หลี่อันหนิงพยักหน้าพลางลูบผมของเด็กน้อยซางเป่าอย่างภูมิใจ ตอนนี้ตนเองเป็นเพียงเด็กเท่านั้นไม่อาจทำตามใจตนดั่งเช่นผู้ใหญ่ได้ หากต้องการปกป้องน้องทั้งสองนางจำต้องมีอำนาจในมือ
และแล้วหลี่อันหนิงก็หวนกลับไปนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาที่แสนเย็นชาของท่านขุนนางหนุ่ม เพียงเท่านั้นในหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด
“พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าที่ใดที่เราสามารถใช้นอนได้”
เด็กสาวมองหน้าน้องน้อยของตนด้วยสีหน้าสนใจ หลี่ซางเป่าเดินลิ่วนำหน้าไปเหมือนกับคุ้นเคยเส้นทางบนภูเขา หลี่อันหนิงผู้เป็นพี่สาวรีบวิ่งตามจนกระทั่งทั้งสองไปถึงผาหินที่มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นรกชัฏแห่งหนึ่ง
“เป่าเอ๋อเราใช้ที่นี่นอนไม่ได้หรอกนะ มันรกเกินไปอีกอย่างอาจมีงูพิษออกมาก็ได้ รู้หรือไม่ว่ามันอันตราย”
หลี่ซางเป่าเกาหัวตนเองเบาๆ นางแสดงสีหน้ามั่นใจก่อนจะหันไปดึงแขนเสื้อของพี่สาว
“ได้เรานอนที่นี่ได้ นางบอกว่าคืนนี้ให้เรานอนที่นี่”
นางหรือ...ใครกัน หลี่อันหนิงมองใบหน้าที่เล็กกว่าฝ่ามือของน้องสาวอย่างงุนงง สายตาสำรวจมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีที่ใดเลยที่จะสามารถใช้นอนได้ แล้วเหตุใดซางเป่าถึงพูดเช่นนั้นออกมา
“ใครเป็นคนบอกน้องหรือ เป่าเอ๋อ”
“ท่านแม่”
เด็กน้อยเอ่ยออกมาด้วยดวงตาใสซื่อ หลี่อันหนิงตกใจไม่น้อยที่ได้ยินหลี่ซางเป่าเอ่ยถึงมารดา นางไม่เคยเห็นหน้าท่านแม่แล้วนางรู้จักท่านแม่ได้อย่างไร
“เป่าเอ๋อน้องกำลังล้อพี่เล่นใช่หรือไม่”
หลี่ซางเป่าส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปยังผาหินก้อนใหญ่ จากนั้นดึงเถาวัลย์ที่เลื้อยพันรอบๆ ออก ทำให้มองเห็นปากถ้ำเล็กๆ ที่ฝังอยู่ที่พื้นต่ำลงไป
หากไม่เดินเข้ามาหรือดึงเถาวัลย์ออกไม่มีทางที่พวกตนจะมองเห็นทางเข้าได้เลย
“เป่าเอ๋อนี่เจ้า....ท่านแม่มาบอกจริงๆ หรือ”
หลี่ซางเป่าพยักหน้าแสดงท่าทางจริงจัง หลี่อันหนิงรวบร่างเล็กของน้องสาวมาสวมกอด น้ำตาหยดหนึ่งของเด็กสาวปลิวหายไปกับสายลมด้วยความรู้สึกรวดร้าว ความหดหู่ครอบงำจิตใจของนางเหมือนดั่งเงามืดที่ปกคลุมทุกอย่าง
เมื่อนึกถึงอดีตยามเมื่อมีมารดาผู้งดงามคอยปลอบประโลมให้ความอบอุ่นครั้งยังเด็ก แม้จะทุกข์ยากลำบากทว่านางกลับรู้สึกว่าตนนั้นมีความสุขมากมายเพียงใด แต่ตอนนี้หลี่อันหนิงคิดว่าความสุขนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่วันหนึ่งจะสลายไปในที่สุด และนางอาจไม่มีวันได้สัมผัสมันอีกแล้ว
แต่มารดาที่คิดว่าจากไปหลายปี กลับยังคงวนเวียนอยู่รอบกายเพื่อคอยให้ความช่วยเหลือ ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่หลี่อันหนิงอยากจะเชื่อว่ามารดายังคงอยู่ที่นี่ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับความรู้สึกที่เรียกว่าความสุขของนาง
ร่างสูงกว่าดึงน้องเล็กให้คุกเข่าลง ก่อนจะคำนับลงไปสามครั้งเพื่อเป็นการของคุณ
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้อันหนิงโตแล้วและจะดูแลน้องทั้งสองคนเป็นอย่างดี”
หลังจากสองพี่น้องลุกขึ้นยืน ลมหอบหนึ่งก็พัดพาเอากลิ่นหอมที่แสนคิดถึงผ่านมา ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวกับอัญมณีไม่ว่าจะผ่านเรื่องทุกข์ยากเพียงใดก็ไม่เคยไหวหวั่น ยามนี้กลับเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาสีใส
ไออุ่นไร้รูปร่างที่ไม่อาจบรรยายได้เอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจ นางรู้แล้วว่ามารดาอยู่ที่นี่กับพวกตนจริงๆ แม้จะมิได้แสดงตัวออกมาทว่าความรู้สึกปลอดภัยที่เกิดขึ้นภายในใจนี้นางสามารถรับรู้ถึงมันได้
“เข้าไปกันเถอะ เป่าเอ๋อ”
หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าไถลลงไปในปากถ้ำที่อยู่เบื้องต่ำ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงสายลมอุ่นร้อนที่พัดมากระทบใบหน้าของพวกตน แม้จะมองไม่เห็นเพราะภายในนั้นมืดมิด แต่เมื่อเงี่ยหูฟังก็จะได้ยินเสียงของใครบางคนพูดคุยกัน
“ได้ยินหรือไม่เป่าเอ๋อ ข้างในมีคนอยู่”
หลี่ซางเป่าส่ายหน้าในความมืด
“ข้าไม่ได้ยินอันใดเลย หรือจะเป็นเสียงในความคิดของผู้อื่น”
“พี่เองก็ไม่รู้ แต่เราต้องเสี่ยงเข้าไปดู ในเมื่อท่านแม่บอกว่าที่นี่ปลอดภัย เช่นนั้นเราก็ต้องเชื่อท่าน”
หลี่อันหนิงไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนตัดสินใจ นางจับมือของน้องสาวกระชับมั่น จากนั้นจึงเดินนำโดยการใช้ผนังถ้ำเป็นตัวนำทาง
เมื่อทั้งสองเดินมาได้สักพักภาพตรงหน้าก็เริ่มสลัวราง หลี่อันหนิงยกมือขึ้นป้องดวงตาก่อนกะพริบถี่ๆ เพื่อให้มองเห็นด้านในได้ชัดเจน
โถงถ้ำที่ขยายกว้างออกไปหลายหมู่ บัดนี้ตรงกลางมีบ่อน้ำที่สัมผัสถึงได้ถึงความอุ่นร้อนแผ่กระจายออกมา เหนือผืนน้ำที่สงบนิ่งมีควันไอลอยอ้อยอิ่งอยู่ไม่ห่าง เมื่อแหงนหน้าขึ้นด้านบนจะพบปล่องทรงกรวยแหลมขึ้นไปทำให้มองเห็นท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
หลี่อันหนิงไม่คิดฝันว่ายังมีสถานที่ดีดีเช่นนี้อยู่ในภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน หากไม่มีทางเข้าที่เล็กแคบเช่นนั้นที่นี่อาจถูกชาวบ้านค้นพบไปตั้งนานแล้ว
นางและน้องสาวจะต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ ในอนาคตที่นี่อาจกลายเป็นสถานที่หลบภัยชั้นดีของพวกตนเป็นแน่
“เป่าเอ๋อช่วยพี่ดึงหญ้าพวกนี้มาปูทำที่นอนสำหรับคืนนี้ของเรากันเถอะ”
เด็กน้อยพยักหน้าทำตามพี่สาวอย่างว่าง่าย
แม้คืนนี้จะได้ที่นอนแล้วแต่ภายในท้องของทั้งสองกลับยังคงว่างเปล่า เพราะไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้า หลี่อันหนิงมองสำรวจไปรอบๆ เสียงพูดคุยพึมพำยังคงดังแว่วอยู่ในหัว แต่ในถ้ำแห่งนี้กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากพวกตน
หญิงสาวที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งไม่คิดหวาดกลัวต่อภูตผีหรือสิ่งที่มองไม่เห็น ในใจของนางคิดว่าน่าจะเป็นเสียงความคิดของบางอย่างที่ยังมองไม่เห็นตัวเสียมากกว่า
“เป่าเอ๋อน้องรออยู่ที่นี่นะ พี่คิดว่าได้ยินอะไรบางอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ต้องไปดูสักหน่อย”
เด็กสาวเดินตามเสียงที่ได้ยินแผ่วเบาและเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง
ทว่าเมื่อนางเดินสำรวจไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อน้ำร้อนก็ได้เห็นโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ที่ด้านล่างเป็นโพรงเล็กๆ ถูกขุดเป็นรูด้วยอะไรบางอย่าง
เสียงที่ดังขึ้นภายในหัวของนางมาจากที่นั่นเอง
เด็กสาวนั่งยองๆ คิดจะมองสำรวจด้านใน ทันใดนั้นร่างสีดำเล็กๆ สองร่างก็กระโจนออกมาด้านนอก ชนเข้ากับนางอย่างจังจนหลี่อันหนิงล้มก้นจ้ำเบ้า
หลังจากที่ตั้งสติได้ นางจึงมองไปยังเสียงขู่เล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไป หญิงสาวขยี้ตาตนเองหลายครั้งเมื่อมองเห็นเจ้าก้อนขนที่มีดวงตาสีดำปูดโปนมองมายังตนด้วยท่าทีหวาดระแวง
เสียงที่ได้ยินคือเสียงของเจ้าตัวน้อยทั้งสองนี่หรือ
หญิงสาวเหลือบมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีระมัดระวัง เห็นทีที่แห่งนี้คงจะมิได้ปลอดภัยอย่างที่คิดเสียแล้วกระมัง เมื่อนานมาแล้วนางเคยได้ยินท่านย่าจวงเล่าเรื่องเจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่ในภูเขาด้านหลังหมู่บ้านมาก่อน
มันคือเสือดำตัวเขื่องที่อยู่มานานนับร้อยปี ขนาดแม้แต่แม่เฒ่าจวงที่อายุเกือบหกสิบยังได้ยินจากเหล่าบรรพบุรุษเล่าให้ฟัง
ถ้าหากเจ้าหนูสองตัวนี่คือลูกของมัน เห็นทีว่าพวกตนคงได้กลายเป็นอาหารของมันเป็นแน่
หญิงสาวก้าวถอยห่างอย่างช้าๆ สีหน้าของนางยังคงสงบนิ่งเพราะเสียงพูดคุยของเจ้าก้อนขนทำให้นางรู้สึกสนใจ
“ท่านแม่หายไปหลายวันแล้ว เหตุใดไม่ยอมกลับมาสักที บัดนี้มีเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยบุกรุกบ้านของเรา”
“ใช่ๆ!! มันต้องการเอาตัวพวกเราไปขายแน่ๆ”
หมายความว่าอย่างไรแม่ของเจ้าหนูพวกนี้ไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้วอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นหมายความว่าตอนนี้พวกตนยังคงปลอดภัยอยู่ใช่หรือไม่
หลี่อันหนิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางเดินกลับไปหาหลี่ซางเป่าที่นั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งของโถงถ้ำ เลิกสนใจเจ้าก่อนขนที่มองมายังนางด้วยท่าทีระแวดระวัง อย่างน้อยขอนอนพักที่นี่สักคืนแล้วค่อยกลับออกไปก็ยังดี
พานเยียนหลิงและเย่เสวียนจื่อมีบุตรชายหญิงด้วยกันถึงสี่คน พานจื่อหยวนแต่งงานกับหลานสาวแม่ทัพเจิ้งมีบุตรชายหญิงฝาแฝดด้วยกันสองคน ส่วนพานซืออวิ๋นได้แต่งงานกับเย่อิ่งเจินมีบุตรีสองคนและชายหนึ่งคน ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดของสามพี่น้องบัดนี้ดีพร้อมเกินกว่าจิตนาการในทุกฤดูใบไม้ผลิหญิงสาวจะพาครอบครัวและเจ้าเสือดำพี่น้องนั่งเรือกลับไปยังหมู่บ้านมู่โถวเพื่อเยี่ยมเยียนท่านย่าจวงปีต่อมาหลวงจีนอันคงในวัยสี่สิบห้าได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคประหลาด กล่าวคือเขานอนหลับแล้วสิ้นลมไปอย่างเงียบๆ ภายในห้องพัก ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตได้สิบห้าปีต่อมาท่านย่าจวงในวัยชราได้จากไปเช่นกัน ถึงกระนั้นพานเยียนหลิงก็ยังกลับไปที่หมู่บ้านมู่โถวเพื่อรำลึกถึงสิ่งที่ย่าจวงเคยมอบให้แก่ตนและน้องทั้งสองนางไม่มีสิ่งใดตอบแทนหญิงชรามีเพียงการดูแลหลานชายของนางให้มีชีวิตที่ดี เพื่อเป็นการกตัญญูต่อนางพานเยียนหลิงได้มอบจวนที่อยู่ในอำเภอตงผิงให้แก่จวงอี้ซิงและครอบครัว ทุกปีนางจะแบ่งเสบียงที่ได้รับจากที่ดินพระราชทานบางส่วนให้แก่พวกเขาณ ถนนเส้นหลักใจกลางเมืองหลวง“ตีมันให้ตาย!!เจ้าขอทานสกปรกตัวเหม็น”เสียงร้องโอดโอยด้
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้นกันแน่บอกเจิ้นมาให้หมด”เซี่ยฮ่องเต้มองไปยังเจ้าเสือดำสองพี่น้องที่นอนหมอบอยู่อย่างสงบด้วยท่าทีหวาดๆ ความจริงหลังจากที่ได้รับคำร้องขอเข้าเฝ้าพร้อมเสือดำสองตัวที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองหลวง พระองค์ก็ทรงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง ไม่คิดว่าจะมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้พานเยียนหลิงเมื่อได้ยินเสียงความคิดของเซี่ยฮ่องเต้นางก็ลอบยิ้มให้กับตนเอง นี่เป็นทางเดียวที่นางจะสามารถนำเสี่ยวเจี่ยและเสี่ยวเกอมาอยู่ที่นี่ได้ คือต้องผ่านความเห็นชอบของเจ้าของแผ่นดิน“ความจริงเสือดำทั้งสองเป็นครอบครัวของหม่อมฉันเองเพคะ เมื่อครั้งยังเยาว์พวกเราเติบโตมาด้วยกัน หม่อมฉันกำพร้าแม่ส่วนแม่ของพวกมันก็ถูกพรากชีวิตไปเช่นกัน”“เจ้า...หมายความว่าอย่างไร”“แม่ของพวกมันถูกองค์ชายใหญ่ระดมคนมากมายตามสังหารเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงเวลานั้นหม่อมฉันเองก็อยู่ที่นั่นด้วย”“นั่น!!..”พานเยียนหลิงเข้าใจว่าเซี่ยฮ่องเต้อาจรู้สึกผิดทว่าเรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้ว จึงไม่ควรเอ่ยถึงอีก“พวกมันไม่ถือสาเรื่องในอดีตแล้วเพคะ ทว่าหม่อมฉันยังมีเรื่องต้องกราบทูลพระองค์”หญิงสาวหยุดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถึงเร
หลังจากที่ได้พบเสือดำสองพี่น้อง ชายหนุ่มก็ได้ติดตามพวกมันไปจนกระทั่งพบร่างของพานเยียนหลิงและฟู่อี้ที่นอนหมดสติอยู่ในหลุมดักสัตว์ คนทั้งสองถูกช่วยเหลือขึ้นมา ส่วนฟู่อี้ที่บาดเจ็บสาหัสถูกมัดติดกับหลังของเสี่ยวเกอวิ่งไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาผู้ติดตามสองคนใช้วิชาตัวเบาทะยานตามไปมองภาพนั้นด้วยสีหน้าอึ้งงัน ไม่คิดว่าพวกตนที่มีวิชาตัวเบาที่ดีที่สุดกลับไม่สามารถตามเสือดำตัวนั้นได้ทันย้อนกลับมายังปัจจุบันคนของเย่เสวียนจื่อจัดการนักฆ่าที่เหลือที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือต่อให้ปล่อยเอาไว้คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถมีทางรอดชีวิต แต่ละคนไม่แขนขาดก็ขาขาดเพราะถูกเสี่ยวเกอและเสี่ยวเจี่ยจัดการ“เสี่ยวเจี่ยเด็กดี”หญิงสาวดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มหลังจากที่รู้ว่าตนมิได้กำลังฝันไป แม้จะแต่งงานกับเขาแล้วพานเยียนหลิงก็ยังรู้สึกเขินอายทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสี่ยวเจี่ยที่นอนอยู่ด้านข้างใช้หัวดุนดันร่างของนางจนพานเยียนหลิงล้มลง ร่างบางกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับหลับตาซึมซับความคิดถึง“มันพาข้ามาพบเจ้าที่นี่”ร่างบางผินไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ“จริงหรือ ได้อย่างไรก
ท่ามกลางหุบเขาลึกพานเยียนหลิงแบกร่างที่แทบหมดสติของชายหนุ่มเอาไว้บนหลัง เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวของนางมีเลือดของฟู่อี้ไหลหยดเป็นทางท้องฟ้ายามนี้กำลังอัสดง เสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังกู่ร้องก้องสะท้านไปทั่วหุบเขา หญิงสาวที่กำลังหมดแรงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า นางอยากจะภาวนาต่อสวรรค์ของให้ปล่อยพวกตนไปแต่ดูเหมือนคำร้องขอของนางจะถูกปฏิเสธ เมื่อร่างบางก้าวไปด้านหน้า พลันนางสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สองร่างร่วงหล่นลงในหลุมขนาดใหญ่ พานเยียนหลิงหวีดร้องจนสุดเสียงฟู่อี้ทับอยู่บนร่างเล็กทว่ามิอาจขยับกายได้ หญิงสาวดิ้นรนอยู่นานกว่าจะนำร่างตนเองออกมาได้เป็นอิสระร่างบางมองขึ้นไปด้านบนด้วยสีหน้าซับซ้อน บัดนี้คนทั้งสองกำลังติดอยู่ในหลุมดักสัตว์ของนายพราน นางไม่คิดว่าในหุบเขาลึกเช่นนี้จะมีคนมาขุดหลุมใหญ่เอาไว้เสียได้ ทั้งนางและฟู่อี้ตอนนี้ถูกขังโดยสมบูรณ์ หากนักฆ่าเหล่านั้นตามมาทันพวกนางไม่มีทางรอดไปได้แน่กว่าสองชั่วยามที่หญิงสาวพยายามปีนป่ายออกจากหลุมลึก ไม่มีน้ำไม่มีอาหารหากต้องติดอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากการเฝ้ารอความตาย หญิงสาวมองชายหนุ่มที่บัดนี้นอนหายใจรว
ทหารในเมืองหลวงถูกระดมกำลังพลออกตามหาหญิงสาวอย่างลับๆ รถม้าทุกคันเรือทุกลำต่างถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวด ทว่าเรือลำที่พวกเขาโดยสารมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์จึงได้ถูกปล่อยผ่านพานเยียนหลิงและฟู่อี้ถูกขังเอาไว้ภายในห้องโดยสารหลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมากจากการดูแลของหญิงสาว นางฟังความคิดของคนที่เป็นหัวหน้าทำให้รู้ว่าพวกตนกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดที่แท้จริงคนมากมายเหล่านี้ที่แต่งกายเลียนแบบทหารต้าเหลียงคือคนของตระกูลโจวที่เลี้ยงดูเอาไว้ และพวกเขายังเป็นพวกเดียวกับโจรป่าที่ถูกกำจัดไปเมื่อปีก่อนพานเยียนหลิงไม่คิดว่าจะยังหลงเหลือมากมายเพียงนี้ เป็นนางที่พลาดเองที่ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด หรือไม่บางทีคนเหล่านี้ก็ถูกแยกออกจากคนกลุ่มนั้นเพื่อคอยทำงานสกปรกให้กับตระกูลโจว“ฟู่อี้ อีกเพียงไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว แม้เจ้าจะยังบาดเจ็บภายในแต่เราคงรอนานกว่านี้ไม่ได้ เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”ชายหนุ่มมองดวงตาดำขลับเปล่งประกายราวกับดวงดาวยามค่ำคืนของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่านางรู้เรื่องทุกอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อใจหญิงสาวตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยมภาพเด็กน้อยเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัว เด็กสาวที่ต่อสู้ดิ้นรนเ
“เร็วเข้า!!รีบไปช่วยพี่สาวของข้า!!”“นี่!...อวิ๋นเอ๋อ!!เจ้าพูดได้แล้วหรือ”ชายหนุ่มตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาวเป็นครั้งแรก“พี่เสวียนจื่อรีบไปช่วยพี่ใหญ่เร็วเข้า นางกำลังถูกพาตัวมุ่งหน้าไปทางอำเภอตงผิง”“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เด็กน้อยได้รับสารมาเพียงเท่านี้ ยังไม่รู้ว่าพี่สาวถูกพาตัวไปทางบกหรือทางน้ำ ตอนนี้ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วพวกเขาจะต้องนำหน้าไปห่างไกล“ไม่ต้องถามแล้ว! แม้แต่พี่ฟู่อี้ตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสท่านต้องรีบไปช่วยพวกเขาโดยด่วน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป”เย่เสวียนจื่อสงสัยว่าเด็กน้อยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อนางนอนป่วยไม่ได้สติมาตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเรื่องช่วยพานเยียนหลิงและฟู่อี้นั้นสำคัญยิ่งกว่าจึงมิได้ซักถามให้มากความ ชายหนุ่มรีบพาคนออกจากจวนเพื่อไปช่วยพวกเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วยามก่อนพานเยียนหลิงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ที่อยู่นอกเมือง เมื่อถึงช่วงเส้นทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน มือสังหารมากมายได้พุ่งเข้าปิดล้อมรถม้าของนางภายในเวลาเพียงไม่นานความโกลาหลก็เกิดขึ้น องครักษ์เงาทั้งหกรวมถึงฟู่อี้ได้ช่วยสกัดมือสังหารเหล่านั้น ทว่าคนน้อ