนกลัว แต่ก็จำใจก้าวขาสั่นๆ นั้นลงในมือมหึมาของมหาบุรุษตรงหน้า เขานั่งคุกเข่าทีพื้นดินกลับสะเทือน แล้ววางหลังมือลงบนพื้นดินให้เธอลงอย่างสะดวกสบาย

คะ... โคตรเจ๋ง เหมือนในอนิเมชั่นไททันที่ดูบ่อยๆ เลย หากแต่ชายที่ชื่อสุวรรณราพณ์คนนี้มีสติปัญญา และบำเร็จบำเรอเธออย่างดีราวกับเป็นเมียเอก ทั้งที่สาวๆ สวยๆ ที่รอต้อนรับนั้นพร้อมถึงสิบคน

จะว่าไปจะเป็นเมียเอกได้ยังไง ในเมื่อยังไม่ได้ร่วมรักกันเลยสักครั้ง แถมยังเพิ่งเคยเจอหน้าด้วย

จะว่าไปทำไมสาวๆ เหล่านั้นถึงมองเธอราวกับเป็นเรื่องชินชาเสียล่ะ?

ร่างใหญ่โตขยายกลับไปเป็นหนุ่ม ๒๕o เซนติเมตรดังเดิม บุรุษสุดหล่อเซอร์แต่ในขณะเดียวกันก็น่ากลัวเหลือเกินโอบเอวเธอ พาเดินเข้าไปในวังแทรกตัวผ่านสาวๆ เหล่านั้น

“น้องไปรอที่เรือนรับรองก่อนได้หรือไม่ คิดเสียว่าที่นี่คือวังของน้อง” ชายหนุ่มพูดเหนือศีรษะ ส่งต่อมธุรสให้สาวรับใช้ที่ยืนเตรียมการอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสาวร่างใหญ่เช่นเดียวกับเขา “ข้าจักต้องไปสะสางธุระปะปังต่ออีกหน่อย ยามพลบค่ำถึงจะกลับมาร่วมหลับนอนกับเจ้า”

สะดุ้งเฮือกกับคำว่า ‘ร่วมหลับนอน’ ที่ดูจะมีความหมายแอบแฝง หากแต่มธุรสก็ไม่มีทางเลือก ต้องพยักหน้ารับเบาๆ อย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น

“นวลละออของพี่” สุวรรณราพณ์เหมือนจะกล่าวชม พร้อมกับเอื้อมฝ่ามือใหญ่โตมาลูบแก้มนวลของเธอ ฝ่ามือหยาบกร้านและร้อนผ่าวทำเอามธุรสขนลุกซู่ “รอพี่อยู่ที่เรือนหอ พี่จักรีบกลับไป”

พูดพร้อมกับเดินร่วมทางออกไปกับผู้ชายร่างยักษ์หล่อเหลาที่เหลือบมามองเธอเป็นนัยๆ อีกสามนาย มธุรสยังยืนขนลุกซู่อยู่ที่เดิม จนรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตของเหล่าสาวๆ ที่ร่างกายเท่าๆ เธอ ดูเหมือนว่าเธอเหล่านั้นจะเป็นมนุษย์โครงสร้างปกติเหมือนกัน

“ท่านสุวรรณราพณ์หาสนมมาอีกแล้วหรือนี่”

“นั่นสิตองนวล ท่านไม่เคยพอพระทัยในสนมที่มีอยู่เลยหรือ”

“เชื่อสิ เดี๋ยวสนมคนนี้ก็ถูกเขี่ยทิ้งเฉกเช่นเรา”

มธุรสเงี่ยหูฟังที่พวกเจ้าหล่อนนินทา แม้จะไกลแต่ก็ชัดเจน แทบเอามือมาทาบอกอย่างตกใจเพราะชายที่ชื่อสุวรรณราพณ์สนมโคตรเยอะ (สนมที่แปลว่าเมียรองเมียหลวงอีกทีสินะ) นี่มันฮาเร็มในวังอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ยอมเป็นสนมคนที่สิบเอ็ดของชายชีกอผู้นี้เด็ดขาด

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่เป็นเมียยักษ์ในวรรณคดี   ภาค ๒ เจ้าจันทร์เมียยักษ์ ๒๓ จำต้องปล่อยมือจากเจ้า (๕) จบบริบูรณ์

    หลังจากที่จันทร์ดาได้พบกับแม่ที่แท้จริงของตนเอง แถมกรรณิกาอัปสรกับพระสุวรรณราพณ์ก็คิดจะจับมือกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ต่อลูกอีก ต้องยอมรับว่าเธอมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว “จันทร์ดา เจ้านี่ฝีมือดีจริงหนา” หญิงสาวยิ้มเขินเมื่อมารดาของตนยกผ้าทอมือที่ถูกปักจากขนของครุฑขึ้นมาเชยชม แค่สอนการเย็บปักถักร้อยไม่กี่เดือน นับว่าลูกสาวของเธอหัวไวมากทีเดียว ถึงกับเย็บชุดสไบทรงเครื่องมาให้เลย แถมยังงามจับตาเสียด้วย “เจ้านี่มีพรสวรรค์น่าดู ข้าละภาคภูมิใจเสียจริงๆ” “เป็นเพราะท่านแม่สอนสั่งข้าเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ฝ่ายจันทร์ดาเองก็ถ่อมตัวและยกย่องความดีความชอบไปให้แม่ของตนเองแทน กรรณิกาอัปสรที่นั่งอยู่ร่วมกันที่ศาลาริมบึงบัวอดไม่ได้ที่จักแย้มยิ้มปิติยินดี เพราะตอนนี้แม่ลูกได้เข้าใจกันโดยสมบูรณ์ แถมยังสนิทสนมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีกด้วย ดูเหมือนจันทร์ดาเองก็ค่อยๆ เปิดใจให้เธอแล้วเช่นเดียวกัน บางคราหญิงสาวก็มองมาราวกับจะสื่อความขอบคุณ ตั้งแต่วันนั้น พระสุวรรณราพณ์ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในทุกกิจกรรมของลูกโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องบอก ในตอนนี้เหลือเพียงแค่จันทร์ดาที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้ เขาจึงพยายามเข้าหาล

  • เกิดใหม่เป็นเมียยักษ์ในวรรณคดี   ภาค ๒ เจ้าจันทร์เมียยักษ์ ๒๓ จำต้องปล่อยมือจากเจ้า (๔)

    กว่าจักรู้สึกตัวก็โน้มดวงหน้าลงไป คุกเข่าลงเพื่อให้ร่างใหญ่ได้พอดีกับร่างกายเล็กๆ ของนาง ริมฝีปากของหญิงชายใกล้กันจนเอื้อมถึง แต่น้องคนดีกลับเบี่ยงหน้าหนีในทันใด“ข้าบอกพี่แล้วนะ ว่าข้ามีสามีแล้ว” นางยังคงใจแข็งแม้นดวงใจจักเต้นรัวราวกับกลองทับ ดวงหน้าคมคายจึงผละออกไป พระสุวรรณราพณ์ไม่คิดบังคับใจหล่อน หากพร้อมกลับมาคืนใจเมื่อใด เขาจักรออยู่ที่นี่เสมอ “ข้าอยากมาพูดคุยเรื่องอินทร์มุก... ข้ารู้มาว่าบุตรชายของเจ้าพี่หายตัวไป”“ข้าเองก็จนปัญญาที่จักอบรมบ่มสันดานไอ้ลูกชายคนนี้แล้ว ในคุกหลวงก็เหมือนกับว่าจักลักพาพระสนมเนตรเกล้าไปด้วย มันอาจหลงรักนางเข้าจริงๆ” กรรณิกาอัปสรนึกครุ่นคิดถึงชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในบทสนทนา เนตรเกล้า... คงเป็นผู้หญิงปากเสียที่จักเข้ามาทำร้ายเธอในตอนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายเราหลงรักผู้หญิงร้ายกาจตนนั้น “นางถูกคุมขังเพราะเล่นชู้กับพระโอรส พี่กลัดกลุ้มใจเหลือเกิน”อัปสรสาวนึกตกใจ ไม่คิดว่าลูกชายที่เคยตัวเล็กน่ารักเพียงครึ่งข้อขาคนนั้นจักเติบโตมาเกเรอาจหาญเล่นชู้กับผู้หญิงได้ แถมยังเป็นพระสนมของพ่อตนเอง ดูท่าว่าการเอาใจใส่ของเขานั้นจักมีปัญหา ลูกจึงเสียนิสัยไปได้ไกลเช่นน

  • เกิดใหม่เป็นเมียยักษ์ในวรรณคดี   ภาค ๒ เจ้าจันทร์เมียยักษ์ ๒๓ จำต้องปล่อยมือจากเจ้า (๓)

    หากแต่เด็กหนุ่มที่มองจ้องมาทางหล่อนนั้น ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ราวกับเขาจ้องมองมาด้วยความใคร่อยากจักรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย แลไม่ได้ไว้ใจในตัวของหญิงสาวชาวมนุษย์นักไกรสรไม่ได้รับรู้เรื่องราวได้ชัดเจนสักเท่าไร เนื่องจากเจอแม่อีกทีก็ตอนที่พระสุวรรณราพณ์เล่าเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รู้แค่เพียงว่ามารดาพานางมาเพื่อต้องการชดเชยความผิดจากอดีตที่ทำต่ออีกฝ่าย เขาไม่ได้มาในตอนที่กรรณิกาเสกดวงตาที่ชิงมากลับไปให้เจ้าจันทร์ หรือแม้แต่เห็นตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในฐานะที่น่าอดสู จึงยังคงมีความคลางแคลงในตัวของเจ้าจันทร์อยู่พอสมควรเมื่อนึกถึงอดีต... ภาพของจันทร์ดาก็หวนคืนกลับมา ชวนให้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่เล็กน้อย ที่ถึงแม้มารดาของตนจักเป็นฝ่ายเจรจาให้เอง แต่ชายผู้นั้นคือบิดาของจันทร์ดา เขาคงไม่มีวันให้อภัยอสุราตนนั้นที่เคยทำร้ายแม่ เหมือนที่แม่ให้อภัยเขาได้หรอกไกรสรคงไม่กล้าอาจหาญครองรักกับจันทร์ดา ในขณะที่มองดูแม่ที่เคยผิดหวังจากความรักต่ออสุราผู้นั้นได้ หากมีแม่กับผู้หญิงที่สมควรจะรัก เขาคงเลือกแม่ตนเองอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะแม่คือทุกอย่างของเขา แม่ผู้ให้กำเนิด แม่ที่ทำให้เขาเติบใหญ่มาอย่างดีที่สุ

  • เกิดใหม่เป็นเมียยักษ์ในวรรณคดี   ภาค ๒ เจ้าจันทร์เมียยักษ์ ๒๓ จำต้องปล่อยมือจากเจ้า (๒)

    ณ เมืองจันทร์ในเวลานั้น“เจ้าหญิงงั้นรึ! ที่พระราชวังมิมีองค์หญิงอีกต่อไปแล้ว นางโดนราชายักษ์จับกินจนมิเหลือแม้แต่กระดูก แลเจ้าเองก็มิใช่องค์หญิง เจ้าตาบอด นำนังคนบ้านี่ออกไปนอกอาณาเขตราชวัง นี่เป็นรับสั่งจากกษัตริย์!”กว่าจักใช้ปีกน้อยๆ นั้นบินฝ่าเมฆหมอกมาสู่เมืองที่เคยจากมา จำต้องใช้สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสูง เจ้าจันทร์ในร่างนกการเวกตาบอดโผบินแลกลายเป็นร่างหญิงสาวในชุดไทยวิจิตร หากแต่ดวงตาที่บอดสนิททั้งสองข้างนั้น พร้อมทั้งท่าทางที่ราวกับคนไม่สมประกอบ ทำให้ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ต่างพากันเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนบ้าใบ้สติไม่ดี เจ้าจันทร์นั้นเดินโซเซด้วยตีนเปล่ามาจนถึงหน้าประตูวังตามกลิ่นลมรอบตัว แต่กลับถูกนายทหารไล่ตะเพิดออกมาดูเหมือนว่าเมืองจักถูกซ่อมแซม เกณฑ์ประชาชนที่ยังมีชีวิตรอดมาสร้างเมืองใหม่ แม้จักทุลักทุเลแต่ก็กลับมาแทบจะเหมือนเก่า เพราะกษัตริย์ยักษ์ตนนั้นมิได้คิดจักทำลายไปทั้งเมือง คงต้องขอบใจในวาสนาของลูกสาวที่เป็นตัวตายตัวแทน แลนางคงไม่มีวันกลับมา ว่ากันว่ายักษ์นั้นดุร้าย ป่านนี้คงไม่เหลือแม้แต่ซากเป็นแน่เอาเถอะ ขอแค่เมืองแลพระราชารอดพ้นวิกฤตนี้ไปก็พอใช่ เสด็จพ่อที่ดู

  • เกิดใหม่เป็นเมียยักษ์ในวรรณคดี   ภาค ๒ เจ้าจันทร์เมียยักษ์ ๒๓ จำต้องปล่อยมือจากเจ้า (๑)

    “มธุรสวดี งั้นเจ้ายินดีจักกลับไปอยู่กับพี่ใช่หรือไม่ เจ้ารู้ความในใจของพี่แล้ว แลพี่เองก็มิรู้ว่าจักชดเชยความรู้สึกที่เสียไปของเจ้าเช่นไร พี่โป้ปดเจ้า พี่ทำให้เจ้าช้ำอุรา พี่รู้ดี...”“พี่สุวรรณราพณ์ ข้าเคยมีความรักอันดีต่อพี่ ข้ามอบใจให้พี่ แลตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ท้าวไกรสิงห์สยายปีกสีชาดด้วยสีหน้าขุ่นหมองราวกับไม่อยากรับฟังสิ่งใดต่อจากนั้นอีกต่อไปแล้ว เขารู้ดีว่านางยังคงมอบดวงใจเฝ้ารักไอ้อสุราตนนั้น แลไม่มีเหตุผลที่จักไม่กลับไป ตลอดมาเขาทำได้เพียงรักแลถนอมนางให้ดีที่สุด“...”“แต่ข้าคงมิอาจตอบตกลงเพื่อกลับไปหาพี่ได้ ข้าค้นพบสถานที่ที่ข้าต้องอยู่แล้ว”“...”“แม้นจักไม่เทียบเท่าที่เคยมอบให้พี่ แต่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจที่จักมอบชีวิตให้พี่ไกรสิงห์ แลข้าเอง... ก็มีลูกชายที่ต้องดูแลในฐานะมารดาต่อจากนี้”“...!!”“หากพี่เข้าใจแลกลับไปแต่โดยดี ข้าอาจจักขอมากไป แต่ข้าขอฝากอินทร์มุกแลจันทร์ดาไว้กับพี่ด้วย ข้าอยากให้พี่ดูแล มอบความรักให้พวกเขาราวกับเป็นลูกแท้ๆ ของเรา... ถึงแม้ว่าข้าจักมิได้ตั้งท้องพวกเขามาก็ตาม”“...”“แต่ถ้าหากพี่ยังดึงดันจักฆ่าพี่ไกรสิงห์ ก็เอาชีวิตของข้าไปแท

  • เกิดใหม่เป็นเมียยักษ์ในวรรณคดี   ภาค ๒ เจ้าจันทร์เมียยักษ์ ๒๒ ทวงคืนเจ้า (๔) จบตอน

    ความมืดที่กลืนกินสุวรรณราพณ์นั้นทำให้เมื่อครบวันตามกำหนด เขาจึงเคลื่อนทัพด้วยตัวคนเดียว ฝ่ามือกุมดาบทมิฬไว้แน่น ดวงตาวาวโรจน์ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจนเห็นเป็นเพียงเรือนกายสีทมิฬ เขาเหาะเหินเดินอากาศไปตามนภา ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์พร้อมความพยาบาท บีบเค้นอัปสรบนท้องฟ้าเพียงถามหาทางไปวิมานฉิมพลี ด้วยความกลัวเพราะพญายักษ์นั้นเสียสติไปแล้ว เหล่าอัปสรชี้ไปทางเมฆที่เกาะกลุ่มแน่นหนาที่สุด เพียงขว้างศาสตราวุธไปทางกลุ่มเมฆเหล่านั้น ก็เกิดอัสนีบาตรจนกลุ่มเมฆเผยเส้นทางภายในที่เต็มไปด้วยแผ่นดินลอยฟ้า ปกคลุมไปด้วยต้นงิ้วออกดอกสีแดงฉานห้อยระย้าดูงดงามตระการตา แต่บัดนั้นสีแดงจักเป็นสีของโลหิตเหล่าประชาชนเมืองครุฑให้สาสมใจเขาเคลื่อนตัวออกจากเมืองยักษาโดยมิได้แจ้งจักษ์แก่ผู้ใดในเมือง มิว่าจักเป็นราชครูผู้สนิท หรือแม้แต่เหล่าอำมาตย์ผู้ภักดี เมื่อใช้เพลาจนสังวรีราพณ์สามารถกัดกินจิตใจได้เกินครึ่ง เขาจึงใช้แรงอสุรกายทมิฬขับเคลื่อนท่องคาถาเหาะเหินเดินอากาศหวังเพียงได้ฆ่าเผ่าพันธุ์ครุฑให้เหี้ยนแลพาอัปสรสุดที่รักกลับมาแลถ้าหากนางมิกลับมาที่นี่ เขาจักยอมดับดิ้นไปพร้อมกับคำสัตย์สาบานที่ว่ามิว่าชาติไหน ก็จ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status