ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษรแล้วก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ"
"อ๋อ งั้นหรือ"
‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’
"พระชายาไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร
'ไท่ซ่างหวงเรียกหาเช่นนั้นหรือ’
"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆ ทิ้งเอาไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวงเล็กน้อย
"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ"
เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นเป็นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางได้ปวดหัวอีกอย่างแน่นอน เมื่อครู่ก็เพิ่งจะถูกบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะถูกบังคับให้ทำสิ่งใดอีกกันเล่า
"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆ ด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ
‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิริยาของสตรีเฉกเช่นท่านหญิงคนอื่นๆ เลยนะ’
"เอาล่ะท่านนำทางข้าไปเถอะ" หลังระบายอารมณ์กับศรีษะของตนเองแล้วก็เอ่ยปากบอกกับฉางกงกงต่อทันที
"พ่ะย่ะค่ะพระชายา"
นางกดๆ เส้นผมที่หลุดลุ่ยเล็กน้อยก่อนจะเดินตามฉางกงกงมายังตำหนักซูหนิงตำหนักแห่งนี้ห่างไกลจากตำหนักหน้าราชวังเป็นอย่างมาก ตรงหน้าของนางเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่การตกแต่งตำหนักไม่หรูหราจนเกินไปคงไว้ด้วยศิลปะที่สวยงามของลวดลายเนื้อไม้ดูแล้วสบายตาเป็นอย่างยิ่ง
นางเดินเข้าไปในตำหนักก่อนที่จะก้าวข้ามธรณีประตูไปก็เห็นฉางกงกงหันหลังกลับมามองที่นางอย่างรวดเร็ว
"ก้าวระวังด้วยนะพ่ะย่ะค่ะพระชายา"
"ขอบใจฉางกงกง" นางยิ้มและเดินต่อไปยังห้องบรรทมของไท่ซ่างหวง
"หลานสะใภ้ถวายบังคมเสด็จปู่เพคะ"
"เข้ามาๆ ไม่ต้องมากพิธีหรอก" ไท่ซ่างหวงที่เวลานี้อายุได้ราวๆ หกสิบพรรษาแล้วมีร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและผิวกายเล็กน้อยที่เป็นไปตามวัยของมนุษย์
พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์ให้ฮ่องเต้เยว่เหวินเทียนขึ้นครองราชย์ต่อส่วนตัวของพระองค์นั้นก็ย้ายมาอยู่ที่ตำหนักซูหนิงแทน
"นี่หรือหลานสะใภ้ของข้าตั้งแต่เจ้าแต่งให้เจ้าสามมาก็ไม่เคยเห็นมาเคารพข้าเลยสักครั้ง"
"นั่นอาจจะเป็นเพราะท่านอ๋องยุ่งอยู่กระมังเพคะเสด็จปู่"
"ยุ่งหรือไม่สนใจกันแน่เจ้าเด็กคนนี้ชอบก่อเรื่องวุ่นวายจะตายไปคงไม่ได้ทำเรื่องอะไรให้เจ้าลำบากใจหรอกนะ"
"ข้าจะไปทำอะไรนางก่อนเล่าพ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่" เสียงของอ๋องฉินดังมาแต่ไกลก่อนที่จะเห็นเจ้าตัวเดินเข้ามายังห้องบรรทมของไท่ซ่างหวง
"หลานถวายบังคมเสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าเรียกเพียงพระชายาของเจ้าไม่ได้เรียกเจ้ามาด้วยเสียหน่อย"
"หลานแค่กลัวว่านางจะเผลอทำสิ่งใดให้เสด็จปู่ไม่พอพระทัยเลยต้องรีบตามมาพ่ะย่ะค่ะ"
"นางรู้ความกว่าเจ้าเยอะ เจ้าอย่าได้มาก่อกวนข้าเป็นอันขาด"
"ทรงเห็นหลานเป็นเช่นใดหลานไม่ได้ชอบก่อเรื่องถึงเพียงนั้น"
ไท่ซ่างหวงกรอกพระเนตรไปมาพลางทอดถอนพระปัสสาสะทันที หลานของเขาเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้ตอนนี้คิดการสิ่งใดอยู่กัน
"เช่นนั้นก็จงอยู่เงียบๆ อย่ารบกวนข้า"
"ได้พ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่"
"ฉางกงกงไปเอาของมา"
"พ่ะย่ะค่ะไท่ซ่างหวง"
ฉางกงกงเดินไปที่หลังม่านหยิบเอากล่องไม้จันทร์เดินถือติดตัวออกมาด้วยก่อนจะยื่นให้กับไท่ซ่างหวง
"ข้าให้เจ้าถือว่าเป็นของขวัญแต่งงานจากตาแก่คนนี้แล้วกัน”
ลู่เหยียนซินยื่นมือไปรับแล้วถือไว้ในอ้อมอกของตนเอง
"เปิดดูสิ" ไท่ซ่างหวงบอกกล่าวทั้งส่งยิ้มอ่อนให้นาง ลู่เหยียนซินจึงจัดการเปิดกล่องที่ถือเอาไว้ออกมาทันที ภายในบรรจุหินหยกสีเขียวมรกตสองชิ้นเมื่อแสงตกกระทบกับตัวหยกก็สะท้อนแสงแวววับขึ้นมาอย่างสวยงาม
"สวยมากเลยเพคะเสด็จปู่"
"รักษาไว้ให้ดี"
"ขอบพระทัยเพคะ"
อ๋องฉินมองนางด้วยสายตาที่มืดมนเขาไม่เคยได้ของขวัญจากเสด็จปู่ของเขาเลยสักครั้ง นางเป็นใครกันแต่งงานกับเขาเพียงไม่นานก็ได้ของขวัญแล้ว
"เก็บสายตาขี้อิจฉาของเจ้าด้วยฉินอ๋อง"
"ข้าไม่เห็นได้บ้าง"
"เจ้าเป็นบุรุษจะเอาของขวัญไปทำไมกันข้าให้นางก็เหมือนให้เจ้า สามีภรรยาก็เหมือนคนๆ เดียวกันคิดอะไรมากกัน"
"จะไปเป็นคนๆ เดียวกันได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่ นางก็คือนาง ข้าก็คือข้า"
"เจ้านี่อย่างไรกันนะอิจฉาแม้กระทั่งเมียตัวเอง เอาล่ะของขวัญก็ให้แล้วพวกเจ้าออกไปกันได้แล้วข้าจะพักผ่อน" ไท่ซ่างหวงออกปากไล่หลานชายของเขาอย่างนึกรำคานก่อนจะชายตาไปมองหลานสะใภ้ที่นั่งกอดกล่องไม้นั้นเอาไว้ในอ้อมแขนของนางแน่น
“พระชายาฉินหลังกลับจากชายแดนเหนือหวังว่าเจ้าจะมีของขวัญกลับมาให้ข้าบ้างนะ"
"พระองค์ทรงรู้ได้อย่างไรกันเพคะว่าหม่อมฉันต้องเดินทางไปด้วย”
"มีสิ่งใดที่ข้าไม่รู้บ้างล่ะ" ตาแก่พูดพลางอมยิ้มให้นาง
‘ใช่สินะคนที่มีอำนาจย่อมมีหูตาเป็นสับปะรดอยู่แล้ว ต่อไปนี้จะพูดจะทำสิ่งใดคงต้องระวังมากขึ้นแล้ว’
"ได้เพคะเสด็จปู่หม่อมฉันไม่ลืมแน่นอนเพคะ"
"อืม เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปพักผ่อนรอวันออกเดินทางเถอะ"
"เสด็จปู่รักษาพระวรกายด้วยนะเพคะหม่อมฉันทูลลา"
อ๋องฉินไม่พูดไม่จามองไท่ซ่างหวงด้วยความน้อยใจ
"หลานจะออกเดินทางแล้ว ไม่มีของขวัญก็ควรมีคำอวยพรให้หลานบ้าง"
"เจ้าอย่าคิดก่อเรื่อง! ออกไปได้แล้ว"
'ลำเอียง! เสด็จปู่ลำเอียงชัดๆ'
เมื่อออกมาจากตำหนักซูหนิงเขาเห็นนางเอาแต่กอดกล่องไม้ที่เก็บหยกสองชิ้นนั้นด้วยความหวงแหนใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มตลอดทางเดิน อยู่ๆ ก็รู้สึกอิจฉานางขึ้นมาเขาที่เป็นหลานแท้ๆ เสด็จปู่ไม่เห็นให้ของขวัญอะไรเลยสักครั้ง
"ท่านอ๋องหากพวกเราหย่ากันแล้ว หยกสองชิ้นนี้ข้าไม่ขอคืนให้ท่านนะเพคะ"
"เจ้าว่าอะไรนะ"
"ข้าบอกว่าหยกสองชิ้นนี้ข้าจะเก็บไว้เองเพคะ"
"ไม่ใช่ ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้"
"หากว่าเราสองคนหย่ากันแล้ว ข้าจะขอเก็บ…"
"สมรสพระราชทานเจ้าคิดว่าจะหย่ากันง่ายๆ เช่นนั้นหรือ"
"ก่อนหน้านี้ท่านก็คิดจะหย่ากับข้าไม่ใช่หรืออย่างไรกันในเมื่อท่านต้องการแต่งกับหยางซูฉินท่านก็ต้องเขียนหนังสือหย่าให้ข้าอยู่แล้ว หรือท่านคิดว่าหยางซูฉินจะยอมแต่งเป็นชายารองจริงๆ น่ะหรือ" นางเอียงคอยืนรอคำตอบจากอ๋องฉินด้วยแววตาสุกใสไร้ซึ่งแววขุ่นเคืองหรือริษยาทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างหาสาเหตุไม่ได้
"แต่ก่อนเจ้าบังคับให้บิดาของเจ้าขอพระราชทานสมรสกับข้า มาวันนี้อยากจะหย่าก็หย่าง่ายๆ เช่นนั้นหรือ”
"แล้วท่านอ๋องจะเอาอย่างไรกันล่ะเพคะเมื่อข้าต้องการหย่าท่านก็ไม่หย่าถ้าเช่นนั้นจากนี้ไปหากว่าข้าตามตอแยท่าน ท่านก็อย่ามาหาว่าข้าน่ารำคานก็แล้วกัน!" พูดจบก็เดินออกไปไม่รอเขาเลยสักนิด
นางยอมรับว่ารู้สึกโกรธเขามากไม่เข้าใจตาอ๋องบ้านี่เลยสักเพียงนิด ไม่ใช่ว่าเขาต้องดีใจหรอกหรือที่นางจะหย่าแล้วที่เขาพูดออกมาเช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน
อ๋องฉินไม่พูดสิ่งใดต่อเขาเดินตามนางไปจนถึงหน้าประตูวังหลวงก่อนจะยื่นมือไปรับอาชาประจำกายจากทหารผู้ดูแลแล้วคว้าเอวบางของนางอุ้มขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นมาซ้อนด้านหลังด้วยความรวดเร็ว
นางหันหลังไปมองเขาก็พบเข้ากับสายตาเย็นชาที่ยากจะอ่านออกระหว่างทางกลับจวนคนทั้งคู่ไม่แม้แต่จะสนทนากันสักคำสร้างความอึดอัดใจให้แก่ลู่เหยียนซินไม่น้อย
‘ก็แค่พูดเรื่องหย่าเหตุใดต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยแปลกคนเสียจริง’
-จวนอ๋องฉิน-
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนเป็นอ๋องฉินที่รับนางลงจากหลังม้าเช่นเคย นางกล่าวขอบคุณแต่ก่อนที่จะเดินเลี่ยงไปยังเรือนของตนเองก็ถูกอ๋องฉินเรียกไว้เสียก่อน
"เจ้าจงเตรียมตัวให้ดีเช้ามืดวันพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปเมืองจี้โจวกับข้า"
"เร็วเช่นนั้นเลยหรือเพคะ"
"ชีวิตผู้คนไม่สามารถรอได้" พูดจบเขาที่กำลังจะเดินกลับไปยังตำหนักฉางหมิงก็ได้ยินลู่เหยียนซินถามขึ้น
"ต้องไปนานเท่าใดหรือเพคะ"
"ครึ่งปีหรืออาจจะหนึ่งปี"
‘นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ’
อ๋องฉินไม่พูดต่อปล่อยให้นางยืนเหม่ออยู่ลำพังแล้วเดินเลี่ยงไปสั่งการให้ทหารจัดเตรียมกองกำลังไปยังชายแดนทันที
"ท่านอ๋องต้องพาพระชายาไปด้วยเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" ชิงอีทหารคนสนิทของอ๋องฉินถามขึ้น
"พระชายาเป็นสตรีทั้งยังไม่มีวรยุทธ์ไปแล้วจะช่วยอะไรท่านอ๋องได้กันพ่ะย่ะค่ะ"
อ๋องฉินมองไปยังเรือนซินหยางพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
"ใช่ นางเป็นสตรีที่ไม่มีวรยุทธ์ไปที่นั่นคงสร้างความลำบากให้นางไม่น้อย"
องค์รักษ์คนสนิททั้งสองมองหน้ากันไปมา อ๋องฉินละสายตาจากเรือนซินหยางก่อนจะมุ่งหน้าไปในเรือนใหญ่ทันที
เมื่อครู่เขาแค่หาเหตุผลให้องค์รักษ์ทั้งสองหยุดซักไซร้เขาก็เท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องหย่ายังไม่ใช่ตอนนี้เขาต้องได้ประโยชน์จากนางก่อนถึงจะยอมปล่อยนางไปได้
-อารามชิงเหยียน-“ท่านอาจารย์อยากพบท่านแม่เจ้าค่ะ”“อยากพบข้างั้นหรือ”เยว่เหวินหลิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวอารามเพื่อไปเล่นฟันดาบกับผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดและฮั่วเฟิงอวี้ลู่เหยียนซินเดินเข้าไปในอารามชิงเหยียนอารามเก่าแก่ที่ผู้อาวุโสมาพำนักในที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าหกปีมาแล้ว“หลิงเอ๋อบอกว่าท่านเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ”“ไม่ผิด ที่ข้าเรียกท่านมานั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านหญิงเลยแม้เพียงนิดอย่ากังวลใจไปเลย”“แล้วท่านมีอะไรจะสนทนากับข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”“ข้าคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรจะต้องบอกท่านแล้ว”“หืม”“พระชายาหลายปีมานี้เพราะใจของท่านนั้นปล่อยวางไปจนหมดสิ้นจึงไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของท่านเลยสินะ”“ท่านหมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ”“ยังจำแหวนหยกสองวงที่ข้ามอบให้ท่านได้อยู่หรือไม่”“เจ้าค่ะ”“ยังเก็บเอาไว้อยู่สินะ”“อยู่ที่สามีของข้าเอง”“ครั้งที่ท่านเดินทางมาที่จี้โจวครั้งแรกสิ่งที่ท่านเคยถามข้าว่าจะได้กลับบ้านหรือไม่ ท่านคงได้คำตอบนั้นแล้วสินะ”ลู่เหยียนซินไม่ได้ตอบเขาไปนางกำลังครุ่นคิดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ต้องการจะสื่อสารสิ่งใดกับนางอยู่กันแน่“ไม่เสียดายเลยหรือ”
-เจ็ดวันผ่านไป-“ท่านหญิง”“หือ”เยว่เหวินหลิงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวจ้านเสือขาวหิมะที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาอยู่นั้นก็ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเรียกขานนาง เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที‘นั่นไม่ใช่คุณชายหลี่หรอกหรือมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่จึงได้เอ่ยออกมาว่า“ข้ามาหาพี่ชายของท่านน่ะ”“อ้อ งั้นหรอกหรือเจ้าคะพี่ชายของข้าน่าจะอยู่ด้านหลังจวน ท่านเดินไปแล้วเลี้ยวขวาอีกนิดก็ถึงลานประลองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”“ลานประลองงั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าเขากำลังประลองยุทธ์อยู่อย่างนั้นหรือขอรับ”“ก็น่าจะใช่ ท่านพี่ของข้าคงกำลังฝึกกระบี่กับท่านพี่เฟิงอวี้อยู่ อืมม...หากว่าท่านไปไม่ถูกต้องการให้ข้านำทางไปหรือไม่”“ไม่เป็นไรขอรับข้าไปเองได้”เขาพูดจบก็หันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทั้งยังสบตานางอย่างลึกซึ้ง เยว่เหวินหลิงก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดท่ามกลางการเฝ้ามองของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือนใหญ่“ท่านอ๋องจะไปไหนหรือเพคะ”“เจ้าก็ดูสิ เจ้าเด็กคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวลูกสาวของข้า”“ท่านคิดมากไปห
“พระชายา”“ฮูหยินฮั่วไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเมื่อรู้ว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่แล้วก็รีบออกมาพบท่านทันทีเลยเพคะ”ฮูหยินฮั่วพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของนาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่านางดีใจเพียงใดที่ได้พบลู่เหยียนซินอีกครั้ง“แล้วลูกชายของท่านล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”“ไม่ทันได้พูดอะไรด้วยเลยสักคำแค่เท้าแตะถึงพื้นก็วิ่งไปหาคุณชายเยว่เหวินหลงเสียแล้วเพคะ”“ฮ่าๆๆ ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกปล่อยเด็กๆ เล่นกันไปเถอะ”“เพคะพระชายา”ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มิตรภาพระหว่างสตรีทั้งสองคนนี้นั้นแน่นแฟ้นยิ่งไปกว่าผู้เป็นสามีของทั้งคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัยเสียอีก“ฮูหยินของเจ้าดูจะตัวติดกับชายาของข้ามากเลยนะซื่อเหลียน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่พระชายาจะมาที่จี้โจวเสียที เมื่อรู้ว่าพวกท่านมาถึงแล้วก็รบเร้าให้ข้าพามาทันทีเลยน่าน้อยใจเป็นบ้า”“เอาน่าพวกนางรักใคร่กันก็ดีแล้วจะว่าไปเจ้าจัดการอนุผู้นั้นอย่างไร ส่งนางกลับบ้านไปแล้วงั้นหรือ?”ฮั่วซื่อเหลียนส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลหรือโกรธเกลียดใดๆ หลงเหลืออยู่เลย“นางพบรักกับชาวบ้านคนหนึ่
-6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจวเด็กๆ ทั้งสองเดินทางมาที่เมืองจี้โจวล่วงหน้าก่อนผู้เป็นบิดามารดาเนื่องจากพวกเขายังจัดการงานที่เมืองหลวงไม่เรียบร้อยนั่นเอง แม้อ๋องฉินจะห่วงเด็กๆ ไม่น้อยแต่เพราะพวกเขามีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคอยดูแลอยู่ข้างกายจึงเบาใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ท่านพี่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆ ไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอดได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วเขาก็ยืนดูอยู่สักพักก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงไปในตรอกถัดไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างๆ เด็กหนุ่มผู้นั้น“ท่านพี่เฟิงอวี้รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าท่านจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไปเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าๆๆ เหตุใดถึงได้กล่าวหาน้องสาวของตนเองเช่นนั้นกันเล่า นางน่ารักถึงเพียงนั้นท่านก็ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ฟังไม่ผิดแล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ แทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามากเพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆ ติดมือมาให้นางด้วยทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆ ของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนวิชาจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กๆ ทั้งในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ใกล้เคียงกัน สถานศึกษาแห่งนี้มีอาจารย
“เสด็จพ่อ!”เป็นฮ่องเต้ที่เดินเข้ามาทันได้ยินที่หมอหลวงรายงานการตรวจครรภ์ของลู่เหยียนซินพอดี“พวกเจ้าต้องวางแผนการทำคลอดครั้งนี้ให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ข้าจะส่งหมอหลวงไปประจำที่จวนอ๋องฉินจงจำเอาไว้ว่าต้องระมัดระวังทำให้ดีที่สุด”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เอาล่ะเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะชายาฉิน ท้องของเจ้าใหญ่เกินไปน่าจะเดินเหินไม่สะดวกนักจากนี้ไปก็จงอยู่แต่ในจวนจนกว่าจะคลอดไม่ต้องเข้าวังมาถวายพระพรแล้ว”“เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันทูลลาเพคะเสด็จปู่”“อืม ไปเถอะ”- - - - - - - - - - -เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางก็เข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนางเมื่อก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น‘ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!’“ลี่ถิงมาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยความรวดเร็วเกือบสะดุดขอบพักประตูไปแล้ว“พระชายาเกิดอะไรขึ