LOGIN
ความมืด...
นั่นคือสิ่งเดียวที่เมฆินทร์รับรู้ได้ มันคือความว่างเปล่า ไร้เสียง ไร้ความรู้สึก ไม่มี ความเจ็บปวดใด ๆ จากบาดแผล ไม่มีความโศกเศร้าจากการสูญเสีย มีเพียงความสงบนิ่ง ความสงบเงียบอันเป็นนิรันดร์ หรือบางทีในตอนนี้ เขาอาจจะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตาย
แต่ทว่า... เขาเริ่มได้ยินเสียงบางอย่าง
ปี๊บ... ปี๊บ...
เป็นเสียงที่ฟังดูเหมือนสัญญาณจากเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ดังในจังหวะสม่ำเสมอ เสียงนี้ค่อย ๆ ดึงสติสัมปชัญญะของเขาให้กลับมาจากห้วงลึกแห่งความว่างเปล่า เหมือนเสียงที่นำทางและฉุดรั้งวิญญาณของเขาไม่ให้จมดิ่งลงสู่เหวแห่งความมืดอันเป็นนิรันดร์ไปมากกว่านี้
เมฆินทร์รู้สึกได้ถึงประสาทสัมผัสอื่น ๆ เริ่มตามมา กลิ่นฉุนจาง ๆ ของยาฆ่าเชื้อที่ล่องลอยอยู่ในมวลอากาศ ความรู้สึกหนักอึ้งของเปลือกตา และสัมผัสของเนื้อผ้าที่ปกคลุมอยู่บนร่างกาย
‘นี่เรา... ยังไม่ตายจริง ๆ ใช่ไหม’
ความคิดแรกแล่นเข้ามาในหัว พร้อมกับความหวังอันริบหรี่ เมฆินทร์พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะฝืนเปลือกตาอันแสนหนักอึ้งนี้ให้เปิดขึ้น ยามที่แสงสว่างค่อย ๆ ตกกระทบกับดวงตาของเขา ทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสภาพ จนในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นและมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
เพดานสีขาวสะอาด เครื่องวัดสัญญาณชีพที่ส่งเสียงปี๊บดังอยู่ข้างเตียง และสายน้ำเกลือระโยงระยางเชื่อมต่ออยู่บนหลังมือของเขา เป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่เขาคิดได้อย่างชัดเจนว่าเขายังไม่ตาย
ที่นี่คือห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล และดูจากสภาพแวดล้อมแล้วมันดูทันสมัยมาก หรูหราจนแปลกตา
‘ทางค่ายคงทุ่มสุดตัวเพื่อรักษาศิลปินเบอร์หนึ่งของตัวเองไว้สินะ...’
เขากวาดสายตาสำรวจอย่างพึงพอใจ แต่สำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ไม่นานเขาก็นึกถึงเรื่องที่อยู่ในความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนจะร้องตะโกนลั่น
“พี่หลิน!!” เสียงอันแหบพร่าถูกเปล่งออกมาได้ไม่ดังนัก ความรู้สึกแสบคอร้อนผ่าวทำให้มีอาการสำลักออกมาเล็กน้อย เขาจำได้เป็นอย่างดีว่าก่อนสติจะหายไปเห็นผู้จัดการตัวเองในสภาพที่ยากจะยอมรับ
เมฆินทร์ลองพยายามขยับร่างกายของตัวเอง พบว่าเรี่ยวแรงที่มีมันน้อยนิด และแขนขาของเขาดูซูบผอมกว่าเดิมไปหลายกิโล... หรือเขานอนรักษาตัวที่นี่นานจนเกินไป ร่างกายถึงได้อ่อนแอขนาดนี้
แกร๊ก...
เสียงประตูห้องดังขึ้นดึงความสนใจของเมฆินทร์ให้หันไปมองช้า ๆ ก่อนจะพบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้า เรียกได้ว่าไม่รู้จักมาก่อนเสียด้วยซ้ำ รูปร่างสูงโปร่งสมส่วน แต่เสื้อผ้าดูไม่ค่อยเข้าชุดกันเท่าไหร่นักราวกับหยิบอะไรก็ได้จากตู้เสื้อผ้าก็หยิบออกมาใส่ก่อน ไหนจะผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงไม่ได้ถูกหวีหรือจัดทรง บ่งบอกได้เลยว่าระยะนี้คงไม่ได้ดูแลตัวเองแน่นอน เมื่อคน ๆ นั้นสบตากับเขา เจ้าตัวก็รีบพุ่งเข้ามาหาที่เตียงด้วยความร้อนรน ขอบตาเริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อคลอ
“ลมหนาว! ในที่สุดมึงก็ฟื้น กูแทบจะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม” ชายแปลกหน้าโพล่งขึ้นมาเสียงดัง พร้อมกับคว้ามือของเขาไปจับไว้แน่น ด้วยความตกใจเช่นกันเมฆินทร์พยายามจะดึงมือออก แต่เรี่ยวแรงไม่อาจสู้คนตรงหน้าได้
‘แต่เดี๋ยวนะ... ลมหนาว? เขาหมายถึงลมหนาวไหน?’
“คุณ... เป็นใครครับ?” เมฆินทร์ขมวดคิ้วด้วยความงง ถามเสียงแผ่ว ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ ๆ หรือคนนี้จะเป็นซาแซงที่แกล้งมาตีบทแตกหวังใกล้ชิดเขา
“เป็นใครเหรอ? นี่มึงถามจริงจัง หรือกำลังล้อเล่น” ชายคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะถามคำถามนี้ ก่อนจะรีบเอ่ยต่อ “กู สายหมอกไง เพื่อนสนิทที่สุดของมึงไงไอ้หนาว... มาทำหน้าเหมือนกูเป็นคนแปลกหน้าแบบนี้ไม่ตลกนะเว้ย!”
ยิ่งอีกคนบอกชื่อและสถานะของตัวเองออกมา เมฆินทร์ยิ่งสับสนและงุนงงหนักกว่าเดิม เขามั่นใจว่าในชีวิตนี้ไม่เคยมีเพื่อนชื่อสายหมอก และมั่นใจมากว่าเขาคงทักคนผิด เพราะเขาไม่ใช่ลมหนาวอะไรนั่นด้วย
“ผมว่า... คุณน่าจะจำคนผิดแล้วล่ะครับ” เมฆินทร์บอกตามความจริง “ผมชื่อเมฆินทร์ ไม่ใช่ลมหนาว”
คำตอบของเขาทำให้สายหมอกชะงักไปเล็กน้อย แววตาดีใจเมื่อครู่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสับสนและกังวลใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มือที่เคยบีบแน่นคลายออกเล็กน้อย
“เมฆินทร์? มึงพูดเรื่องอะไรของมึงวะ หรือว่า... นี่คือผลข้างเคียงจากยาพวกนั้นเหรอ? หมอบอกว่าอาจจะมีอาการสับสนบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ หรือมึงไปเยี่ยมยมบาลมาแล้วเขาบอกว่าคนที่จะตายชื่อเมฆินทร์ไม่ใช่ลมหนาวเลยส่งมึงกลับมา” สีหน้าของสายหมอกซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ร่ายยาวและรัวเร็วจนคนฟังแทบจะจับใจความไม่ทัน
“ฟังนะเพื่อน!.. กูรู้ว่ามึงเสียใจเรื่องไอ้เหี้ยภาส แต่กูขอร้องล่ะลมหนาว อย่าเป็นแบบนี้ได้ไหมวะ มึงคือเพื่อนสนิทคนสำคัญนะเว้ย”
สายหมอกเลื่อนมือทั้งสองมาจับแขนของที่ซูบผอมอีกครั้ง คราวนี้เป็นการสัมผัสที่แผ่วเบาและสั่นเทาจนเมฆินทร์รับรู้ได้ว่าคน ๆ นี้กำลังหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง “มึงมองหน้ากูดี ๆ สิ กูสายหมอกไง มึงจำกูไม่ได้จริง ๆ เหรอ?”
เมฆินทร์มองลึกเข้าไปในดวงตาของชายแปลกหน้าที่ยังยืนยันว่าเขาคือเพื่อนสนิท ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความกังวลอย่างแท้จริง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ได้ช่วยให้เมฆินทร์ยอมรับเรื่องนี้ได้ เพราะยังไงเขาก็ยืนยันว่าไม่เคยมีเพื่อนชื่อสายหมอกอยู่ดี
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะเว้ย... มึงอาจจะยังสับสนอยู่ เดี๋ยว... เดี๋ยวรอตรงนี้นะ กูจะไปตามหมอมาตรวจอาการมึง ห้ามลุกจากเตียงไปไหน” สายหมอกเน้นย้ำอย่างร้อนรน และรีบเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เมฆินทร์นอนนิ่งประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จะว่าไป... อุปกรณ์การแพทย์ที่นี่ไฮเทคมาก ไม่ค่อยคุ้นตาเท่าไหร่เลย ถ้าที่นี่คือโรงพยาบาลที่ทางค่ายออลสตาร์ทุ่มเทเงินเพื่อรักษาเขา มันก็น่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีด้วย ไม่น่าปล่อยให้ซาแซงหรือคนไม่รู้จักมาแอบอ้างคุยกับเขาแบบนี้สิ
‘28 กุมภาพันธ์ .. วันนี้จู่ ๆ ภาสก็มาขอเลิก เขาบอกว่าครอบครัวของเขาบังคับให้เขาไปแต่งงานกับคนระเดียวกัน คนที่เหมาะสมกับบ้านเขา.. โลกทั้งใบของฉันพังทลายลงแล้ว’ ‘2 มีนาคม .. ฉันพยายามยื้อและคุยกับเขาเพราะวันนี้เขามาเก็บเสื้อผ้าออกจากคอนโดของเรา แต่เขาไม่แม้แต่จะสบตาด้วยซ้ำ.. ทำไมถึงใจร้ายใส่กันได้ขนาดนี้’ ‘3 มีนาคม .. วันนี้ทั้งวันพยายามโทรหาเขาเพื่อที่จะขอโอกาสมาคุยกันให้รู้เรื่องแต่เขาไม่รับโทรศัพท์ฉันเลย.. ไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าความรักที่มีให้กันตลอดระยะเวลา 5 ปีมันจะสูญเสียไปภายในวันเดียวอย่างไม่ยุติธรรม’ ‘15 มีนาคม .. วันนี้ลองไปดักรอที่คณะ แต่เหมือนเขาจะหลบหน้าฉัน ภาสไม่ยอมแม้แต่จะติดต่อกัน เหมือนตัดขาดฉันออกไปจากชีวิตเขา.. ไหนว่าเราจะมีอนาคตร่วมกันไง? ไหนว่าจะสร้างครอบครัวที่น่ารักด้วยกัน? แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น!’ ‘18 มีนาคม.. ขอร้องล่ะ ฉันอยากได้แค่คำอธิบาย ความรักของเราไม่มีค่าพอให้เอาชนะทุกอุปสรรคได้จริง ๆ หรอ หรือฐานะทางสังคมสำคัญมากจริง ๆ เรา..ไม่ดีพอสำหรับเธอแล้วใช่ไหมในตอนนี้’ ‘27 มีนาคม .. เหงาจัง ที่ที่ไม่มีภาสอยู่มันไม่ม
สองวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าในห้องพักผู้ป่วยที่หรูหราแต่ไร้ชีวิตชีวา ในที่สุดเมฆินทร์ก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนเพลียเบาโหวงอย่างไม่คุ้นชิน แต่ก็ดีขึ้นมากหลังจากได้รับวิตามินและสารอาหารอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศในรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นแสนสงบ มีเสียงเพลงบรรเลงเปียโนเบา ๆ ชวนให้ผ่อนคลาย พราวฟ้าดูคลายความกังวลมากกว่าเมื่อหลายวันก่อนที่เข้ามาคุยกับเขา เธอขับรถด้วยท่วงท่าเรียบนิ่ง ไม่ได้ชวนคุยอะไรมากนัก คงเพราะอยากให้เขาได้พักผ่อนและชื่นชมบรรยากาศนอกโรงพยาบาลอย่างเต็มที่ ซึ่งเมฆินทร์เองก็รู้สึกขอบคุณในใจสำหรับความเงียบนั้น ทำให้มีเวลาจมอยู่กับตัวเอง พิจารณาและทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างที่แทบจะตลอดเวลาตั้งแต่เขาฟื้นมาก็เอาแต่คิดวนซ้ำ ๆ ไม่เลิก ดวงตาสีเทาเข้มทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มันไม่ใช่ความตื่นตระหนกเหมือนครั้งแรกที่สัมผัสกับที่แห่งนี้ แต่เป็นการเฝ้ามองด้วยสายตาของนักสำรวจ ในการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อม ทำความเข้าใจโลกใบใหม่ที่เขาถูกเหวี่ยงเข้ามา... สถาปัตยกรรมของตึกระฟ้าดูเน้นความทันสมัยและสวยงามแปลกตา ไม่มีแม้แต่เสาไฟหรื
“อะไรครับ? แต่อะไร” “ลูกใจเย็น ๆ ก่อน” พราวฟ้าเห็นท่าทางเริ่มไม่สงบของลมหนาว เธอเริ่มกังวลมากขึ้น “การรับการรักษาผ่านทางโรงพยาบาลต้องรอคิวที่นาน และทั้งพิสทิลเอง แอนไทเองก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะตกลงรักษาให้กันหรือปฏิเสธที่จะไม่รับเคสนี้ก็ได้ มันเลยทำให้การรันระบบช้ามากกว่าที่ควรจะเป็น” “เอ้า.. แล้วแบบนี้จะมาลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครเพื่อ?” เมฆินทร์ทั้งไม่เข้าใจ และงงหนักกว่าเก่า “เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายจ้ะ มันมีระบบกฎหมายเข้ามาคุ้มครองด้วยสำหรับแอนไทที่ลงทะเบียน เอาเป็นว่า… เราอย่าสนใจเลย เพราะที่แม่จะบอกคือแม่มีทางรักษาให้น้องหนาวแบบที่ไม่ต้องรอคิวอะไรทั้งนั้น อย่าที่แม่บอกไปพิษค่อนข้างรุนแรงจะมัวแต่ยืดเวลานานมากไม่ได้” พราวฟ้าพูดพลางลูบหัวลูกชายตนเบา ๆ เมื่อเห็นว่ามีการถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่คล้ายโล่งอก “งั้นดีเลยครับ แม่บอกวิธีมาเลย ผมจะทำตาม.. ผมไม่อยากจบชีวิตอีกรอบแล้วจริง ๆ” “ลูกยอมรับได้ใช่ไหม ถ้าลูกต้องมีอะไรกับแอนไทเพื่อการรักษาพิษ... มันอาจจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หรือสองครั้ง” “ห้ะ!! ด…เดี๋ยวนะ มีอะไรกับแอนไทหรอครับ
หลังจากสายหมอกกลับไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง พราวฟ้าเดินมานั่งข้างเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง เธอจับมือของลูกชายมากุมเอาไว้แน่น แววตาเต็มไปด้วยความรัก ความเจ็บปวดและความมุ่งมั่นที่แน่วแน่กับสิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกมาหลังจากนี้ และเป็นจังหวะเดียวกันที่เมฆินทร์เห็นป้ายชื่อที่ถูกปักไว้บนเสื้อกาวน์ของคนตรงหน้า ชื่อจริงเป็นชื่อพราวฟ้า ส่วนนามสกุลทำไมนามสกุลเดียวกัน มันเป็นความบังเอิญอีกอย่างที่น่าตกใจมาก บังเอิญราวกับถูกจับวาง รวมถึงการแสดงออกหรือสีหน้าท่าทางก็เหมือนแม่เนตรนภาในโลกเดิม แต่ที่สะดุดตาและชวนสงสัยมากกว่าคือแผนก เวชศาสตร์เพศรอง ชื่อแผนกแปลกจนในหัวเมฆินทร์นึกตลก หรือว่าจะเป็นพวกโอเมก้าอัลฟ่าแบบในนิยายที่เขาเคยอ่าน ‘ต้องช็อคอีกกี่เรื่อง… เพศรองมีจริงบนโลกเหรอ? โอเมก้าเวิร์สของแท้ไหมเนี่ย’ “ลมหนาว... ฟังแม่นะลูก” เสียงของพราวฟ้าจริงจังเรียกสติที่กำลังคิดนั่นคิดนี่ของเมฆินทร์ให้เข้าที่ “สิ่งที่อยู่บนหลังของลูก พิษของดอกอะโคไนต์... มันไม่ใช่สิ่งที่จะปล่อยไว้เฉย ๆ ได้ แม่ว่าลูกเข้าใจความร้ายกาจของพิษนี้ดี เพราะมันเคยกำเริบมาหลายครั้งแล้ว”
แกร๊ก.. เสียงประตูห้องพักผู้ป่วยดังขึ้นทำลายความฟุ้งซ่านของเมฆินทร์ บานประตูเปิดออกแต่เขาไม่ได้สนใจมัน เพราะคิดว่าสายหมอกอาจจะลืมของหรือไม่ก็ร้านเค้กที่ว่ามันอยู่ใกล้จริง ๆ จนใช้เวลาไม่นานก็กลับมาแล้ว เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ พร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่เขารู้สึกคุ้นเคยและจำได้ดี กลิ่นนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว รีบหันใบหน้าไปมองยังผู้มาเยือนทันที “ลูกแม่ฟื้นแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะคนเก่ง” อ้อมกอดที่อบอุ่นและนุ่มนวลถูกมอบให้กับเขา เมฆินทร์นิ่งค้าง ตัวแข็งทื่อไปหมด ซ้ำยังเผลอกลั้นหายใจ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาและสัมผัสที่กำลังได้รับ "แม่... ฟ้า...” เขาพูดเสียงเบาหวิวและสั่นเครือ สองแขนยกขึ้นกระชับกอดหญิงสาวที่สวมชุดกราวน์สีขาวสะอาดตาตรงหน้าแน่น แต่แล้วความปวดหน่วงที่ศีรษะก็กลับมาอีกครั้ง มันสร้างความทรมานให้กับร่างกาย เสียงรอบตัวเริ่มอื้ออึงแทบจะจับใจความไม่ได้ ‘อีกแล้ว... ความทรงจำมันไหลเข้ามาในหัวอีกแล้ว’ “หนาว ลมหนาว ลมหนาวลูก!” เสียงเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของร่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าดึงให้เมฆินทร์กลับมาสู่ปัจจุบัน น้ำตาใสไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
“อ๊ากกกกก!” เมฆินทร์เซถลาราวกับถูกผลักจนร่างกายเกือบทรุดลงไป แต่สองมือยังกำแน่นที่ขอบของเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า หอบหายใจอย่างหนักหน่วง ความรู้สึกที่เขาได้รับรู้แล่นพล่านไปทั่วร่างกายราวกับของจริง... ความปวดแสบปวดร้อนในช่องท้อง ความทรมานที่หัวใจ... และความสิ้นหวังที่กัดกินจิตใจ... เขารับรู้ถึงมันทั้งหมด ‘ถ้าสิ่งที่รับรู้ มันคือความจริง.. มันน่าสมเพชเกินไป! ยอมตายเพราะผู้ชายคนเดียวน่ะเหรอ? ช่างเป็นวิธีจบชีวิตที่ไร้ค่าสิ้นดี!’ ส่วนลึกในจิตใจของที่กำลังสับสนว่าตัวตนของเขาหรือความทรงจำที่ฉายชัด มันคืออะไรกันแน่ เมฆินทร์ที่มุ่งมั่นและทะเยอทะยานมาตลอดชีวิต จะไม่มีวันทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด แต่ทำไมความเจ็บปวดหรือทุกอย่างที่รู้สึกได้.. ราวกับมันคือตัวเขาเองที่เป็นผู้กระทำและทรมานกับมันแบบแสนสาหัส ดวงตาเวลานี้รื้นไปด้วยน้ำตา สมองของเขาพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด เขาคือเมฆินทร์ที่ก่อนหน้านี้เกิดอุบัติเหตุรถชน ร่างกายของเขาเหมือนกับจะแหลกสลายในครานั้น ก่อนจะไม่รับรู้อะไร สติอันเลือนรางอ้อนวอนต่อใครก็ตามที่เขานึกได้ให้เขารอด ‘หรือว่า.. พรข้อนั้นที่เขาขอ มัน







![กรงแค้นขังรัก [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)