สามพี่น้องพูดคุยปลอบประโลมกันและกันอยู่นานกว่าหลี่อี้เจ๋อจะสงบลง
“อี้เจ๋อ พี่มีเรื่องต้องพูดกับเจ้า แต่ที่นี่คงไม่เหมาะนักและพี่คิดว่าน้องเองก็คงมีเรื่องมากมายต้องการพูดกับเราเช่นกัน ใช่หรือไม่”
หลี่อันหนิงได้ยินเสียงความคิดอันน่ารังเกียจของใครบางคนที่แอบซ่อนอยู่ไม่ไกล หากจะเอ่ยความลับขึ้นมาตอนนี้คงจะไม่ดีนัก นางดึงมือน้องชายให้ตามตนเองไปยังห้องเก็บฟืน
“หลายปีมานี้ ลำบากพวกท่านแล้ว”
เมื่อเข้ามาภายในห้องเก็บฟืนสถานที่ที่หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าใช้พักอาศัย ความรู้สึกผิดก็บังเกิดขึ้นในใจของหลี่อี้เจ๋อ
“ไม่เป็นไร เราสองคนไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน เอาเถอะไว้พี่จะเล่าให้ฟังหลังจากนี้ก็แล้วกัน”
เด็กชายมองพี่สาวที่มีท่าทีลับลมคมในด้วยสีหน้าสงสัย หลี่อันหนิงหยิบกระดาษและพู่กันที่แอบซ่อนเอาไว้ออกมา ก่อนเขียนบรรยายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหนึ่งปีข้างหน้า
เมื่อหลี่อี้เจ๋ออ่านมัน เขาก็แสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
“สิ่งนี้มิอาจแพร่งพราย อ่านเสร็จแล้วต้องทำลายทิ้งเท่านั้น”
“เรื่องนี้...ท่านรู้ได้อย่างไร”
หลี่อี้เจ๋อยังมีท่าทีเคลือบแคลงกับข้อความที่อยู่บนกระดาษ หลี่อันหนิงไม่คิดว่าน้องชายจะเชื่อในทันทีเช่นกัน นางจำต้องหาข้ออ้างที่น่าเชื่อถืออื่นขึ้นมาด้วย
“ท่านแม่ เป็นท่านแม่มาเข้าฝันบอกพี่ แม้แต่ซางเป่าเองก็ได้ยินเสียงของท่านแม่ด้วย ใช่หรือไม่”
หลี่อันหนิงดึงน้องสาวเข้ามาเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเขียนขึ้น หลี่ซางเป่าพยักหน้ายืนยันอีกเสียง แต่นั่นก็มิอาจทำให้หลี่อี้เจ๋อเชื่ออย่างหมดใจ
“พี่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจเชื่อ แต่น้องก็รู้ว่าพี่ไม่มีความจำเป็นต้องโป้ปด ดูพวกเราสองคนสิคิดว่าสิ่งเหล่านี้ได้มาจากที่ใด เป็นท่านแม่ผู้มากระซิบบอกกับซางเป่า เราถึงได้โสมป่ามาครอบครองถึงสามหัว”
มีใครบ้างไม่รู้ถึงความล้ำค่าของโสมป่า ยิ่งมีอายุมากเท่าใดก็ยิ่งราคาแพงเท่านั้น ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดพี่น้องของตนถึงได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“ข้าเชื่อท่านแล้วพี่ใหญ่ เช่นนั้นท่านจะทำอย่างไรต่อ..อุ๊ป!”
หลี่อันหนิงรีบตะครุบปากของน้องชายทันทีที่ได้ยินเสียงความคิดของคนที่อยู่ด้านนอก หลี่อี้เจ๋อมองใบหน้าของพี่สาวด้วยความสงสัย ทว่านางกลับส่ายหน้าไม่ให้เขาเอ่ยสิ่งใดออกมา
ภายในห้องเก็บฟืนไม่มีเตียงเตาหรือเตาถ่านเพื่อให้ความอบอุ่น มีเพียงฟางแห้งรองพื้นสำหรับใช้นอนเท่านั้น หลี่อันหนิงหยิบโถใส่น้ำเดินไปยังประตูห้องก่อนจะสาดมันออกไปผ่านรูไม้ของประตู
พลันเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจก็ดังขึ้น
“กรี๊ด!! เด็กบ้าพวกแกทำอันใดเนี่ย”
หนี่ม่านม่านสะใภ้รองผู้ต้องการสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น ทันทีที่สามพี่น้องเดินออกจากห้องทานอาหาร นางก็รีบวางตะเกียบแล้วเดินตามมา แต่ไม่คิดว่าจะมีน้ำเย็นสาดออกมาเช่นนี้
หลี่อันหนิงเปิดประตูทันทีที่ได้ยินเสียงของนาง
“เป็นอาสะใภ้รองนี่เอง นึกว่าหมาที่ไหนมาทำลับๆ ล่อๆ หน้าห้อง”
หลี่อันหนิงกอดอกยืนพิงกรอบประตูห้องเก็บฟืนด้วยท่าทีขบขัน หนี่ม่านม่านผู้ที่ตัวเปียกราวกับลูกหมาตกน้ำถลึงตาใส่เด็กสาวอย่างเดือดดาล
“เจ้า! เจ้าสาดน้ำเย็นใส่ข้าทำไม”
“ข้าสาดใส่ท่านที่ไหน ข้าล้างเห็บหมัดในห้องต่างหาก เอาเถอะว่าแต่ท่านร้อยวันพันปีไม่เคยมาเหยียบที่นี่ อาสะใภ้รองมาทำอันใดยังสถานที่ต่ำต้อยอย่างห้องเก็บฟืน”
เมื่อถูกย้อนถามสะใภ้รองก็ไม่รู้ว่าตนควรเอ่ยแก้ตัวเช่นไร จึงใช้ความอาวุโสกว่าเข้าข่ม
“ขะ..ข้า เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าเป็นอาสะใภ้รองของเจ้า จะไปที่ใดต้องบอกเจ้าด้วยหรือ”
หลี่อันหนิงยักไหล่ท่าทางไม่ยี่หระต่อการมาของนาง เพราะรู้อยู่แล้วว่าสตรีตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใด
“ก็จริง เช่นนั้นข้าไม่กวนท่านแล้ว”
เด็กสาวทำท่าจะปิดประตู แต่สายตาของหนี่ม่านม่านพลันเหลือบไปเห็นกระดาษที่อยู่ในมือของหลี่อี้เจ๋อ นางรีบพุ่งเข้าไปคว้าทันที แต่ทว่าถูกเด็กสาวปิดประตูใส่หน้าเสียงดังสนั่น
“ปัง!!”
“โอ้ย!! เจ้าเด็กบ้า!! แกซ่อนอะไรเอาไว้ ถึงให้อาสะใภ้เช่นข้าดูไม่ได้”
เสียงโวยวายของหนี่ม่านม่าน เรียกคนทั้งครอบครัวมารวมตัวกันยังห้องเก็บฟืน ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากของคนบ้านหลี่
“เกิดสิ่งใดขึ้น!! ม่านเอ๋อ หัวเจ้า!!”
หลี่เฟิงหัวตกใจชี้ไปยังหน้าผากที่บวมปูดราวกับลูกมะนาวของภรรยา
“จะอะไรซะอีกเจ้าเด็กนั้นหลี่อันหนิงนางทำร้ายข้า”
หนี่ม่านม่านชี้ไปยังประตูห้องเก็บฟืนที่ปิดสนิท
“อาสะใภ้รอง คิดปรักปรำผู้อื่นต้องมีหลักฐานนะขอรับ”
เป็นหลี่อี้เจ๋อที่เปิดประตูออกมา สายตาเย็นชาถูกส่งไปยังสะใภ้รอง เมื่อเห็นเด็กชายผู้มีผู้เฒ่าหลี่หนุนหลังหนี่ม่านม่านก็อดไม่ได้ที่จะใจฝ่อมิได้
“เจ้า!!..ยังต้องการหลักฐานใดอีก เจ้าก็เห็นนางปิดประตูใส่หน้าข้า อูย!! ไม่รู้ว่ากระทบกระเทือนส่วนอื่นหรือไม่ สามีข้าคงต้องให้ท่านหมอตรวจดูแล้ว”
เมื่อเห็นว่าตนเองทำอันใดพวกเขาไม่ได้ นางจึงหันไปออดอ้อนหลี่เฟิงหัวผู้เป็นสามี
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว เจ้าบอกว่านางมีบางอย่างซ่อนเอาไว้หมายความว่าอย่างไร”
แม่เฒ่าหม่าผู้หูดีกว่าใครถามเข้าประเด็นทันที โดยไม่สนใจการแสดงของสะใภ้รอง
“เอ่อ ขะ..ข้าแค่เพียงสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาต้องอยากพูดคุยตามลำพัง เลยตามมาดู ท่านแม่!! เพราะอย่างนั้นถึงได้รู้ว่านางแอบขโมยเงินของบ้านเรา ท่านดูชุดใหม่พวกนั้นสิเด็กเล็กอย่างพวกนางถ้าไม่ขโมยเงินบ้านหลี่เรา นางจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อของเหล่านั้น”
หนี่ม่านม่านชี้ไปยังหลี่อันหนิงที่ยังคงนิ่งเฉยมองการแสดงของนาง
“เช่นนั้นอาสะใภ้รองมีหลักฐานหรือไม่ ว่าข้าขโมยไปเท่าใด เงินบ้านหลี่หายไปเท่าใด เอาอย่างนี้เถอะ เราไปที่เรือนของหัวหน้าหมู่บ้านกัน ถ้าเกิดข้าขโมยเงินไปจริงๆ พวกท่านก็ส่งตัวข้าให้ทางการได้เลย แต่ถ้าข้ามิได้ทำ...ท่านจะแบกรับคำพูดของตนไหวหรือไม่”
หลี่อันหนิงยกกฎหมายขึ้นมาข่มขู่หนี่ม่านม่านด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขะ...ข้า ข้าก็แค่สงสัย พวกเจ้าไม่มีตระกูลหลี่คอยดูแลเหตุใดถึงมีชุดเสื้อผ้าใหม่ พวกเจ้าพี่น้องไม่ทานอาหารบ้านหลี่เหตุใดยังไม่ตาย”
เด็กสาวเมื่อได้ฟังคำถามที่ไร้ยางอายของหนี่ม่านม่าน นางก็ส่งเสียงหึ!ออกมา
“อาสะใภ้รองคิดว่าข้าไร้ความสามารถเหมือนท่านหรือ ในระหว่างที่บ้านหลี่ของท่านตื่นนอนยามอู่ (11.00-13.00) คิดว่าพวกเราพี่น้องหาเงินได้เท่าไหร่ ในขณะที่พวกท่านไม่มีใครทำงานเอาแต่รอรับเงินจากค่าเช่าที่นาอย่างเดียว คิดว่าพวกข้าพี่น้องทำอันใดเพื่อให้ตนเองไม่ต้องอดตาย”
หลี่อี้เจ๋อได้ฟังน้ำเสียงอันขมขื่นของพี่สาวแล้วอดที่จะเจ็บปวดใจมิได้ ในระหว่างที่ตนเองได้กินอิ่มนอนอุ่นหลายปีมานี้พวกนางลำบากมากจริงๆ
“ถ้าพวกเจ้าทำงานหาเงินมาได้เหตุใดถึงได้เก็บเอาไว้เอง เราทุกคนต่างก็ต้องพึ่งพาบ้านหลี่เงินที่ได้มาก็ต้องให้ท่านแม่เก็บเอาไว้ ทำเช่นนี้มันผิดมิใช่หรือ”
หลี่อันหนิงส่ายหน้าให้กับความไร้ยางอายของนาง
“แล้วเวลาบ้านหลี่ของพวกท่านมีกินมีใช้ ได้ชุดเสื้อผ้าใหม่ในแต่ละฤดูพวกท่านเอาเราสองพี่น้องไปไว้ที่ใด ตลอดสิบปีหน้าร้อนหน้าหนาวชุดเสื้อผ้าล้วนเหมือนเดิม ถ้าคิดว่าพวกเราแซ่หลี่เหมือนกันเหตุใดต้องให้เรานอนห้องเก็บฟืน”
คำพูดของหลี่อันหนิงไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ แต่หนี่ม่านม่านผู้ดันทุรังก็ไม่คิดยอมแพ้
“เพราะเจ้าเป็นหลานคนแรกของบ้านหลี่จึงต้องฝึกความอดทน อีกอย่างเจ้าและน้องสาวเป็นสตรีที่อย่างไรก็ต้องแต่งงานออกไป ภาษิตว่าบุตรสาวที่แต่งออกไปไม่ต่างจากน้ำที่สาดทิ้ง อีกไม่กี่ปีเจ้าก็ต้องกลายเป็นคนอื่น”
หลี่อันหนิงยิ้มเย็นกับคำพูดของหนี่ม่านม่าน จากนั้นจึงย้อนถามกลับไป
จวงอิงไม่สนใจท่าทางเกรี้ยวกราดของคู่ปรับเก่า นางแลบลิ้นให้สวีไช่ไช่ก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตน เมื่อถูกกระทำเช่นนั้นคนอย่างสวีไช่ไช่ไหนเลยจะยอมขาดทุน หญิงสาวรีบเดินสาวเท้าตามไปก่อนจะดึงหัวไหล่ของนางให้หันกลับมา“จวงอิง เจ้ามาพูดกับข้าให้รู้เรื่องนะ”สวีไช่ไช่เท้าเอวตวาดแหวใส่จวงอิง คนที่ทำงานอยู่ไม่ไกลต่างเงยหน้าขึ้นมองการโต้เถียงของหญิงสาวทั้งสอง“พูดอันใด ข้าแค่เพียงดื่มน้ำเท่านั้น”“แต่นั่นเป็นน้ำที่ข้าให้พี่อี้ซิง มิใช่ของเจ้า”“ให้ใครดื่มก็เหมือนกัน ทุกอย่างที่นี่เป็นของย่าจวง หรือกระบอกน้ำนั่นเจ้าเอามาจากเรือนของเจ้า”“ข้า!..”“เช่นนั้นก็จบเรื่อง กลับไปทำงานของเจ้าเถอะ เลิกอู้ได้แล้ว”จวงอิงยักไหล่ก่อนจะเดินหันหลังให้สวีไช่ไช่หญิงสาวที่กำลังโมโหไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงได้เผลอลงมือผลักจวงอิงเพื่อระบายอารมณ์ ทว่าด้านหน้าของจวงอิงมีคราดที่วางหงายเอาไว้ หญิงสาวไม่ทันระวังตัวจึงไถลไปด้านหน้า เมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะล้มลง จวงอิงทำได้เพียงหลับตารอรับหายนะที่กำลังบังเกิด“กรี๊ด!!”ร่างสูงของจวงอี้ซิงก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัวของจวงอิง แขนแข็งแรงคว้าเอวบางเอาไว้ได้ทัน แต่ทั้งสองก
หลังจากชายหนุ่มกลับออกมา จวงอิงบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของหัวหน้าหมู่บ้านก็รีบพุ่งออกมาจากห้อง นางมองด้านหลังอันแข็งแรงของชายหนุ่มพลางแสดงสีหน้าเขินอายหัวหน้าหมู่บ้านจวงเมื่อเห็นบุตรสาวของตนมองตามเจ้าหนุ่มอี้ซิงไป จึงถามนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น“เจ้ามองตามเขาทำไม หรือว่ามีธุระกับเจ้าหนุ่มบ้านย่าจวง”จวงอิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของบิดา“ข้า..ไม่มีธุระอันใด เพียงแต่...ท่านพ่อให้ข้าไปทำงานในไร่ย่าจวงได้หรือไม่”จวงต้าหลางมองบุตรสาวด้วยสีหน้าคลางแคลง ที่ผ่านมาตนไม่เคยให้นางต้องทำงานหนักในไร่สักครั้ง เพียงให้อยู่เฝ้าเรือนทำงานของสตรี เหตุใดวันนี้ถึงได้อยากทำงานหนักขึ้นมา“เจ้าหรือทำงานในไร่ จะทำไหวหรือ ต้องตากแดดทั้งวันขุดมันมิใช่งานเบาๆ”จวงอิงเห็นบิดาเอ่ยเช่นนั้นนางก็กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เหตุใดจะทำไม่ได้ นางเองก็โตแล้วทำงานเล็กน้อยจะเป็นไรไป“ข้าไม่กลัว กลัวอันใดกันข้าเป็นลูกท่านพ่อไหนเลยจะกลัวความลำบาก”“ก็ตามใจ อยากไปก็เตรียมตัวให้ดี”จวงต้าหลางเห็นบุตรสาวแสดงท่าทีกระตือรือร้นแต่ก็มิได้สนใจ เพียงคิดว่านางคงจะอยากออกไปเที่ยวเล่นหรือพูดคุยกับเด็กสาวในวัยเดียวกันเท่านั้น ทว่ามิได้
หลังจากบุตรสาวทั้งสองตัดขาดจากตน หลี่เจี๋ยก็มีท่าทีเซื่องซึมอยู่หลายวัน เขาไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้ต้องมาตัดขาดจากบุตรของตนที่เกิดจากพานเยว่หลานต่อให้เขามีสตรีอื่นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยรักนาง พานเยว่หลานสตรีผู้งดงามและแสนอ่อนโยน คราแรกเมื่อได้พบสบตาหัวใจของเขาเต้นกระหน่ำไม่ยอมหยุด แม้แต่จางเหยาฮวาก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกได้เช่นนี้เลยมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาละเลยนางและปันใจให้สตรีอื่น คราแรกคิดเพียงเล่นๆ เท่านั้น มิได้จริงจังเพราะจางเหยาฮวาเองก็มีสามีทว่าเมื่อได้ลิ้มรสกลิ่นใหม่ เขากลับลืมเลือนสตรีที่ตนเคยรักปักใจ เขาทำเช่นนั้นกับนางได้อย่างไร เหตุใดนางถึงไม่เคยตำหนิเขาเลยทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ ทำไมกันคำถามมากมายพรั่งพรูออกมาในหัวของหลี่เจี๋ย ทว่าสตรีผู้นั้นตายจากไปนานแล้ว จึงไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจของเขาได้“พานเยว่หลาน ตอนนี้เจ้าคงกำลังเย้ยหยันข้าอยู่ใช่หรือไม่ เพราะหลังจากที่เจ้าจากไปก็ไม่มีวันใดเลยที่ข้าสามารถลืมเจ้าได้”หลี่เจี๋ยพึมพำออกมาด้วยสีหน้าเหม่อลอยจางเหยาฮวาที่อยู่ด้านหลังได้ยินเต็มสองหูว่าสามีของตนมิอาจปล่อยวางจ
“เช่นนั้นไม่ให้อาเล็กมานอนห้องเก็บฟืนกับพวกข้าเล่า นางเองก็เป็นสตรีเช่นกัน หรือว่าบ้านอาสะใภ้รองให้บุตรสาวนอนห้องเก็บฟืนแล้วปล่อยให้ท่านใช้ชีวิตไม่ต่างจากพวกข้า”“นั่น..จะเป็นไปได้อย่างบิดามารดาของข้ารักและถนอมข้าราวกับไข่มุกในมือ จะยอมให้ลำบากได้อย่างไร”เด็กสาวหัวเราะกับคำพูดที่ย้อนแย่งของสตรีตรงหน้า“ออ เป็นเช่นนั้นเอง หมายความว่าที่พวกข้าสองคนถูกกระทำเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับที่เป็นสตรี แต่จริงๆ แล้ว...เพราะไม่มีใครรักนี่เอง”ช่างเป็นคำพูดที่เสียดแทงใจหลี่เจี๋ยยิ่งนัก เขาที่เป็นบิดามักจะเมินเฉยเมื่อบุตรสาวถูกผู้อื่นรังแก นอกจากไม่ทำสิ่งใดแล้วยังเอาแต่มองดูพวกเขาใช้ชีวิตราวกับขอทาน ช่างไม่สมกับที่เป็นบิดานัก“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะต่อไปอย่าได้เอ่ยถึงมันอีก อาเฟิงเจ้าเองก็ควบคุมเมียของเจ้าให้ดี อย่าให้นางมาวุ่นวายกับบ้านใหญ่อีก”“ขอรับท่านพ่อ”ผู้เฒ่าหลี่ที่ฟังมานานเมื่อได้เห็นใบหน้าคับข้องใจของหลานชาย ก็ได้แต่คิดในใจว่าแย่แล้ว ถ้าหากเด็กนั่นเห็นพี่สาวถูกคนรังแก่ต่อหน้าต่อตาจะต้องไม่ยอมรามือแน่ ตนจะทำอย่างไรดี“เจ๋อเอ๋อหลานไปคุยกับปู่ดีหรือไม่ อย่างไรเรื่องทุกอ
สามพี่น้องพูดคุยปลอบประโลมกันและกันอยู่นานกว่าหลี่อี้เจ๋อจะสงบลง“อี้เจ๋อ พี่มีเรื่องต้องพูดกับเจ้า แต่ที่นี่คงไม่เหมาะนักและพี่คิดว่าน้องเองก็คงมีเรื่องมากมายต้องการพูดกับเราเช่นกัน ใช่หรือไม่”หลี่อันหนิงได้ยินเสียงความคิดอันน่ารังเกียจของใครบางคนที่แอบซ่อนอยู่ไม่ไกล หากจะเอ่ยความลับขึ้นมาตอนนี้คงจะไม่ดีนัก นางดึงมือน้องชายให้ตามตนเองไปยังห้องเก็บฟืน“หลายปีมานี้ ลำบากพวกท่านแล้ว”เมื่อเข้ามาภายในห้องเก็บฟืนสถานที่ที่หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าใช้พักอาศัย ความรู้สึกผิดก็บังเกิดขึ้นในใจของหลี่อี้เจ๋อ“ไม่เป็นไร เราสองคนไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน เอาเถอะไว้พี่จะเล่าให้ฟังหลังจากนี้ก็แล้วกัน”เด็กชายมองพี่สาวที่มีท่าทีลับลมคมในด้วยสีหน้าสงสัย หลี่อันหนิงหยิบกระดาษและพู่กันที่แอบซ่อนเอาไว้ออกมา ก่อนเขียนบรรยายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหนึ่งปีข้างหน้าเมื่อหลี่อี้เจ๋ออ่านมัน เขาก็แสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน“สิ่งนี้มิอาจแพร่งพราย อ่านเสร็จแล้วต้องทำลายทิ้งเท่านั้น”“เรื่องนี้...ท่านรู้ได้อย่างไร”หลี่อี้เจ๋อยังมีท่าทีเคลือบแคลงกับข้อความที่อยู่บนกระดาษ หลี่อันหนิงไม่คิดว่าน้องชายจะเชื
“ว่าอย่างไรน้องรอง เจ้ากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”หลี่อันหนิงเอ่ยทักทายน้องชายคนรองของตนอย่างเป็นธรรมชาติซึ่งเป็นอะไรที่ผิดวิสัยของนางนัก หลี่อี้เจ๋อที่พึ่งคลายจากอาการตกตะลึงพยักหน้าตอบรับคำทักทายของนาง“ขอรับ ข้ากลับมาแล้วพี่ใหญ่ ข้าดีใจที่พวกท่านยังสบายดี”นางรู้สึกว่าคำพูดของน้องชายมีความนัยบางอย่างแอบแฝง ทว่าคงซักไซ้ตอนนี้มิได้เพราะมีคนบ้านหลี่คอยจับตามองอยู่“เจ้ากลับมาครานี้ต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน”“นานขอรับ ช่วงนี้หิมะเริ่มตกหนัก ต้องรอจนกว่าเหมันต์จะผ่านไป ข้าถึงกลับไปที่สำนักศึกษาได้อีกครั้ง”หญิงสาวสนทนากับน้องชายราวกับมิได้เห็นคนบ้านหลี่อยู่ในสายตา ผู้เฒ่าหลี่ผู้เป็นปู่รู้สึกไม่พอใจนักที่นางเข้ามาขวางระหว่างตนและหลี่อี้เจ๋อ แต่ในเมื่อรักบ้านก็ย่อมต้องรักอีกาบนหลังคาด้วย ดังนั้นต่อให้คับข้องใจเพียงใดชายชราก็ทำได้เพียงต้องเก็บเอาไว้ภายใน“หนิงเอ๋อ เป่าเอ๋อ พวกเจ้าสองคนมาก็ดีแล้ว วันนี้บ้านเรามีเรื่องน่ายินดีเช่นนั้นก็มาร่วมฉลองด้วยกันดีหรือไม่”หลี่อันหนิงยิ้มเย็นเมื่อได้ยินเสียงสบถด่าทอตนเองจากผู้เฒ่าหลี่ในหัว ทว่าคำพูดจริงๆ ที่ออกจากปากกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ตาแก่ผู้นี้ช่าง